เคยจะรีวิวหลายรอบ แต่ไม่ว่างสักที ช่วงนี้เหมือนหวัดลงคอ ไอค่อกแค่กๆ ออฟฟิศเลยบอกให้กลับไปพักที่บ้าน เพราะไอจนรำคาญ เลยว่างๆมาเขียนจนได้
ถือเป็นอีกข้อมูล สำหรับผู้ที่กำลัง ลังเลระหว่างไฮบริดกับไฟฟ้าล้วน แล้วกันนะครับ จากผู้ใช้ตัวจริง จ่ายจริง ซ่อมจริง และทุกวันนี้ก็ใช้อยู่
มาถึงตัวรถกันก่อน Lexus CT200h เป็นรถไฮบริด ระดับ C-Seg หรือ คอมแพ็กค์คาร์ เทียบกับรถทั่วไปก็ มาสด้าสาม อัลติส โดยคันพี่น้องของมัน ก็คือ โตโยต้าพรีอุส รุ่นที่มาทำตลาดในไทย
เป็นรถที่แต่เดิม เล็กซัส พยายามดันตัวนี้ในตลาดยุโรป แต่เหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แต่มันก็ขายดีในญี่ปุ่นกับเมกา แม้ว่า จะไม่ได้ตีตลาดยุโรปได้ตามเป้าหมาย แต่ยอดขายโดยรวมก็น่าพอใจ และเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ ลากขายกันยาวนานกว่าสิบเอ็ดปี(เพิ่งเลิกผลิตไปเมื่อสองปีที่แล้ว) เรียกว่า ไม่เนอร์เชนจ์กันจนไม่รู้กี่โฉม
โฉมนี้เป็นรุ่น F Sport ซึ่งตอนนั้นราคาดีมาก เพราะไม่ใช่ตัวท็อป เป็นตัวที่เน้นการขับขี่แบบ สปอร์ตคือช่วงล่างจะกระด้างกว่ารุ่นปรกติ พวงมาลัยจะมีความหนืดมากกว่า เรียกว่าเอาใจคนที่ต้องการสนุกกับการขับรถ แต่ปัจจุบัน ตัว F-Sport ของเล็กซัสจะเป็นตัวท็อปหมดแล้ว ราคาก็พุ่งทะยานไปเยอะ
มาถึงระบบการืำงานของไฮบริดก็คือ เมื่อขับรถความเร็วต่ำกว่า 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าไฟในแบตมากพอมันจะใช้ไฟฟ้าล้วน ถ้าเกิน 60 จะทำงานสลับันระหว่างเครื่อยนตร์กับไฟฟ้า ถ้ากดคันเร่งหนักๆจะใช้เครื่องยนนตร์เต็มๆ
อัตราสิ้นเปลือง เฉลี่ยอยู่ประมาณ 19-20 กิโลต่อลิตร ที่ประหยัดสุดที่เคยได้คือ 25 กิโลต่อลิตร ขับไปเชียงใหม่ เหยียบ 100-120 ตลอดทาง ที่เปลืองสุดคือ 15 กิโลต่อลิตร ขับไปนครสวรรค์แต่ขับแบบ กดมิดตลอดทาง(ตอนนั้นยังห้าว และยังไม่มีกล้องจับความเร็ว)
ถ้าเจอรถติดใน กทม เคยเจอต่ำสุดคือ 17 กิโลต่อลิตร ความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร เติมเต็มแล้ววิ่งจนไฟเตือนน้ำมันขึ้นจะอยู่ที่ราว 650-700 กิโล ถ้าเค้นจริงๆก็วิ่งได้เกิน 800 โล
การดูแลรักษา ยุ่งยากมั้ย
