กระทู้นี้ขอให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจของสาววัย 40+ ที่ต้องการดูแลบุคลิกและรูปลักษณ์ของตัวเอง ในการเตรียมความพร้อมก่อนทำหัตถการต่างๆ
หนังตาตก
ทางการแพทย์เรียกว่า กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เดิมมีชั้นตาแบบ1ชั้นครึ่ง พอหนังตาตกลงมาก็ทำให้ดูชั้นตา2ข้างไม่เท่ากัน หาข้อมูลและเลือกคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง พนักงานก็พยายามขายโปรโมชั่นให้ในราคา 3 หมื่นห้าพัน ตอนผ่าตัดใช้ยาชาแบบฉีด รู้สึกเครียดเพิ่มขึ้นเมื่อคุณหมอดุผู้ช่วยตอนนั่งใกล้เรา ระหว่างผ่าตัดคุณณหมอถามว่าอยากจะเย็บหนังตาด้านในแล้วเพิ่มค่ารักษาหรือไม่ เรารู้สึกงงมาก และได้ปฏิเสธไป เพราะกลัวเจ็บระบมกว่าเดิม สักครู่คุณหมอก็บอกว่าได้ช่วยแก้ไขวิธีอื่นแทน ซึ่งเราไม่รู้ว่าเป็นวิธีไหน......ระหว่างทำยาชาไม่ค่อยออกฤทธิ์ ปวดมาก จนรต้องร้องขอยาชาเพิ่ม ซึ่งเราเป็นคนที่ด้านยาชา คือ ต้องขอเบิ้ลยาชาก่อนทำหัตถการต่างๆ ตลอด
เรารู้สึกกลัวและนอยด์มากก่อนผ่าตัด จึงขอยาคลายเครียดจากคุณหมอ ซึ่งตอนแรกได้รับการปฏิเสธ เพราะมาคนเดียว และมีคนไข้ก่อนหน้าที่เคยทานแล้วไม่รู้สึกตัวตอนนั่งรถกลับบ้าน มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนตื่นนอนตอนเช้า สรุป เรายืนยันขอยาแก้เครียด คุณหมอจึงให้มาครึ่งเม็ด สำหรับเรายาออกฤทธิ์ช้า มาออกฤทธิ์ตอนเรากลับถึงบ้านแล้ว คือจะรู้สึกผ่อนคลายและเคลิ้มหลับไป
ผ่าตัดแบบนี้ไม่ได้ช่วยลดริ้วรอยรอบดวงตา และถ้าใครอยากได้ชั้นตาที่เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แบบชั้นตาใหญ่แบบสายฝอ ต้องคุยปรึกษาคุณหมอไว้แต่แรกเลย
ตอนแรกทางคลีนิคห้ามไว้ว่าไม่ให้อยู่ห้องพักฟื้น ให้กลับบ้านไปเลย เดาว่าคงจะเก็บเตียงไว้ให้คนที่ผ่าตัดใหญ่มากกว่า เพราะเห็นคนมานั่งรอกันหลายคน แต่พอเราผ่าตัดเสร็จผู้ช่วยก็พาเดินมานอนที่ห้องพักฟื้น แล้วเอาน้ำแดงหวานๆมาให้ดื่ม และบอกว่าเลือดออกเยอะระหว่างผ่าตัด แต่เราไม่ได้รู้สึกเพลียหรือหน้ามืดอะไร จึงนั่งแท็กซี่กลับบ้านเอง ไม่ได้ขอใครมาเป็นเพื่อน เพราะเราเกรงใจที่ต้องเสียวันลางานมาเพื่อเรา มนุษย์เงินเดือนวันลาสำคัญมาก
