เรื่องอาจจะยาวหน่อยนะครับ
เราเป็นคนหนึ่งที่เชื่อในการทำดีได้ดี แต่ในสังคมปัจจุบัน “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดี มีถมไป” แต่ความชั่วนั้นมันเป็นกรรมส่งผลกระทบได้เร็วนักแล
จะขอยกตัวอย่างเรื่องที่เราพบเจอในชีวิตจริง เล่าจากประสบการณ์จริง เราและภรรยาเดินทางไปทำงานที่ลาว โดยภรรยาเราเป็น GM และเราเป็น Assist. GM ได้พบเจอคนมากมายหลายแบบ จะขอเล่าแบบหลาย ๆ เรื่องราวที่ได้ไปเจอมา เรื่องดังนี้
คนแรก เป็น นักธุรกิจ
จะขอเริ่มจากเรามองเขาคนนั้น ที่ดูดีใน Facebook ภาพนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ดูโพสแต่ละโพสที่มี ทานอาหารหรูหรา มีการโชว์ร้านอาหาร บ้าน การแต่งตัวที่ดูดี ทำให้เรามองว่าเค้าเป็นคนรวยที่ประสบความสำเร็จ มีบริวารล้อมรอบ มีบอดี้การ์ดมาคอยดูแลความปลอดภัย ตลอดระยะเวลาที่มาที่ลาว มีผู้คนรู้จักรอบตัวมากมาย สามารถใช้คนรอบตัวให้เป็นบริวารรับใช้ได้มากมาย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาพที่เรามองสวยหรู ความจริงมันไม่เป็นอย่างที่สร้างขึ้นมา อย่างแรกเลย โรงแรมที่บอกว่าเป็นของตัวเอง ที่แท้เป็นการเช่าโรงแรมเพื่อบริหาร และเจ้าของโรงแรม ( ตัวจริง ) ก็หลงคารม ในความที่นักธุรกิจคนนั้นสร้างภาพขึ้นมา ภาพของการที่บริหารไม่เป็น ไม่ได้รู้ต้นทุนของการบริหารเลย มันทำให้เราได้รู้ว่า นักธุรกิจคนนั้น ความจริงแล้วเป็น “ มิจ “ (มิจฉาชีพ) เรากับภรรยาดีแล้วที่รอดออกมาจากตรงนั้นได้ ความอัดอั้นที่เรามีตลอดระยะเวลา 6 เดือน ที่อยู่ที่ลาว ขอระบายตรงนี้ล่ะกัน นักธุรกิจคนนั้นอย่างแรกเลย มักมากในกามรมณ์ เอาผู้หญิงไม่เลือกหน้า ไม่เว้นแม้แต่พนักงานที่อยู่ในโรงแรม การกระทำของนักธุรกิจคนนั้น ไม่เคารพต่อสถานที่ทำมาหากิน การไม่เคารพต่อสถานที่ทำให้นักธุรกิจคนนั้นหมดบารมีที่จะบริหารสถานที่ แล้วก็ไปอย่างไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้ความเคารพของพนักงานเลย ตอนที่เจ้าของมาเอาโรงแรมคืน ทางนักธุรกิจคนนั้นไม่ได้แจ้งพนักงานล่วงหน้า ทำให้ทางทีมบริหารใช้เวลาในการเตรียมส่งมอบคืนโรงแรมให้กับเจ้าของเดิมน้อยมาก เพียงแค่ 7 วันเท่านั้น ถึงจะบอกกับพนักวาน และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ทางนักธุรกิจท่านนั้นตั้งใจที่จะลอยแพพนักวาน โดยการไม่บอกอะไรเลย และก็ไม่คิดที่จะชดเชยพนักงานแต่ละคนด้วย ทางนักธุรกิจท่านนั้นได้เคยคิดที่จะปิดบัญชี เพื่อที่จะกอบโกยเอาเงินทั้งหมดไปโดยที่ไม่ดูดำดูดีพนักงานเลย แต่ก็นะ เป็นเรากับภรรยาที่ห้ามทางบัญชี (คนนี้ขอเล่าอีกครั้งหนึ่ง) ไม่ให้เอาเงินออกจากบัญชี เพราะถ้าเอาเงินออกมาให้นักธุรกิจคนนั้น ทางบัญชีจะโดนพนักงานสาปส่งแน่นอน (รายละเอียดในส่วนนี้จะขอเล่าเพิ่มเติมในส่วนของนักบัญชี)