ก็ดูแลเหมือน รถน้ำมันธรรมดาๆเลย เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เช็คสภาพทั่วไปแบบเดียวกันเป๊ะๆ ส่วนระบบไฮบริดนั้น ไม่ได้มีอะไรต้องบำรุงรักษาเลย เพราะถ้ามันจะพังก็พังเอง ทุกวันนี้ก็เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนของเหลวต่างๆ ระบบแอร์ ระบบเบรคก็ไม่ได้เข้าศูนย์เลย มีเข้าศูนย์คือเปลี่ยนแบตไฮบริด คันนี้เปลี่ยนไปแล้วสองรอบ แต่ตอนนั้น ประกันแบตแค่ 5 ปี รอบแรกเคลมฟรี รอบสองจ่ายตังค์ ค่าใช้จ่ายเปลี่ยนแบตไฮบริด รวมค่าแรงก็หกหมื่นนิดๆ เท่านั้น อายุแบต ที่สังเกตุคือ รอบแรกเปลี่ยนที่ระยะราวๆ 160,000 รอบสองเปลี่ยนที่ระยะราวๆ 320,000 โล ก็เลยคิดว่า อายุแบตมันน่าจะราวๆนี้แหละ
อะไหล่ใช้กับโตโยต้าได้มั้ย
เนื่องจากเจ้าคันนี้ เป็นพี่น้องกับพรีอุส อะไหล่ส่วนเครื่องยนตร์กับเกียร์ก็ใช้ตัวเดียวกับของพรีอุสได้ ทุกวันนี้ก็ไปเบิกอะไหล่จากศูนย์โตโยต้านี่แหละ แต่พวกช่วงล่างนี่ ใช้กันไม่ได้แต่ก็ไปสั่งที่ศูนย์โตโยต้าได้เหมือนกัน แต่ต้องรอของ ถ้าอยู่ กทม ก็ไปสั่งที่ศูย์เล็กซัสเลยได้
และสำหรับใครที่จะซื้อมือสอง ต้องเช็คก่อนนะครับว่า เป็นรถจากโตโยต้าประเทศไทยหรือเกรย์มาร์เก็ต เพราะเวลาสั่งอะไหล่ต้องใช้เลขตัวถังสั่งอะไหล่ ถ้าเลขตัวถังไม่มีในระบบของโตโยต้าไทย เขาก็ไม่ขายให้นะครับ ต้องวิ่งหาอะไหล่ข้างนอกเอาเอง พวกไส้กรองอะไรต่างๆ ใช้ของเทียบได้อยู่ แต่ถ้าอะไหล่เฉพาะของเล็กซัสนี่ จะหายาก
ราคาขายต่อ
ร่วงแบบเชี้ยๆ ส่วนนึงเพราะรถผมวิ่งเยอะมากด้วย เคยใช้เร็วสุดคือ หมื่นโลในสองเดือน ช่างที่ศูนย์ยังบอกเลยว่า รถพี่นี่เลขไมล์เยอะสุดแล้วเทียบกับรถที่ออกใกล้ๆกัน เพราะตอนนั้นได้งานต่างจังหวัดเยอะ เคยจะเปลี่ยนไปใช้ NX แต่ศูนย์ตีราคามา ส่ายหัวเลย สุดท้ายเลยไปถอย ฟอเรสเตอร์มาอีกคันแทน เพราะเจ้าคันนี้คือ รถมันก็ยังใช้ดีอยู่ เอาจริงๆ เป็นรถที่มีปัญหาน้อยสุดของที่บ้านเลย เรียกว่าแทบไม่มีปัญหาอะไรเลย ก็เลยเก็บไว้ใช้ต่อดีกว่า
รวมๆก็มีเท่านี้ สรุปคือ ระบบไฮบริด คนใช้ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันเลย ค่าบำรุงรักษา ก็ปรกติเมื่อทียบกับรถน้ำมัน อู่นอกดูแลได้ แต่ระบบไฟฟ้า ยังไม่เคยใช้บริการอู่นอก เพราะมีแค่เปลี่ยนแบตครั้งเดียวที่ประกันหมดไปแล้วที่เข้าไปศูนย์
