
- ดูจบนึกถึงเรื่อง Kill List (2011) ในแง่ของความเป็นฟิลม์นัวร์ท้าทายอำนาจมืดแบบดิบ ๆ , การใช้สีวรรณะร้อนเป็นโทนหลัก , การออกแบบ font สุดแสนจะวิจิตรศิลป์ หรือ การที่ตัวละครนำเผชิญหน้ากับลัทธิที่เกี่ยวพันกับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติแต่ไม่เดือดเท่า โดยรวมมันก็มี Concept ที่ชัดเจนคือการสร้างบรรยากาศหม่นมัวเป็นเกมส์จิตวิทยาโดยใช้ความเชื่อลวงใจคนมากกว่าจะพุ่งเป้าไปที่การไล่ล่าตรง ๆ แน่นอนว่าต่างฝ่ายเมื่อยืนกันคนละฝั่งก็มีจุดประสงค์ที่ต่างกัน ในมุมของเจ้าหน้าที่สายบวกก็อยากจะจบเรื่องไว ๆ เพราะท้าทายกฎหมายเกินไปแล้ว แต่สำหรับมุมของฆาตกรมองอีกอย่างว่า ใจเย็นก่อน อยากจับกูใช่มั้ย ? เอางี้ มาเล่นเกมส์ทายคำปริศนาฟ้าผ่ากันดีกว่ามั้ย ? ในเมื่อมีกฎหมายกับอาวุธในมือ กูก็มีความเชื่อเป็นเกราะกำบังแถมมีคนบริสุทธิ์เป็นตัวประกัน ดูซิว่าจะสามารถแก้โจทย์ที่กูตั้งขึ้นได้ทันเวลาหรือเปล่า ? ถึงหนังบอกให้ทราบแล้วว่าใครเป็นใคร แต่ไม่เป็นปัญหาต่อการดู สำคัญมันอยู่ที่ระหว่าทางจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์นี่แหล่ะ พอมีฉากหลังเป็นย้อนยุค 90’s มั้ง ? เทคโนโลยียังไม่ได้ก้าวหน้าเหมือนทุกวันนี้ การแกะรอยจะสืบสาวแต่ละอย่างจึงเป็นไปด้วยความลำบากต้องแข่งกับเวลา ยิ่งรู้เร็วก็ยิ่งสูญเสียน้อย ยิ่งรู้ช้าก็ยิ่งมีคนตุยเพิ่มขึ้น

- ตัวหนังจะแบ่งออกเป็น 3 Chapters โดยแต่ละ Chapters จะเล่าไปตาม Topic ว่า Topic นี้จ่าหัวว่าอะไร ? ด้วยวิธี Slow Burn ค่อย ๆ เสพ Details ไปเรื่อย ๆ เหมือนสวมวิญญาณเป็นนักสืบนั่นแหล่ะ โอเคว่าความ Slow ของมันช่วยทำให้เราดื่มด่ำไปกับสารที่ปรากฎตามรายทางไม่ว่าจะบทสนทนาหรือสัญญะที่ปรากฎไม่ว่าจะเป็นภาพบิดเบี้ยวหรือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่งที่กำลังโดน Effect จากสิ่งนั้นจนทำให้นึกถึงข่าวคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญต่าง ๆ ในวันวาน ที่จริง Part สืบสาวทำได้กดดันอยู่แต่มาสะดุดตรงการตัดต่อนี่แหล่ะที่ไปตัดฉากที่กำลังเปิดปมสำคัญพอดีแล้วเปลี่ยนไปฉากใหม่หน้าตาเฉย แล้วเป็นแบบนี้อีกหลายครั้งใน Chapter 2 หรือ 3 แทนที่จะปล่อยให้เสพให้เสร็จแล้วค่อยเปลี่ยนไปฉากใหม่ แต่นี่อะไร ปล้ำจะตัดลูกเดียว มันเลยทำให้เรื่องไม่ต่อเนื่องแถมไม่สามารถประติดกับปมต้นเหตุ รวมถึงภารกิจที่ตัวนางเอกกำลังเจอกับอะไรบางอย่างที่ฆาตกรทิ้งขรี้ไว้แถมยังส่งกลิ่นรบกวน คุกคาม และ ปั่นประสาทให้ติดกับอยู่เรื่อย ๆ เพื่อจะได้ศิโรราบถึงการมีอยู่ของมันกระทั่งตอนปะทะกับฆาตกรตัวต่อตัวก็พลอยจืดชืดไปด้วย แต่ยอมรับว่าจังหวะ Jump Scared ทีมากับความนิ่งของมันโดนทุกดอกจนเผลอตกใจทุกครั้งจริง ๆ