เรากับทางภรรยาจึงได้ให้ทางบัญชีเบิกเงินออกมา เพื่อเตรียมจ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงาน และทุกอย่างก็ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
ถ้าไม่มีเรากับภรรยา ป่านนี้พนักงานแต่ละคน คงจะไม่ได้อะไรเลย และคงจะเป็นตราบาปประทับในใจของเรากับภรรยาไปจนตาย ว่าทำไมถึงช่วยเขาเหล่านั้นไม่ได้
แต่ค่าชดเชยของเรากับภรรยา ได้ค่าชดเชยไม่ครบตามจำนวน ทางนักธุรกิจคนนั้นอ้างว่า ทางหุ้นส่วนให้แค่นั้น มันขาดไปอีก 1,000 USD เงินค่าตอบแทนที่เรากับภรรยาควรจะได้ แต่ทางนักธุรกิจคนนั้นไม่ให้ มันทำให้เราได้ ”สาป” ให้นักธุรกิจคนนั้น “ทำอะไรก็จะไม่เจริญ” การที่เราเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีโกหกหลอกลวง จึงทำให้เราทำได้เพียงเท่านี้
และต่อมาเราได้เข้าไปดูรายละเอียดของการโพส Facebook ของนักธุรกิจคนนั้นเกือบ 2 เดือนที่หลังจากกลับมาจากลาวแล้ว ทำให้เรารู้ว่า นักธุรกิจคนนั้น ตอนนี้ไม่ได้มีความเชื่อมั่นจากคนใน Facebook อีกต่อไป ตอนนี้พยายามที่จะสร้างภาพ แต่ทุกคนรู้ความเป็นจริงหมดแล้ว ว่าคุณเป็นคนประเภทไหน
มีเรื่องที่สำคัญมากอีกเรื่องคือ ภรรยาของเราก่อนวันที่จะกลับไทย ประมาณอาทิตย์นึง ได้เป็นไข้เลือดออก ทางเราได้พาภรรยาไปหาหมอที่โรงพยาบาลแขวง ขอเล่าเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของที่นี่ก่อนนิดนึง การรักษาแบบว่าแย่มาก ให้เราไปทำบัตรคนไข้ แค่เพียงเวลา 5 นาทีเท่านั้น ทางพยาบาลเวร กับหมอเวรในคืนนั้น เจาะแขนภรรยาเราเพื่อที่จะเอาเลือดไปตรวจ แต่ ดันเจาะไม่เป็น เจาะแขนภรรยาเราทั้ง 2 แขน 5 ครั้ง ทำให้เส้นเลือดแตก (กลับมาไทยรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลเชียงรายราม ทางพยาบาลบอกว่าทำไมเจาะแขนคนไข้แล้วเส้นเลือดแตกขนาดนี้)
ย้อนกลับมาเรื่องนักธุรกิจคนนั้น พอทราบข่าวว่า ภรรยาเราเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ตอนนั้นเป็นช่วงเวลากลางคืนแล้ว ขณะนั้นเวลาประมาณเกือบเที่ยงคืนแล้ว นักธุรกิจคนนั้นเข้ามาหาเรากับภรรยา ด้วยท่าทีเอาผ้าคาดไหล่มาปิดจมูก ทำอย่างกับโรงพยาบาลเป็นสถานที่แบบเลวร้ายมาก ถ้าใครอยู่ตรงนั้นกับเรา และเห็นภาพที่เราเห็น จะรู้สึกว่าทำไมเค้าถึงทำอย่างนั้น เราเห็นแล้วอยากบอกว่า กลับไปเถอะ ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากคนที่มีท่าทีอย่างนี้เลย