ใครอยากถามอะไรถามมาได้นะครับ
รีวิวรถไฮบริด Lexus CT200h อายุ 13 ปี วิ่งไป 360,000 โล
ถือเป็นอีกข้อมูล สำหรับผู้ที่กำลัง ลังเลระหว่างไฮบริดกับไฟฟ้าล้วน แล้วกันนะครับ จากผู้ใช้ตัวจริง จ่ายจริง ซ่อมจริง และทุกวันนี้ก็ใช้อยู่
มาถึงตัวรถกันก่อน Lexus CT200h เป็นรถไฮบริด ระดับ C-Seg หรือ คอมแพ็กค์คาร์ เทียบกับรถทั่วไปก็ มาสด้าสาม อัลติส โดยคันพี่น้องของมัน ก็คือ โตโยต้าพรีอุส รุ่นที่มาทำตลาดในไทย
เป็นรถที่แต่เดิม เล็กซัส พยายามดันตัวนี้ในตลาดยุโรป แต่เหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แต่มันก็ขายดีในญี่ปุ่นกับเมกา แม้ว่า จะไม่ได้ตีตลาดยุโรปได้ตามเป้าหมาย แต่ยอดขายโดยรวมก็น่าพอใจ และเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ ลากขายกันยาวนานกว่าสิบเอ็ดปี(เพิ่งเลิกผลิตไปเมื่อสองปีที่แล้ว) เรียกว่า ไม่เนอร์เชนจ์กันจนไม่รู้กี่โฉม
โฉมนี้เป็นรุ่น F Sport ซึ่งตอนนั้นราคาดีมาก เพราะไม่ใช่ตัวท็อป เป็นตัวที่เน้นการขับขี่แบบ สปอร์ตคือช่วงล่างจะกระด้างกว่ารุ่นปรกติ พวงมาลัยจะมีความหนืดมากกว่า เรียกว่าเอาใจคนที่ต้องการสนุกกับการขับรถ แต่ปัจจุบัน ตัว F-Sport ของเล็กซัสจะเป็นตัวท็อปหมดแล้ว ราคาก็พุ่งทะยานไปเยอะ
มาถึงระบบการืำงานของไฮบริดก็คือ เมื่อขับรถความเร็วต่ำกว่า 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าไฟในแบตมากพอมันจะใช้ไฟฟ้าล้วน ถ้าเกิน 60 จะทำงานสลับันระหว่างเครื่อยนตร์กับไฟฟ้า ถ้ากดคันเร่งหนักๆจะใช้เครื่องยนนตร์เต็มๆ
อัตราสิ้นเปลือง เฉลี่ยอยู่ประมาณ 19-20 กิโลต่อลิตร ที่ประหยัดสุดที่เคยได้คือ 25 กิโลต่อลิตร ขับไปเชียงใหม่ เหยียบ 100-120 ตลอดทาง ที่เปลืองสุดคือ 15 กิโลต่อลิตร ขับไปนครสวรรค์แต่ขับแบบ กดมิดตลอดทาง(ตอนนั้นยังห้าว และยังไม่มีกล้องจับความเร็ว)
ถ้าเจอรถติดใน กทม เคยเจอต่ำสุดคือ 17 กิโลต่อลิตร ความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร เติมเต็มแล้ววิ่งจนไฟเตือนน้ำมันขึ้นจะอยู่ที่ราว 650-700 กิโล ถ้าเค้นจริงๆก็วิ่งได้เกิน 800 โล
การดูแลรักษา ยุ่งยากมั้ย
