เช็ก 7 หุ้นกลุ่มรัฐบาล ‘เศรษฐา’ 1 ปี ราคาร่วงหนักแค่ไหน?

เช็ก 7 หุ้นกลุ่มรัฐบาล ‘เศรษฐา’ 1 ปี ราคาร่วงหนักหุ้น XPG -30.16% ด้านหุ้น SIRI -12.64% "นักวิเคราะห์" ระบุ หลัง 'เศรษฐา' พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หากจัดตั้งรัฐบาลยืดเยื้อถึงไตรมาส 4/67 ทำให้เกิดสุญญากาศทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ส่งผลให้ภาคธุรกิจเกิดการชะลอตัวลงไปได้

ไม่รอด! เมื่อเวลา 15.00 น.ของวันที่ 14 ส.ค.2567 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย โดยมีมติ 5 ต่อ 4 ตัดสินความเป็นรัฐมนตรี ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากกรณีได้มีการแต่งตั้ง ‘พิชิต ชื่นบาน’  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) สิ้นสุดลงทั้งคณะ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาแรงกว่า 15 จุด ก่อนจะรีบาวน์กลับขึ้นมาได้ และปิดตลาดลบไป 5.10 จุด หรือลดลง 0.39% หรือ 1,292.69 จุด โดยนักวิเคราะห์ ระบุว่า หากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่ล้าช้าหรือลากยาวไปถึงไตรมาส 4/67 ส่งผลให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองและเศรษฐกิจได้ 
 
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้ข้อมูลกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หลังจากที่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตัดสินนายกรัฐมนตรีหลุดออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือเป็น Negative Surprise แน่นอน

หลังจากนี้ ยังคงต้องรอดูการลงมติในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รวมถึงการจัดตั้งครม.ชุดใหม่ จะใช้ระยะเวลานานขนาดไหน ซึ่งหากเกิดขึ้นได้เร็วในช่วงไตรมาส 2/67 เชื่อว่า นักลงทุนยังสามารถยอมรับได้อยู่ แต่ทว่า หากมีการเจรจาต่าง ๆ มากขึ้น ในกลุ่มร่วมรัฐบาล ตรงนี้ถือว่า เป็นสิ่งที่น่ากังวล หากการจัดตั้งรัฐบาลยืดเยื้อไปถึงไตรมาส 4/67 จะทำให้เกิดสุญญากาศทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจไทยด้วย ส่งผลให้ภาคธุรกิจเกิดการชะลอตัวลงไปได้
 
“เป็นการเปิดความเสี่ยงดาวน์ไซด์ เปิดความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยให้อยู่ในช่วงขาลงมากขึ้น รวมไปถึง Earning กำไรบริษัทที่อิงกับ Domestic Demand ทำให้มีความเสี่ยงขาลงเพิ่มมากขึ้นไปด้วย” 

โดย SET INDEX ที่ประเมินไว้ หากมีกระบวนการจัดตั้งครม.ใหม่ แล้วเสร็จได้เร็วภายในไตรมาส 3/67 ระดับแนวรับสำคัญ 1270 จุด น่าจะยังรับไหว แต่ทว่า มีการลากยาวไปถึงไตรมาส 4/67 เป็นไปได้ว่า อาจจะต้องมีการปรับประมาณการ EPS ของตลาดลงมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่า 1270 จุด จะถูกกดลงมาโดยอัตโนมัติด้วย ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะปรับตัวลงมาที่ 1240 จุด ที่ได้ประเมินไว้ 

ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายสายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สภาพตลาดหุ้นได้มีการตอบรับทางการเมืองระยะหนึ่งตั้งแต่ มีคำร้องจาก 40 สว.ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2567 รวม 85 วัน ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองที่ไม่แน่นอนทำให้ดัชนีหุ้นไทยลดลงไปที่ 5.3% 

ทั้งนี้ หากย้อนไปดูในอดีตทุก ๆ ครั้งที่มีเรื่องการเมืองไม่แน่นอนนักลงทุนต่างชาติจะไม่ค่อยชอบสักเท่าไร ต่างชาติก็จะทำการขายออก และเราได้มีการตอบรับกันมาเยอะในระดับหนึ่ง หลังจากนี้ที่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ถูกถอดถอนจากตำแหน่งจะทำให้เกิดสุญญากาศระยะสั้น และคาดว่า ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ทำหน้าที่รักษาการนายกฯ แทน ส่วนครม. ต้องรักษากันไว้ และรอโหวดในสภาใหม่อีกครั้งภายใน 45 -60 วัน 

“ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองสักระยะหนึ่ง ว่าหลังจากนี้นายกรัฐมนตรีจะเป็นใคร และนโยบายต่าง ๆ ที่วางไว้จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไร ก็จะทำให้ตลาดหุ้นเกิดความผันผวนชั่วคราว” 

ทั้งนี้ ทำไมถึงไม่ได้มองว่า การเมืองจะยืดเยื้อในระยะยาว เนื่องจากว่า ได้เห็นว่า ดัชนีหุ้นไทยมีการซึมในระยะเวลาที่นานมากแล้วจากกว่าหน้านี้ที่ปรับตัวลงมา 5% จึงมองการผันผวนในระยะสั้นเท่านั้น แต่ตลาดอาจจะฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า 

กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนที่จะมีผลการตัดสินคดีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแกว่งตัวแคบ จนกระทั่งมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญความสิ้นสุด

อย่างไรก็ตาม มองว่า ถือเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ หุ้นจะมีการพักตัวในช่วงระยะสั้น ๆ เพราะคือ ความชัดเจน แต่ท้ายที่สุดกระบวนการทางการเมืองคงต้องมีการหารือกันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเดินหน้าต่อ  

ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้ทำการสำรวจ 7 หุ้นในกลุ่มรัฐบาลเพื่อไทยช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหว ดังนี้ (ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ 14 ส.ค.2567) 
1.บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI
ผลตอบแทนราคา 1 ปี  -12.64%
ผลตอบแทนราคา YTD -10.17%
มาร์เก็ตแคป 27,431.56 ล้านบาท 
ราคาปิด 1.54 บาท 
2.บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG
ผลตอบแทนราคา 1 ปี  -21.08%
ผลตอบแทนราคา YTD -8.00%
มาร์เก็ตแคป 13,443.50 ล้านบาท 
ราคาปิด 8.35 บาท
3.บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 
ผลตอบแทนราคา 1 ปี  -4.49%
ผลตอบแทนราคา YTD +6.25%
มาร์เก็ตแคป 13,367.10 ล้านบาท 
ราคาปิด 17.30 บาท
4.บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC 
ผลตอบแทนราคา 1 ปี  -24.60%
ผลตอบแทนราคา YTD -3.57%
มาร์เก็ตแคป 12,353.36 ล้านบาท 
ราคาปิด 9.00 บาท
5.บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC 
ผลตอบแทนราคา 1 ปี  -46.30%
ผลตอบแทนราคา YTD -29.27%
มาร์เก็ตแคป 9,923.14 ล้านบาท 
ราคาปิด 2.38 บาท
6.บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG 
ผลตอบแทนราคา 1 ปี  -30.16%
ผลตอบแทนราคา YTD -33.83%
มาร์เก็ตแคป 9,416.17 ล้านบาท 
ราคาปิด 0.81 บาท
7.บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI 
ผลตอบแทนราคา 1 ปี  -15.90%
ผลตอบแทนราคา YTD +1.86%
มาร์เก็ตแคป 5,252.30 ล้านบาท 
ราคาปิด 3.46 บาท

Cr. https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1140250


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่