วันรุ่งขึ้น ภรรยาเราอาการยังไม่ดีขึ้น พี่ที่โรงแรมให้เราไปหาหมอที่โรงพยาบาลอีกแห่ง คนที่นี่เรียกว่า โรงพยาบาลทหาร และภรรยาเราก็ได้แอดมิด นอนโรงพยาบาล การรักษาของที่นี่ ทางเราต้องเป็นคนไปซื้อยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องใช้สำหรับคนป่วย มาให้หมอก่อน เพื่อรักษาภรรยาเรา เราดูสภาพของภรรยาเราแล้วว่าถ้ารักษาที่นี่คงไม่น่าจะรอด เราได้แต่ภาวนาให้ไข้ของภรรยาเราลดลง จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ 29 มิถุนายน 2024 ไข้ขึ้นสูงมาก 40 องศา การรักษาของหมอที่นี่ต้องให้ญาติเป็นคนไปตาม เมื่อน้ำเกลือหมด ยาที่ให้หมด (ไม่เหมือนเมืองไทย พยาบาลเข้ามาทุก 2 ชั่วโมง) รักษาอยู่ 3 วัน 29-1 กรกฎาคม 2024 ระหว่างนี้เราขอให้ทางนักธุรกิจคนนั้นจองตั๋วเครื่องบินให้เรากับภรรยา เพื่อที่จะกลับไปรักษาที่เมืองไทย แต่กว่าจะจองให้เรากลับต้องใช้เวลา หลายวัน จนเราต้องพูดว่า ต้องเอากลับไปรักษาที่ไทย เพราะถ้าอยู่ที่นี่ ตายแน่นอน ทางนักธุรกิจคนนั้น จึงได้จองตั๋วให้เรากลับ วันที่ 3 กรกฎาคม 2024 เป็นวันที่เราเสี่ยงที่สุดแล้วในชีวิต เนื่องจากภรรยาของเรา ออกมาจากโรงพยาบาลวันที่ 1 กรกฎาคม 2024 กว่าจะได้ตั๋วเดินทางคือวันที่ 3 ต้องนอนรอที่โรงแรมอีก 1 คืน ซึ่งอาการของภรรยาเราไม่ได้ดีขึ้นเลย มีไข้สูง และ เหมือนมีอาการช็อค (อาการเบื้องต้นคืนตัวเย็น แต่เหงื่อออก) เราทำอะไรไม่ถูกเลย เรียกพี่ที่โรงแรมมาช่วย (ต้องขอขอบคุณมาก ๆ สำหรับการจัดการให้ทุกเรื่องที่เป็นเรื่องดี)
และแล้ววันเดินทางก็มาถึง 3 กรกฎาคม 2024 เราเตรียมของเพียงคนเดียว การเดินทางจากโรงแรมไปสนามบิน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที เพียงแค่ 4 กิโลเมตรเท่านั้น ทางแย่มาก และภรรยาของเราไข้ก็ยังไม่ลดลง เราเสี่ยงมากกับการเดินทางในครั้งนี้ ไปถึงสนามบิน ยังดีที่พนักงานที่สนามบินบริการดี เอารถวีลแชร์มาให้ภรรยาเรานั่ง แต่ก็มีเรื่องให้ปวดหัว เนื่องจากเอ็กซ์เรย์กระเป๋า ดันติดปัญหาพบว่าเหมือนมี power bank จึงทำให้เราต้องเสียเวลาอีกรอบก่อนที่จะขึ้นเครื่อง ต้องไปเปิดกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่ดู ปรากฏว่าเป็นที่หนีบผมของภรรยา มันเหมือนมีแบตเตอร์รี่ สุดท้ายแล้วก็ได้ปิดกระเป๋า ระหว่างที่เราไปดูกระเป๋า ภรรยาเราท่าทางก็ไม่ค่อยดี เหมือนจะอ้วก ต้องขอถุงที่เราเตรียมไว้ ระหว่างนั่งรอก่อนที่จะขึ้นเครื่อง ปรากฏว่าทางนักธรุกิจคนนั้นเข้ามาที่รอสำหรับผู้โดยสาร เราก็ถามว่าเข้ามาได้อย่างไร เค้าบอกว่าที่ลาวทำอะไรก็ได้ และก็มาถามภรรยาเราว่าเป็นอย่างไรบ้าง อยากจะบอกว่า ดูสภาพเมียกูดิ และก็ถามว่าหมดค่ารักษาไปเท่าไร เราได้บอกว่าประมาณ 4 ล้านกว่ากีบ เกือบ 5 ล้านกีบ (เท่าที่ขอบิลมานะ) นักธุรกิจคนนั้น ได้ควักเงินมาให้ 5000 บาท เราก็ไม่ได้ว่าอะไร จริง ๆ แล้ว ควรจะรับผิดชอบมากกว่านี้ แต่ก็ช่างมันเถอะ