ช่วงพักรักษาตัวจะต้องทานยาฆ่าเชื้อ และยาแก้ปวด โดยรอนัดตัดไหมหลังจากผ่าตัด 7 วัน โชคดีที่เราไม่เป็นคีลอยด์ ดูแลตัวเองโดยหนุนหมอนสูง ใช้หมอนที่คล้องคอเวลาขึ้นเครื่องบินมาใช้นอน หาซื้อน้ำใบบัวบกมาใส่ไว้ในตู้เย็น พร้อมซื้ออาหารมากักตุนอาหารเอาไว้ทานระหว่างรักษาตัว เปลี่ยนหมอนและปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนใหม่ จะได้ลดโอกาสติดเชื้อ ซื้อฮีรูดอยด์ลดรอยแผลเป็นมา 3 หลอด ควรทาตั่งแต่แรกๆเลยหลังตัดไหม (แผลเราพอแห้งแล้วค่อนข้างสวยทีเดียว) และเราได้ไปไหว้พระขอกำลังใจไม่ให้เคสเราผิดพลาด เลือกจองคิวเป็นเคสแรกเลย เพราะคุณหมอจะได้ไม่ล้าไม่เหนื่อย
ผลลัพธ์ที่ได้ ช่วง 2 อาทิตย์แรก จะเห็นเป็นริ้วร่องที่หัวตาชัดมาก จึงโทรปรึกษากับคลีนิค และหาข้อมูลจากออนไลน์ รู้สึกถึงปฏิกิริยาของเจ้าหน้าที่ก็รู้ว่าอาจเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ เราใจไม่ดีละ แต่ทำใจดีๆไว้ก่อน รอดูอีกสักพักจนเป็นเดือน ก็ได้ตาที่ดูสดใสขึ้น มีชั้นตาชัดเจนและดูกลมโตในช่วงเดือนแรกๆ แต่งหน้าแต่งตาง่ายขึ้น พอผ่านไปเป็นปี ก็จะได้ชั้นตาจริงที่ไม่ได้ใหญ่มากตามต้องการ ตอนนี้ผ่านมาเป็น 10 กว่าปีแล้ว หนังตาเริ่มตกลงมา ทำให้ชั้นตาดูเล็กลงกว่าเดิมอีก
ใครที่จะผ่าตัดตาก็ลองหาข้อมูลและศึกษาดีๆ เพราะอาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้
อยากสวยต้องยอมเจ็บตัว!!??
หนังตาตก
ทางการแพทย์เรียกว่า กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เดิมมีชั้นตาแบบ1ชั้นครึ่ง พอหนังตาตกลงมาก็ทำให้ดูชั้นตา2ข้างไม่เท่ากัน หาข้อมูลและเลือกคุณหมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง พนักงานก็พยายามขายโปรโมชั่นให้ในราคา 3 หมื่นห้าพัน ตอนผ่าตัดใช้ยาชาแบบฉีด รู้สึกเครียดเพิ่มขึ้นเมื่อคุณหมอดุผู้ช่วยตอนนั่งใกล้เรา ระหว่างผ่าตัดคุณณหมอถามว่าอยากจะเย็บหนังตาด้านในแล้วเพิ่มค่ารักษาหรือไม่ เรารู้สึกงงมาก และได้ปฏิเสธไป เพราะกลัวเจ็บระบมกว่าเดิม สักครู่คุณหมอก็บอกว่าได้ช่วยแก้ไขวิธีอื่นแทน ซึ่งเราไม่รู้ว่าเป็นวิธีไหน......ระหว่างทำยาชาไม่ค่อยออกฤทธิ์ ปวดมาก จนรต้องร้องขอยาชาเพิ่ม ซึ่งเราเป็นคนที่ด้านยาชา คือ ต้องขอเบิ้ลยาชาก่อนทำหัตถการต่างๆ ตลอด
