[CR] ์No.114 I Saw the TV Glow (2024) : อย่าดูมันได้มั้ย ? ถ้าเธอไม่แล


- ถึงทราบดีอยู่แล้วว่าสไตล์การเล่าตามใจฉันในแนวนี้ต้องเนิบและเข้าถึงยากจนเสี่ยงต่อการถูกเทกลางทางแต่กลับมาตั้งลำได้ทัน เพราะโทนภาพที่มีสีม่วงอำพันเป็นจุดเด่นที่ชูให้เรื่องมีความพิศวงเกินหยั่งรู้ในธีม Cosmic Horror เหมือนกับหนังรุ่นพี่ ๆ อย่าง Mandy (2018) , Color Out of Space (2019) หรือ Censor (2021) ได้ไม่ยาก แม้ความดิบไม่ Hardcore เท่าแต่สารที่จับใจได้มันเล่นกับความทรงจำของคนที่เติบโตมากับ TV และเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับคนที่เคยสัมผัสโดยตรงมาว่า การได้นั่งจ้องหน้า TV หลังกลับจากโรงเรียน ตื่นเช้ารอดูบ้านการ์ตูนทุกเช้าวันเสาร์ - อาทิตย์ , รอดูรายการผี ที่ดันมา On ทุกคืนวันพุธ หรือ รอดู MV ตัวใหม่ล่าสุด ที่ชอบปล่อยหลังเที่ยงคืนในวันปกติที่ไม่สามารถนอนดึกได้สะดวกโยธิน เพราะ วันรุ่งขึ้นต้องไปโรงเรียน ดูไประแวงไปกลัวพ่อแม่จับได้ จึงทำให้ช่วงเวลาที่แอบย่องบันไดมาเพียงน้อยนิด มีค่าต่อการรอคอยมากแค่ไหน ? 

- ตัวหนังจะแบ่งออกเป็น 4 Timeline ตั้งแต่ปี 1996 , 1998 , 2006 แล้ววาร์ปทะลุไป 2026 ผ่านตัวพระเอกตั้งแต่เด็กยันกลางคนด้วยถ้อยทีถ้อยไป จังหวะจะก้าวตามสัญญะข้างทาง โดยมีต้นสายมาจากรายการเจ้าปัญญาจนกระทั่งไปเจอกับ นางเอก ที่โรงเรียน มีการเม้ามอยหอยสังข์ จึงทราบว่าเธอเองก็ชอบดูเหมือนกัน มันเลยทำให้ความสัมพันธ์เติบโตอย่างรวดเร็ว มีการนัดกันค้างคืนกันเพื่อทำกิจกรรมโปรดร่วมกัน จนหนังวาร์ปช่วงเวลาหนึ่งที่ต่างคนต่างโต ความรู้สึกจากเดิมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามยุคสมัยจนกระทั่งรายการโปรดที่ติดตามมานานได้ยุติลงแถมนางเอกยังหายตัวไปกระทันหันเหมือนกับเรื่อง Under the Silver Lake (2018) อีก ถึงพระเอกจะสงสัยแต่ไม่ได้สืบต่อ เพราะ ความรู้สึกที่มีต่อรายการนี้ตั้งแต่เอาใจไปเล่นยังคงติดตาอยู่ พอได้นึกถึง พูดถึง ก็จะเห็นภาพตัวสัตว์ประหลาดในรูปของจินตนาการออกมารำวงเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนมันมีชีวิตจิตใจจริง ๆ 

- ส่วนที่ดีของหนังนอกจากโทนสีสันจัดจ้านหรือแก่นสารที่สะท้อนสังคมผ่านการก้าวข้ามวัยได้ดีแล้ว พลังการแสดงของ 2 พระ-นาง อย่าง Justice Smith กับ Brigette Lundy-Paine ช่วยประคองไว้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยเฉพาะ Justice พระแบกของแท้เล่นตั้งแต่วัยรุ่นยันกลางคนได้เหลือเชื่อว่าเห็นตนเองในอนาคต เพราะ ได้ make up จากทีมงานฝีมือดีช่วยแต่ง ส่วนนางเอก Brigette ถึงโผล่มาไม่เยอะแต่การวับ ๆ แวม ๆ ทุกครั้งมีความหมายซ่อนเร้นผ่านใบหน้าสวยเก๋ที่ไม่อาจละสายตาได้ อีกทั้งเพลงประกอบที่ขนมากันทั้ง Track ก็เฟี้ยวฟ้าวไม่แพ้กันก็ช่วยส่งเสริมให้ Story มีกลิ่นอายความเป็น Feminist จนแทบจะกลายเป็นหนังผู้หญิงถึงผู้หญิงอยู่แล้ว 

- สรุป ดูไม่ง่ายเพราะมีกำแพงทางตัวตนของผู้กำกับ Jane Schoenbrun กั้นอยู่เลยไม่อาจสู่รู้ได้ทั้งหมดแต่ไม่เกินความพยายามเมื่อตั้งใจจะเสพความอาร์ต ชอบที่หนังสามารถทำหน้าที่บรรยากาศยุค 90’s ในแง่ของ วัฒนธรรม หรือ สังคม ในเชิงจิตวิทยาผ่านการเติบโตของตัวละครได้ดีแต่ไม่สามารถเชื่อมใจให้จูนติดกับเทคนิค Visual ที่อุตส่าห์ทำสุดฝีมือแต่ไม่ได้อรรถรสถึงความน่ากลัว ทั้งที่บทหรือองค์ประกอบมันมา way เดียวกับหนังที่ยกตัวอย่างไปหรือหนังตระกูลต้องคำสาปอย่าง Ju-On (2002) หรือ The Ring (1998) มันเลยไปไม่สุด ทำได้แค่หลอกหลอนให้มึนหัวไปวัน ๆ รวมถึงปมการหายตัวไปของนางเอกมีการแจ้งให้ทราบ แต่มีคำถามต่อว่าหายไปทำไม ? ไม่ทันไร จู่ ๆ คุณเธอก็โผล่หัวมาเพื่อให้รู้ว่ากูมีบทอยู่แล้วก็หายหัวไป ส่วนรายการเจ้าปัญญาก็ไม่ทราบแน่ชัดว่ามาจากไหน ? เหตุใดเด็ก 2 คนถึงเสพติดจนโงหัวไม่ขึ้นก็ยิ่งสร้างความคลุมเครือเข้าไปใหญ่ เมื่อไร้คำตอบแน่ชัดมันเลยทำให้บทสรุปช่วงท้ายเลือกที่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของสัญญะและให้คนดูรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปก็เลย เอ๋อ ๆ มึน ๆ เหมือนเพิ่งตื่นจากการสะกดจิตให้จ้องอยู่แต่หน้าจอนาน ๆ

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Review By EMCONCEPT
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่