ขึ้นเครื่องแล้ว ใช้เวลาในการเดินทางจากหลวงพระบาง ไป เชียงใหม่ 1.20 ชั่วโมง บนเครื่องเป็นอะไรที่เรากังวลใจมากที่สุด เนื่องจากสภาพความกดอากาศ และแรงดันต่าง ๆ มีผลกระทบต่อภรรยาเราทั้งนั้น ตอนนั้นอ้วกไปทีนึง ถึงเชียงใหม่เครื่องลงแล้ว ยังดีที่คู่เขย (ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะ) และพ่อตาเอารถมารับ เรายังต้องเดินทางไปเชียงรายอีกประมาณ 4 ชั่วโมง เป็น 4 ชั่วโมงที่กดดันกับเรา คู่เขย และพ่อตาอีก และคู่เขยก็ได้ขับมาถึงโรงพยาบาลเชียงรายราม ทางหมอให้นอนรักษาเลย พยาบาลที่เจาะเลือดของใช้พยาบาล EMS มาเจาะเนื่องจากไม่มีเส้นที่จะให้เจาะเลือดไปตรวจแล้ว พยาบาลบ่นว่าทำไมเจาะเลือดแบบนี้นะ เส้นแตกทุกเส้นเลย เราเลยบอกรายละเอียดไปตามข้างต้น
การรักษาของที่ไทย แตกต่างจากลาวมาก เราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย พยาบาลเข้ามาบริการทุก2 ชั่วโมง เรียกได้ว่าไม่ต้องได้นอนกันเต็มอิ่ม การรักษาพยาบาลทาง คุณหมอได้แจ้งการรักษาแบบละเอียด เข้าใจง่าย ว่าการรักษาเป็นอย่างไร โรคไข้เลือดออก การรักษาอย่างแรกคือลดไข้ พยายามไม่ให้คนไข้มีไข้สูง มีการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ภรรยาเราได้ฟื้นตัวเร็ว แต่ก็อยู่โรงพยาบาล 3 วัน หมดค่ารักษาพยาบาล ถูกกว่าที่จ่ายไปตอนที่อยู่ที่ลาว การรักษาก็ดีกว่ามาก 2 วันแรกภรรยาของเราฟื้นตัวเร็ว แต่เกล็ดเลือดยังคงต่ำอยู่ กว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาล วันที่ 3 ของการรักษา ทางหมอได้ให้ออกไปพักฟื้นที่บ้าน แต่ข้อควรระวังช่วงแรก ๆ คือห้ามให้เกิดบาดแผล เพราะเลือดยังคงมีน้อยอยู่ และการหยุดของเลือด ยังมีโอกาสหยุดยากอยู่ ห้ามให้เกิดบาดแผลทั้งสิ้น ระหว่างที่ภรรยากำลังรักษาตัว มีน้องที่รู้จักกันที่ลาว โพส Facebook แจ้งว่ามีคนรู้จักเพิ่งจะเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออก รักษาอยู่แค่ 2 วัน เท่านั้นเอง อยากขอเตือนให้ระมัดระวังเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกนี้ด้วยนะครับ ยังไงก็อันตรายอยู่ดี ถ้ารักษาไม่ถูกต้อง
หลังจากที่ภรรยาฟื้นตัวแล้วคุณหมออนุญาติให้กลับบ้านได้แล้ว สงสารหมากับแมวที่บ้าน ไม่ได้เข้าใกล้ภรรยาเราเลย แม่ยายกับพ่อตาก็กลัวว่าจะทำให้เกิดบาดแผล พักอยู่ในห้องเกือบอาทิตย์ กว่าจะได้สัมผัสกัน นึกดูโรคนี้ทำให้ทั้งคนรอบตัว และสัตว์เลี้ยงของเราต่างทุกข์ใจไปตาม ๆ กัน
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เป็นบทเรียนราคาแพงมาก สำหรับเราและภรรยา ประสบการณ์เรื่องคน ในโลกนี้รอบ ๆ ตัวเรา มีทั้งคนดี และ คนไม่ดี มีคนเลว มีคนหลอกลวง สารพัดรูปแบบ ต่อไปนี้จะไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ อีกต่อไปแล้ว
หวังว่าคงจะติดตามเรื่องของท่านอื่นต่ออีกนะครับ ยังไงว่างแล้วจะทยอยมาลงอีกครั้งนะครับ
อยากได้ comment ของคนที่เคยผ่านประสบการณ์คล้าย ๆ กัน มาเล่าสู่กันฟังนะครับ