เรารู้สึกกลัวและนอยด์มากก่อนผ่าตัด จึงขอยาคลายเครียดจากคุณหมอ ซึ่งตอนแรกได้รับการปฏิเสธ เพราะมาคนเดียว และมีคนไข้ก่อนหน้าที่เคยทานแล้วไม่รู้สึกตัวตอนนั่งรถกลับบ้าน มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนตื่นนอนตอนเช้า สรุป เรายืนยันขอยาแก้เครียด คุณหมอจึงให้มาครึ่งเม็ด สำหรับเรายาออกฤทธิ์ช้า มาออกฤทธิ์ตอนเรากลับถึงบ้านแล้ว คือจะรู้สึกผ่อนคลายและเคลิ้มหลับไป
ผ่าตัดแบบนี้ไม่ได้ช่วยลดริ้วรอยรอบดวงตา และถ้าใครอยากได้ชั้นตาที่เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แบบชั้นตาใหญ่แบบสายฝอ ต้องคุยปรึกษาคุณหมอไว้แต่แรกเลย
ตอนแรกทางคลีนิคห้ามไว้ว่าไม่ให้อยู่ห้องพักฟื้น ให้กลับบ้านไปเลย เดาว่าคงจะเก็บเตียงไว้ให้คนที่ผ่าตัดใหญ่มากกว่า เพราะเห็นคนมานั่งรอกันหลายคน แต่พอเราผ่าตัดเสร็จผู้ช่วยก็พาเดินมานอนที่ห้องพักฟื้น แล้วเอาน้ำแดงหวานๆมาให้ดื่ม และบอกว่าเลือดออกเยอะระหว่างผ่าตัด แต่เราไม่ได้รู้สึกเพลียหรือหน้ามืดอะไร จึงนั่งแท็กซี่กลับบ้านเอง ไม่ได้ขอใครมาเป็นเพื่อน เพราะเราเกรงใจที่ต้องเสียวันลางานมาเพื่อเรา มนุษย์เงินเดือนวันลาสำคัญมาก
ช่วงพักรักษาตัวจะต้องทานยาฆ่าเชื้อ และยาแก้ปวด โดยรอนัดตัดไหมหลังจากผ่าตัด 7 วัน โชคดีที่เราไม่เป็นคีลอยด์ ดูแลตัวเองโดยหนุนหมอนสูง ใช้หมอนที่คล้องคอเวลาขึ้นเครื่องบินมาใช้นอน หาซื้อน้ำใบบัวบกมาใส่ไว้ในตู้เย็น พร้อมซื้ออาหารมากักตุนอาหารเอาไว้ทานระหว่างรักษาตัว เปลี่ยนหมอนและปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนใหม่ จะได้ลดโอกาสติดเชื้อ ซื้อฮีรูดอยด์ลดรอยแผลเป็นมา 3 หลอด ควรทาตั่งแต่แรกๆเลยหลังตัดไหม (แผลเราพอแห้งแล้วค่อนข้างสวยทีเดียว) และเราได้ไปไหว้พระขอกำลังใจไม่ให้เคสเราผิดพลาด เลือกจองคิวเป็นเคสแรกเลย เพราะคุณหมอจะได้ไม่ล้าไม่เหนื่อย
ผลลัพธ์ที่ได้ ช่วง 2 อาทิตย์แรก จะเห็นเป็นริ้วร่องที่หัวตาชัดมาก จึงโทรปรึกษากับคลีนิค และหาข้อมูลจากออนไลน์ รู้สึกถึงปฏิกิริยาของเจ้าหน้าที่ก็รู้ว่าอาจเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ เราใจไม่ดีละ แต่ทำใจดีๆไว้ก่อน รอดูอีกสักพักจนเป็นเดือน ก็ได้ตาที่ดูสดใสขึ้น มีชั้นตาชัดเจนและดูกลมโตในช่วงเดือนแรกๆ แต่งหน้าแต่งตาง่ายขึ้น พอผ่านไปเป็นปี ก็จะได้ชั้นตาจริงที่ไม่ได้ใหญ่มากตามต้องการ ตอนนี้ผ่านมาเป็น 10 กว่าปีแล้ว หนังตาเริ่มตกลงมา ทำให้ชั้นตาดูเล็กลงกว่าเดิมอีก
ใครที่จะผ่าตัดตาก็ลองหาข้อมูลและศึกษาดีๆ เพราะอาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้