ความเป็นธรรมที่ไม่เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง


ขออนุญาตไม่ให้แสดงความคิดเห็นที่เป็นเชิงหยาบคายหรือด่าทอนะคะ


สวัสดีอีกครั้งค่ะ หลังจากที่เป็นโพสต์ตั้งคำถามมาหลายครั้ง ครั้งนี้จะเป็นโพสต์ที่อยากจะเล่าและแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง
ตั้งแต่แจ้งความไปจนถึงชั้นศาลในคดีอาญา

ความเป็นธรรมที่ไม่เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง

อย่างแรกเลยขออนุญาตแจ้งให้ทราบตรงนี้ก่อนเลยนะคะ
หนูไม่ได้เป็นผู้รู้ในเรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย ไม่มีที่ปรึกษา ไม่มีใครคอยชี้แนะว่าเหตุใดคำตัดสินถึงเป็นแบบนี้ 
คำพูดหลังจากนี้ เป็นข้อคิดเห็นและความรู้สึกของคนธรรมดาคนนึงค่ะ


คู่ความ
คู่ความของหนูเป็นเยาวชนค่ะ แม้ว่าหลังจากเกิดเรื่องเขาจะพ้นอายุจากการเป็นเยาวชนแล้ว แต่ตอนเกิดเรื่องเขายังเป็นเยาวชนอยู่
จากโพสต์ก่อนๆ หนูได้เล่ารูปคดีไปแล้ว ขออนุญาตไม่พูดถึงนะคะ เป็นเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงค่ะ
บอกได้แค่ว่ามันคือ หมิ่นประมาทเชิงโฆษณา

แต่ที่ว่าหนูคือผู้เสียหายและคู่ความเป็นผู้ต้องหา นั่นคือข้อเท็จจริงค่ะ

แจ้งความ
แจ้งความไปตั้งแต่เรื่องเกิดใหม่แรกๆ เพราะคู่ความไม่ยอมลบโพสต์แม้จะมีการขอเจรจา
(รวมระยะเวลาทิ้งโพสต์ที่แชร์ไปในกลุ่มที่มีคนเป็นแสนๆหลายกลุ่ม คือ 7 เดือนค่ะ)

สิ่งแรกที่ตำรวจพูดหลังจากดูรูปคดีครั้งแรกโดยไม่ได้รู้จักผู้ต้องหาคือ "แบบนี้มันยอมความไม่ได้"
แต่พอเขารู้ว่าผู้ต้องหาเป็นเยาวชน เขาก็บอกว่า "โอ้โห ยากแล้ว มันไม่มีทางติดคุกหรอก แต่ก็เรียกร้องค่าเสียหายได้"

หมายเรียกจากตำรวจเขาผลัด 3 ครั้งค่ะ ด้วยข้ออ้างมากมาย ที่รู้เพราะคู่ความอัพเดตลงโซเชียลตลอดค่ะ ว่าทำอะไร กินอะไร อยู่ที่ไหน
แต่บอกตำรวจว่าไปไม่ได้ ไม่สะดวก 

ถึงขนาดโดนหมายเรียก 3 ครั้ง ก็ยังไม่ยอมลบโพสต์ออก เขาลบออกหลังจากไปหมายเรียกครั้งที่ 4 ค่ะ
ซึ่งยิ่งนานมาก ความเสียหายก็ยิ่งทวีคูณ

หนูต้องมาโรงพักบ่อยๆ เพราะตำรวจให้มาติดตามเอาเอง ต้องหาพยานมา เอาหลักฐานมา ต้องมายื่นเรื่อง เดินเรื่องต่อเอง
พอเขาผลัดก็ต้องไปทำเรื่องเรียกใหม่ ซึ่งหนูไม่มีรถส่วนตัวนะคะ ทุกครั้งที่มา มีค่าใช้จ่าย และต้องเสียโอกาสในการได้เงินจากการทำงานค่ะ
แต่เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง ก็ยอมลำบากมาตลอด