นักธุรกิจ ผู้หลอกลวง
เราเป็นคนหนึ่งที่เชื่อในการทำดีได้ดี แต่ในสังคมปัจจุบัน “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดี มีถมไป” แต่ความชั่วนั้นมันเป็นกรรมส่งผลกระทบได้เร็วนักแล
จะขอยกตัวอย่างเรื่องที่เราพบเจอในชีวิตจริง เล่าจากประสบการณ์จริง เราและภรรยาเดินทางไปทำงานที่ลาว โดยภรรยาเราเป็น GM และเราเป็น Assist. GM ได้พบเจอคนมากมายหลายแบบ จะขอเล่าแบบหลาย ๆ เรื่องราวที่ได้ไปเจอมา เรื่องดังนี้
คนแรก เป็น นักธุรกิจ
จะขอเริ่มจากเรามองเขาคนนั้น ที่ดูดีใน Facebook ภาพนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ดูโพสแต่ละโพสที่มี ทานอาหารหรูหรา มีการโชว์ร้านอาหาร บ้าน การแต่งตัวที่ดูดี ทำให้เรามองว่าเค้าเป็นคนรวยที่ประสบความสำเร็จ มีบริวารล้อมรอบ มีบอดี้การ์ดมาคอยดูแลความปลอดภัย ตลอดระยะเวลาที่มาที่ลาว มีผู้คนรู้จักรอบตัวมากมาย สามารถใช้คนรอบตัวให้เป็นบริวารรับใช้ได้มากมาย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาพที่เรามองสวยหรู ความจริงมันไม่เป็นอย่างที่สร้างขึ้นมา อย่างแรกเลย โรงแรมที่บอกว่าเป็นของตัวเอง ที่แท้เป็นการเช่าโรงแรมเพื่อบริหาร และเจ้าของโรงแรม ( ตัวจริง ) ก็หลงคารม ในความที่นักธุรกิจคนนั้นสร้างภาพขึ้นมา ภาพของการที่บริหารไม่เป็น ไม่ได้รู้ต้นทุนของการบริหารเลย มันทำให้เราได้รู้ว่า นักธุรกิจคนนั้น ความจริงแล้วเป็น “ มิจ “ (มิจฉาชีพ) เรากับภรรยาดีแล้วที่รอดออกมาจากตรงนั้นได้ ความอัดอั้นที่เรามีตลอดระยะเวลา 6 เดือน ที่อยู่ที่ลาว ขอระบายตรงนี้ล่ะกัน นักธุรกิจคนนั้นอย่างแรกเลย มักมากในกามรมณ์ เอาผู้หญิงไม่เลือกหน้า ไม่เว้นแม้แต่พนักงานที่อยู่ในโรงแรม การกระทำของนักธุรกิจคนนั้น ไม่เคารพต่อสถานที่ทำมาหากิน การไม่เคารพต่อสถานที่ทำให้นักธุรกิจคนนั้นหมดบารมีที่จะบริหารสถานที่ แล้วก็ไปอย่างไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้ความเคารพของพนักงานเลย ตอนที่เจ้าของมาเอาโรงแรมคืน ทางนักธุรกิจคนนั้นไม่ได้แจ้งพนักงานล่วงหน้า ทำให้ทางทีมบริหารใช้เวลาในการเตรียมส่งมอบคืนโรงแรมให้กับเจ้าของเดิมน้อยมาก เพียงแค่ 7 วันเท่านั้น ถึงจะบอกกับพนักวาน และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ทางนักธุรกิจท่านนั้นตั้งใจที่จะลอยแพพนักวาน โดยการไม่บอกอะไรเลย และก็ไม่คิดที่จะชดเชยพนักงานแต่ละคนด้วย ทางนักธุรกิจท่านนั้นได้เคยคิดที่จะปิดบัญชี เพื่อที่จะกอบโกยเอาเงินทั้งหมดไปโดยที่ไม่ดูดำดูดีพนักงานเลย แต่ก็นะ เป็นเรากับภรรยาที่ห้ามทางบัญชี (คนนี้ขอเล่าอีกครั้งหนึ่ง) ไม่ให้เอาเงินออกจากบัญชี เพราะถ้าเอาเงินออกมาให้นักธุรกิจคนนั้น ทางบัญชีจะโดนพนักงานสาปส่งแน่นอน (รายละเอียดในส่วนนี้จะขอเล่าเพิ่มเติมในส่วนของนักบัญชี)