ก็ดูแลเหมือน รถน้ำมันธรรมดาๆเลย เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เช็คสภาพทั่วไปแบบเดียวกันเป๊ะๆ ส่วนระบบไฮบริดนั้น ไม่ได้มีอะไรต้องบำรุงรักษาเลย เพราะถ้ามันจะพังก็พังเอง ทุกวันนี้ก็เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนของเหลวต่างๆ ระบบแอร์ ระบบเบรคก็ไม่ได้เข้าศูนย์เลย มีเข้าศูนย์คือเปลี่ยนแบตไฮบริด คันนี้เปลี่ยนไปแล้วสองรอบ แต่ตอนนั้น ประกันแบตแค่ 5 ปี รอบแรกเคลมฟรี รอบสองจ่ายตังค์ ค่าใช้จ่ายเปลี่ยนแบตไฮบริด รวมค่าแรงก็หกหมื่นนิดๆ เท่านั้น อายุแบต ที่สังเกตุคือ รอบแรกเปลี่ยนที่ระยะราวๆ 160,000 รอบสองเปลี่ยนที่ระยะราวๆ 320,000 โล ก็เลยคิดว่า อายุแบตมันน่าจะราวๆนี้แหละ
อะไหล่ใช้กับโตโยต้าได้มั้ย
เนื่องจากเจ้าคันนี้ เป็นพี่น้องกับพรีอุส อะไหล่ส่วนเครื่องยนตร์กับเกียร์ก็ใช้ตัวเดียวกับของพรีอุสได้ ทุกวันนี้ก็ไปเบิกอะไหล่จากศูนย์โตโยต้านี่แหละ แต่พวกช่วงล่างนี่ ใช้กันไม่ได้แต่ก็ไปสั่งที่ศูนย์โตโยต้าได้เหมือนกัน แต่ต้องรอของ ถ้าอยู่ กทม ก็ไปสั่งที่ศูย์เล็กซัสเลยได้
และสำหรับใครที่จะซื้อมือสอง ต้องเช็คก่อนนะครับว่า เป็นรถจากโตโยต้าประเทศไทยหรือเกรย์มาร์เก็ต เพราะเวลาสั่งอะไหล่ต้องใช้เลขตัวถังสั่งอะไหล่ ถ้าเลขตัวถังไม่มีในระบบของโตโยต้าไทย เขาก็ไม่ขายให้นะครับ ต้องวิ่งหาอะไหล่ข้างนอกเอาเอง พวกไส้กรองอะไรต่างๆ ใช้ของเทียบได้อยู่ แต่ถ้าอะไหล่เฉพาะของเล็กซัสนี่ จะหายาก
ราคาขายต่อ
ร่วงแบบเชี้ยๆ ส่วนนึงเพราะรถผมวิ่งเยอะมากด้วย เคยใช้เร็วสุดคือ หมื่นโลในสองเดือน ช่างที่ศูนย์ยังบอกเลยว่า รถพี่นี่เลขไมล์เยอะสุดแล้วเทียบกับรถที่ออกใกล้ๆกัน เพราะตอนนั้นได้งานต่างจังหวัดเยอะ เคยจะเปลี่ยนไปใช้ NX แต่ศูนย์ตีราคามา ส่ายหัวเลย สุดท้ายเลยไปถอย ฟอเรสเตอร์มาอีกคันแทน เพราะเจ้าคันนี้คือ รถมันก็ยังใช้ดีอยู่ เอาจริงๆ เป็นรถที่มีปัญหาน้อยสุดของที่บ้านเลย เรียกว่าแทบไม่มีปัญหาอะไรเลย ก็เลยเก็บไว้ใช้ต่อดีกว่า
รวมๆก็มีเท่านี้ สรุปคือ ระบบไฮบริด คนใช้ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันเลย ค่าบำรุงรักษา ก็ปรกติเมื่อทียบกับรถน้ำมัน อู่นอกดูแลได้ แต่ระบบไฟฟ้า ยังไม่เคยใช้บริการอู่นอก เพราะมีแค่เปลี่ยนแบตครั้งเดียวที่ประกันหมดไปแล้วที่เข้าไปศูนย์
ใครอยากถามอะไรถามมาได้นะครับ