ตำรวจไม่ค่อยกระตือรือร้นค่ะ เขาเปลี่ยนคนในการทำเรื่อง ก็ไม่มีการโทรมาแจ้ง
มีหมาย มีนัด ผู้ต้องหาผลัดหมายเรียกเพราะปัญหาอะไร ไม่เคยทักมาบอก เป็นยังไง ต้องทำอะไรต่อ ไม่เคยแนะนำ
อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปแหละมั้งคะ อย่างน้อยก็ขอคำชี้แนะหน่อยเถอะค่ะ ว่าเราต้องเดินหน้าต่ออย่างไร
ต้องทักไปเองตลอด ถึงจะทราบที่มาความเป็นไปของเรื่อง


ม.44/1
หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนอัยการสั่งฟ้องค่ะ อัยการดูรูปคดีแล้วมีความเป็นไปได้ว่าจะสั่งฟ้อง
แต่อัยการไม่เคยติดต่อมาสอบถามหรือนัดพูดคุยอะไรเพิ่มเติมกับหนู หนูเลยค่อนข้างกังวลค่ะ
ไม่รู้ว่าต้องไปต่อแบบไหน รู้แค่ว่าเรื่องนี้ส่งต่อให้ศาลเยาวชน
หนูเลยหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต หาว่าศาลเยาวชนในพื้นที่ของตัวเองอยู่ที่ไหน เบอร์อะไร เลยลองติดต่อไปค่ะ
เขาแนะนำดีนะคะ เขาพูดว่า
"ปกติแล้วเยาวชนพวกเจ้าหน้าที่เขาจะไม่อยากยุ่งค่ะ เพราะโทษหนักแค่ไหนก็ไม่ติดคุก
ที่เราทำได้คือเรียกร้องไปตาม ม.44/1 ว่าด้วยเรื่องเรียกร้องค่าเสียหายค่ะ"
  
หนูเลยเดินทางที่ศาลเยาวชนตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ในสาย ว่าให้มากรอกคำร้องที่ว่า 
แม่ของหนูเองก็เป็นผู้เสียหายในเรื่องนี้ เท่ากับว่ามีผู้เสียหาย 2 คนใช่มั้ยคะ 
เขาก็ให้เราเขียนใบเรียกร้องค่าเสียหายแยกกัน
เจ้าหน้าที่ที่นั่น ไม่มีเดินมาอธิบายอะไรเลยค่ะ เกี่ยวกับหลักการเรียกร้องค่าเสียหาย
เขาพูดแค่ "เราเสียหายเท่าไหร่ เขียนไปเท่านั้น ถ้ามีหลักฐานมากพอ ก็อาจจะได้ตรงตามที่เรียกร้องไป"

ซึ่งพูดตามตรงว่า จริงๆก็มีคิดกับแม่มาแล้วค่ะ ว่าค่าเสียหายเราจะคิดแบบไหน
อ้างอิงจากหลายๆคดีของข่าวที่เคยได้ยินและญาติที่เคยมีเรื่องคล้ายกันนี้

หนูหาข้อมูลมาเยอะมากๆ ทำการบ้านอย่างหนัก ว่าแบบไหนที่เราจะได้รับความเป็นธรรม โดยที่ศาลจะไม่มองว่าเราเรียกร้องเกินไป
เลยเรียกตามจำนวนแชร์ค่ะ เพราะจริงๆแล้วความเสียหายมันมากกว่านั้น โพสต์ประจานทิ้งไว้แถมแชร์ต่อๆไป
ลงสตอรี่ประจานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทิ้งไว้ตั้ง 7 เดือน โดยที่ถ้าหากไม่มีหมายเรียก เขาก็คงไม่คิดจะลบ
ค่าเสียโอกาส เสียอิสระภาพในการที่ไม่สามารถใช้ชื่อจริงนามสกุลจริงในการค้าขาย ต้องอาศัยบัญชีคนอื่น
ความกดดัน ความกลัว ความหวาดระแวงในการใช้ชีวิต ที่ต้องหลบๆซ่อนๆ
ต้องออกจากมหาลัย แม่ต้องออกจากงาน
คดีนี้กินเวลามา 10 เดือนค่ะ หนูต้องทุกข์ทนทรมานกับมันเป็นอย่างมาก ทุกคืนไม่สามารถนอนหลับได้อย่างเต็มตา
กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้รับความเป็นธรรม กลัวว่าเขาจะไม่รับฟังในสิ่งที่เราพูด