เรากับทางภรรยาจึงได้ให้ทางบัญชีเบิกเงินออกมา เพื่อเตรียมจ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงาน และทุกอย่างก็ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
ถ้าไม่มีเรากับภรรยา ป่านนี้พนักงานแต่ละคน คงจะไม่ได้อะไรเลย และคงจะเป็นตราบาปประทับในใจของเรากับภรรยาไปจนตาย ว่าทำไมถึงช่วยเขาเหล่านั้นไม่ได้
แต่ค่าชดเชยของเรากับภรรยา ได้ค่าชดเชยไม่ครบตามจำนวน ทางนักธุรกิจคนนั้นอ้างว่า ทางหุ้นส่วนให้แค่นั้น มันขาดไปอีก 1,000 USD เงินค่าตอบแทนที่เรากับภรรยาควรจะได้ แต่ทางนักธุรกิจคนนั้นไม่ให้ มันทำให้เราได้ ”สาป” ให้นักธุรกิจคนนั้น “ทำอะไรก็จะไม่เจริญ” การที่เราเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีโกหกหลอกลวง จึงทำให้เราทำได้เพียงเท่านี้
และต่อมาเราได้เข้าไปดูรายละเอียดของการโพส Facebook ของนักธุรกิจคนนั้นเกือบ 2 เดือนที่หลังจากกลับมาจากลาวแล้ว ทำให้เรารู้ว่า นักธุรกิจคนนั้น ตอนนี้ไม่ได้มีความเชื่อมั่นจากคนใน Facebook อีกต่อไป ตอนนี้พยายามที่จะสร้างภาพ แต่ทุกคนรู้ความเป็นจริงหมดแล้ว ว่าคุณเป็นคนประเภทไหน
มีเรื่องที่สำคัญมากอีกเรื่องคือ ภรรยาของเราก่อนวันที่จะกลับไทย ประมาณอาทิตย์นึง ได้เป็นไข้เลือดออก ทางเราได้พาภรรยาไปหาหมอที่โรงพยาบาลแขวง ขอเล่าเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของที่นี่ก่อนนิดนึง การรักษาแบบว่าแย่มาก ให้เราไปทำบัตรคนไข้ แค่เพียงเวลา 5 นาทีเท่านั้น ทางพยาบาลเวร กับหมอเวรในคืนนั้น เจาะแขนภรรยาเราเพื่อที่จะเอาเลือดไปตรวจ แต่ ดันเจาะไม่เป็น เจาะแขนภรรยาเราทั้ง 2 แขน 5 ครั้ง ทำให้เส้นเลือดแตก (กลับมาไทยรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลเชียงรายราม ทางพยาบาลบอกว่าทำไมเจาะแขนคนไข้แล้วเส้นเลือดแตกขนาดนี้)
ย้อนกลับมาเรื่องนักธุรกิจคนนั้น พอทราบข่าวว่า ภรรยาเราเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ตอนนั้นเป็นช่วงเวลากลางคืนแล้ว ขณะนั้นเวลาประมาณเกือบเที่ยงคืนแล้ว นักธุรกิจคนนั้นเข้ามาหาเรากับภรรยา ด้วยท่าทีเอาผ้าคาดไหล่มาปิดจมูก ทำอย่างกับโรงพยาบาลเป็นสถานที่แบบเลวร้ายมาก ถ้าใครอยู่ตรงนั้นกับเรา และเห็นภาพที่เราเห็น จะรู้สึกว่าทำไมเค้าถึงทำอย่างนั้น เราเห็นแล้วอยากบอกว่า กลับไปเถอะ ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากคนที่มีท่าทีอย่างนี้เลย
วันรุ่งขึ้น ภรรยาเราอาการยังไม่ดีขึ้น พี่ที่โรงแรมให้เราไปหาหมอที่โรงพยาบาลอีกแห่ง คนที่นี่เรียกว่า โรงพยาบาลทหาร และภรรยาเราก็ได้แอดมิด นอนโรงพยาบาล การรักษาของที่นี่ ทางเราต้องเป็นคนไปซื้อยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องใช้สำหรับคนป่วย มาให้หมอก่อน เพื่อรักษาภรรยาเรา เราดูสภาพของภรรยาเราแล้วว่าถ้ารักษาที่นี่คงไม่น่าจะรอด เราได้แต่ภาวนาให้ไข้ของภรรยาเราลดลง จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ 29 มิถุนายน 2024 ไข้ขึ้นสูงมาก 40 องศา การรักษาของหมอที่นี่ต้องให้ญาติเป็นคนไปตาม เมื่อน้ำเกลือหมด ยาที่ให้หมด (ไม่เหมือนเมืองไทย พยาบาลเข้ามาทุก 2 ชั่วโมง) รักษาอยู่ 3 วัน 29-1 กรกฎาคม 2024 ระหว่างนี้เราขอให้ทางนักธุรกิจคนนั้นจองตั๋วเครื่องบินให้เรากับภรรยา เพื่อที่จะกลับไปรักษาที่เมืองไทย แต่กว่าจะจองให้เรากลับต้องใช้เวลา หลายวัน จนเราต้องพูดว่า ต้องเอากลับไปรักษาที่ไทย เพราะถ้าอยู่ที่นี่ ตายแน่นอน ทางนักธุรกิจคนนั้น จึงได้จองตั๋วให้เรากลับ วันที่ 3 กรกฎาคม 2024 เป็นวันที่เราเสี่ยงที่สุดแล้วในชีวิต เนื่องจากภรรยาของเรา ออกมาจากโรงพยาบาลวันที่ 1 กรกฎาคม 2024 กว่าจะได้ตั๋วเดินทางคือวันที่ 3 ต้องนอนรอที่โรงแรมอีก 1 คืน ซึ่งอาการของภรรยาเราไม่ได้ดีขึ้นเลย มีไข้สูง และ เหมือนมีอาการช็อค (อาการเบื้องต้นคืนตัวเย็น แต่เหงื่อออก) เราทำอะไรไม่ถูกเลย เรียกพี่ที่โรงแรมมาช่วย (ต้องขอขอบคุณมาก ๆ สำหรับการจัดการให้ทุกเรื่องที่เป็นเรื่องดี)
และแล้ววันเดินทางก็มาถึง 3 กรกฎาคม 2024 เราเตรียมของเพียงคนเดียว การเดินทางจากโรงแรมไปสนามบิน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที เพียงแค่ 4 กิโลเมตรเท่านั้น ทางแย่มาก และภรรยาของเราไข้ก็ยังไม่ลดลง เราเสี่ยงมากกับการเดินทางในครั้งนี้ ไปถึงสนามบิน ยังดีที่พนักงานที่สนามบินบริการดี เอารถวีลแชร์มาให้ภรรยาเรานั่ง แต่ก็มีเรื่องให้ปวดหัว เนื่องจากเอ็กซ์เรย์กระเป๋า ดันติดปัญหาพบว่าเหมือนมี power bank จึงทำให้เราต้องเสียเวลาอีกรอบก่อนที่จะขึ้นเครื่อง ต้องไปเปิดกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่ดู ปรากฏว่าเป็นที่หนีบผมของภรรยา มันเหมือนมีแบตเตอร์รี่ สุดท้ายแล้วก็ได้ปิดกระเป๋า ระหว่างที่เราไปดูกระเป๋า ภรรยาเราท่าทางก็ไม่ค่อยดี เหมือนจะอ้วก ต้องขอถุงที่เราเตรียมไว้ ระหว่างนั่งรอก่อนที่จะขึ้นเครื่อง ปรากฏว่าทางนักธรุกิจคนนั้นเข้ามาที่รอสำหรับผู้โดยสาร เราก็ถามว่าเข้ามาได้อย่างไร เค้าบอกว่าที่ลาวทำอะไรก็ได้ และก็มาถามภรรยาเราว่าเป็นอย่างไรบ้าง อยากจะบอกว่า ดูสภาพเมียกูดิ และก็ถามว่าหมดค่ารักษาไปเท่าไร เราได้บอกว่าประมาณ 4 ล้านกว่ากีบ เกือบ 5 ล้านกีบ (เท่าที่ขอบิลมานะ) นักธุรกิจคนนั้น ได้ควักเงินมาให้ 5000 บาท เราก็ไม่ได้ว่าอะไร จริง ๆ แล้ว ควรจะรับผิดชอบมากกว่านี้ แต่ก็ช่างมันเถอะ