กรอกค่าเสียหายไป เจ้าหน้าที่เองเห็นครั้งแรกก็ตกใจกับยอดความเสียหายนี้ หนูเรียกไป 3 แสนกว่าๆค่ะ
เพราะหนูพิจารณาแล้วว่า มันไม่มากเกินไปสำหรับเขา
หนูเล่าเรื่องคร่าวๆให้เจ้าหน้าที่ฟัง เขาก็พยักหน้าเหมือนว่าพอเข้าใจได้ เลยบอกว่าวันที่เท่านี้ๆ เราต้องมานัดพร้อมแล้วใบค่าเสียหายนี้ค่อยรอยื่นให้ศาล


นัดพร้อมศาล

สิ่งที่หนูตกใจเป็นอย่างแรก คือ หลังจากได้ใบหมายเลขคดีแล้ว เจ้าหน้าที่ที่ให้ใบตรงนั้นบอกว่าจะมีการขึ้นบัลลังก์
พูดตามตรงว่าหนูไม่เข้าใจเลยค่ะ อันนี้คือเราต้องขึ้นบัลลังก์แล้วหรอ
หนูไปแต่เช้าเลยค่ะ เพราะคิดว่าอาจจะได้เจออัยการคดีผู้สั่งฟ้องคดีให้หนู ผู้ที่เอาหลักฐานที่หนูให้ไปสั่งฟ้อง
อย่างน้อยก็คงมีอัยการช่วย แต่นั่นแหละค่ะ ไม่มีอัยการมา ไม่มีคนพูดถึงหลักฐาน

ตกใจอย่างที่สองคือ เขาเอาเราไปจับบัตรนั่งรวมรอเรียกโดยไม่มีแยกที่นั่งระหว่างโจทก์กับจำเลย
คือมันมีความขัดแย้งและบาดหมางกันอยู่ค่ะ
หนูต้องนั่งในนั้นเป็นชั่วโมงโดยที่รู้สึกว่านี่ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัย ทั้งอึดอัด ยากที่หายใจ
แม่ของหนูเครียดจนต้องเดินไปอ้วกในห้องน้ำถึง 2 ครั้ง
เรามีกันแค่ 2 คน มาเปล่าๆโดยที่ไม่รู้อะไรเลยนอกจากอยากได้ความเป็นธรรม ในขณะที่ฝ่ายนู้นมีคนเยอะมากมานั่งรายล้อมกัน
เรากลัวมากค่ะ แต่ในทางกลับกันฝ่ายเขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งคุยกันเหมือนว่ามาปิกนิก คุยเรื่องจะซื้อที่หรืออะไรสักอย่าง

พอถึงคิวที่ต้องขึ้นบัลลังก์ เขาจับเรานั่งแยกเป็นสองฝั่งค่ะ โจทก์และจำเลย
หนูไม่รู้ว่าที่ทำอยู่คืออยู่ในขั้นตอนอะไรกันแน่ จะขอเรียกคนที่นั่งบนบัลลังก์ว่าเป็นศาลนะคะ 