ขึ้นเครื่องแล้ว ใช้เวลาในการเดินทางจากหลวงพระบาง ไป เชียงใหม่ 1.20 ชั่วโมง บนเครื่องเป็นอะไรที่เรากังวลใจมากที่สุด เนื่องจากสภาพความกดอากาศ และแรงดันต่าง ๆ มีผลกระทบต่อภรรยาเราทั้งนั้น ตอนนั้นอ้วกไปทีนึง ถึงเชียงใหม่เครื่องลงแล้ว ยังดีที่คู่เขย (ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะ) และพ่อตาเอารถมารับ เรายังต้องเดินทางไปเชียงรายอีกประมาณ 4 ชั่วโมง เป็น 4 ชั่วโมงที่กดดันกับเรา คู่เขย และพ่อตาอีก และคู่เขยก็ได้ขับมาถึงโรงพยาบาลเชียงรายราม ทางหมอให้นอนรักษาเลย พยาบาลที่เจาะเลือดของใช้พยาบาล EMS มาเจาะเนื่องจากไม่มีเส้นที่จะให้เจาะเลือดไปตรวจแล้ว พยาบาลบ่นว่าทำไมเจาะเลือดแบบนี้นะ เส้นแตกทุกเส้นเลย เราเลยบอกรายละเอียดไปตามข้างต้น
การรักษาของที่ไทย แตกต่างจากลาวมาก เราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย พยาบาลเข้ามาบริการทุก2 ชั่วโมง เรียกได้ว่าไม่ต้องได้นอนกันเต็มอิ่ม การรักษาพยาบาลทาง คุณหมอได้แจ้งการรักษาแบบละเอียด เข้าใจง่าย ว่าการรักษาเป็นอย่างไร โรคไข้เลือดออก การรักษาอย่างแรกคือลดไข้ พยายามไม่ให้คนไข้มีไข้สูง มีการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ภรรยาเราได้ฟื้นตัวเร็ว แต่ก็อยู่โรงพยาบาล 3 วัน หมดค่ารักษาพยาบาล ถูกกว่าที่จ่ายไปตอนที่อยู่ที่ลาว การรักษาก็ดีกว่ามาก 2 วันแรกภรรยาของเราฟื้นตัวเร็ว แต่เกล็ดเลือดยังคงต่ำอยู่ กว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาล วันที่ 3 ของการรักษา ทางหมอได้ให้ออกไปพักฟื้นที่บ้าน แต่ข้อควรระวังช่วงแรก ๆ คือห้ามให้เกิดบาดแผล เพราะเลือดยังคงมีน้อยอยู่ และการหยุดของเลือด ยังมีโอกาสหยุดยากอยู่ ห้ามให้เกิดบาดแผลทั้งสิ้น ระหว่างที่ภรรยากำลังรักษาตัว มีน้องที่รู้จักกันที่ลาว โพส Facebook แจ้งว่ามีคนรู้จักเพิ่งจะเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออก รักษาอยู่แค่ 2 วัน เท่านั้นเอง อยากขอเตือนให้ระมัดระวังเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกนี้ด้วยนะครับ ยังไงก็อันตรายอยู่ดี ถ้ารักษาไม่ถูกต้อง
หลังจากที่ภรรยาฟื้นตัวแล้วคุณหมออนุญาติให้กลับบ้านได้แล้ว สงสารหมากับแมวที่บ้าน ไม่ได้เข้าใกล้ภรรยาเราเลย แม่ยายกับพ่อตาก็กลัวว่าจะทำให้เกิดบาดแผล พักอยู่ในห้องเกือบอาทิตย์ กว่าจะได้สัมผัสกัน นึกดูโรคนี้ทำให้ทั้งคนรอบตัว และสัตว์เลี้ยงของเราต่างทุกข์ใจไปตาม ๆ กัน
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เป็นบทเรียนราคาแพงมาก สำหรับเราและภรรยา ประสบการณ์เรื่องคน ในโลกนี้รอบ ๆ ตัวเรา มีทั้งคนดี และ คนไม่ดี มีคนเลว มีคนหลอกลวง สารพัดรูปแบบ ต่อไปนี้จะไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ อีกต่อไปแล้ว
หวังว่าคงจะติดตามเรื่องของท่านอื่นต่ออีกนะครับ ยังไงว่างแล้วจะทยอยมาลงอีกครั้งนะครับ
อยากได้ comment ของคนที่เคยผ่านประสบการณ์คล้าย ๆ กัน มาเล่าสู่กันฟังนะครับ