สิ่งแรกที่ศาลพูดคือ "สรุปคือโจทก์ไม่ได้จะติดใจเอาความใช่มั้ย ทั้งแพ่งและอาญา"
ตอนนั้นคือบอกไปค่ะว่า ไม่ใช่ เรายื่นเรียกร้องค่าเสียหายและอื่นๆด้วย เขาก็บอกว่า ไม่เห็นจะมีอะไรมาให้เลย เราเลยงงว่า
ก็เจ้าหน้าที่บอกว่าค่อยยื่นตอนอยู่บัลลังก์ แต่ทำไมศาลทำเหมือนว่าเราทำอะไรผิดพลาดไป แม่หนูเลยเอาใบคำร้องไปให้เขาค่ะ

คำแรกที่ศาลพูดหลังจากเห็นคือ "โอ้โห!!! มันเสียหายขนาดนั้นเลยหรอ ทำไมเรียกมาเยอะขนาดนี้ล่ะ!?"
แล้วหันไปพูดกับฝั่งคู่ความว่า "จำเลยสามารถต่อรองได้นะ ไม่จำเป็นต้องจ่ายมากตามที่เขาเรียกร้อง"
หันกลับมาหาพวกหนูบอกว่า
"ไหนคุณบอกซิ คุณอ้างอิงยอดค่าเสียหายจากอะไรอ่ะ ใครบอกคุณ? คุณเป็นคนมีชื่อเสียงหรอ คือไม่ใช่อะไรนะ ถ้าคุณไม่ใช่คนมีชื่อเสียงแล้วเป็นแค่คนธรรมดาแบบนี้ มันต้องมีหลักฐานนะว่าคุณเสียหายขนาดนี้"

หันมาตำหนิผู้เสียหายแบบหนู แต่หันไปบอกผู้ต้องหาว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายตามที่เขาร้องขอก็ได้
โดยที่ไม่ถามว่า เขาไปทำอะไรมา ผู้เสียหายถึงเรียกร้องจากเขาขนาดนั้น
วินาทีนั้นหนูก็เข้าใจได้ว่า เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรในคดีนี้เลย สิ่งที่เขาทำคือ พูดไปตามสำนวนที่อ่าน หมิ่นประมาทเชิงโฆษณา แค่นั้น
ไม่ได้สนใจว่าต้นสายปลายเหตุคืออะไร
"ก็ต้องเข้าใจนะ ว่ากฎหมายเขียนมาแบบนี้ ศาลก็ต้องทำตามนั้น เขาเขียนไว้ชัดเจน ว่าอ้างอิงตามจากสถานะบุคคลเท่านั้น"

 เขาให้เราไปไกล่เกลี่ยกันอีกครั้งค่ะ กับเจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ยโดยมีนักจิตสังคมที่คอยมาตามเก็บข้อมูลด้วย
และเขาให้เราเล่าเรื่องตั้งแต่แรกเลยต่อหน้ากัน เหมือนแถลงในรายการข่าวดังที่เราเคยเห็น
หนูเล่าทุกอย่าง แม่ของหนูบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและผลกระทบด้วยความเจ็บปวดอย่างทนทุกข์
ในขณะที่ผู้ต้องหาพูดไป หัวเราะไป ไม่มีสำนึก ผู้ปกครองของผู้ต้องหาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยก็เอาแต่กระแทกน้ำเสียงอย่างกัดแซะพวกเราอยู่ตลอดๆ

หนูเล่า เจ้าหน้าที่ก็หันไปถามฝ่ายนู้นว่ามันจริงมั้ย เขาบอกว่า
ก็อาจจะจริงครับ แต่เพราะเรื่องมันนานมากแล้ว ผมเองก็จำไม่ได้ พูดไปยิ้มไป

เขาพูดไม่ได้หรอกค่ะว่าไม่จริง เพราะฝ่ายหนูมีหลักฐานเยอะมาก แชทก็รัดตัวเขาขนาดนั้น
พยานที่เขาเชื่อใจบอกเล่าเรื่องที่เขาทำก็เป็นคนที่สนิทกับหนูมาก่อน

(ต่อในคอมเม้นนะคะ ข้อความโดนจำกัดจำนวนค่ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่