- แม้จังหวะการตัดต่อจะเหลวเป๋ว แต่ดีที่ได้การแสดงของนักแสดงนำทั้ง 4 ช่วยทำให้เรื่องน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มจาก Maika Monroe นางแบกของเรื่อง ปกติจะเห็นผลงานเธอส่วนใหญ่จะเป็นหนัง Horror แถมบทที่ได้รับจะเป็นวัยรุ่นหัวขบถแต่มาเรื่องนี้มีการขยับสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ FBI ผู้มีสัมผัสพิเศษมาดครึม ได้รับคำสั่งให้มาสืบคดีฆาตกรรมยกครัวโดยแต่ละ case จะมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิลึกลับที่ตัวฆาตกรชาบูและใช้มันเป็นเครื่องมือทำมาหาแดกชีวิตผู้อื่น ถึงจะติดลุคของเธอจากเรื่องก่อน ๆ แต่ด้วยบทที่โตขึ้นเลยไปส่งเสริมให้คาแรกเตอร์ของเธอ smart ขึ้นแต่หนังไม่สามารถดึงศักยภาพออกมาให้หมดมันเลยดูครึ่งกลาง ฝั่งคู่ปรับอย่าง Longlegs ฆาตกรลองใจ รับบทโดย Nic Cage รายนี้ไม่ต้องพรรณนาเรื่องฝีมือให้มากความ ใครให้เล่นเป็นตัวเชี้ยอะไรป๋าจัดได้หมด ถึงป๋าโผล่ไม่เยอะแต่การมาแต่ละครั้งนอกจากน่ากลัวจนเผลอตกใจในใจไม่ว่าจะส่งเสียงร้องและไหนจะทำไม้ทำมือบ้า ๆ บอ ๆ อะไรของแก ทำให้ทุก Scene ที่ปรากฎพร้อมกับ Score สุดหลอนจึงรู้สึกขนลุกขึ้นมาฉับพลัน ทั้งนี้ต้องขอบคุณทีมคอสตูมที่ช่วยแต่งหน้าทรงเครื่องซะจนจำไม่ได้ ส่วนอีก 2 ท่านอย่าง Blair Underwoods ผู้รับบทเป็นหัวหน้าคุมคดีฆาตกรรมลึกลับ แสดงดีตาม way ผู้นำที่เชื่อในระบบราชการมากกว่าเรื่องความเชื่อหรือไสยศาสตร์แทบทุก Scene ที่ประกบกับ Lee จะต้องมีการถกเถียงบ่อยครั้งกระทั่งแอบจับผิด และ ทีเด็ดลับของเรื่องอย่าง Alicia Witt รับบทแม่ของนางเอกถึงโผล่ไม่เยอะแต่การมาแต่ละครั้งมีความหมายที่ค่อย ๆ นำพาไปจุดที่คาดไม่ถึง

- สรุป ชอบ ชอบวิธีการใช้โทนสีแดงเป็นสัญญะล่อตาคนเข้าสู่ด้านมืดโดยไม่เห็นตาเนื้อได้น่าสะพรึงกลัว , ชอบการออกแบบ Font อักขระทุกตัวน่าสนใจ และ ชอบการย่อภาพขนาดฟิลม์แล้วฉายภาพครอบครัวแต่ละ Case ทำให้นึกถึง Conjuring ขึ้นมา แม้ญาณพิเศษที่นางเอกมีติดตัวไม่ได้เอามาใช้หรือถูกปัดทิ้งดื้อ ๆ ในช่วงหลังแต่อย่างน้อยการใช้ความสามารถทางวิชาชีพซึ่งมีถูกมีผิดถือว่าเป็นเรื่องที่ทดแทนข้อบกพร่องได้ ที่ไม่ชอบมากคือการตัดต่อตามใจฉันที่ไม่รู้จังหวะว่าควรตัดจุดไหน พอใกล้จะจบ Chapter 2 มีการคลายปมไปก็ get บางส่วนแต่บางอย่างยังรู้สึกสงสัยอยู่ เช่น ลัทธิที่ฆาตกรเชื่อเป็นตุเป็นตะมาจากไหน ? ทำไมถึงคลั่งเบอร์นั้น ? พอจับใจความไม่ถูกมันเลยเชื่อมโยงไม่ถูกจนพอเข้าช่วงท้ายของ Chapter 3 แทนที่จะลุ้นอีกสักนิดว่าไหน ๆ จะจบแล้วจัดให้หนักไปเลยแต่กลับเล่นสรุปรวบง่าย ๆ แล้วก็ตัดจบใส่หน้าคนดูส่งท้ายด้วย End Credit ที่ไหลไม่เหมือนชาวบ้านก่อนไล่แขกกลับบ้าน ภาพรวมที่เสนอมาจึงไปไม่สุดทั้งที่องค์ประกอบดี ลูกเล่นพราวตา สีสันฉูดฉาด และยังมีอะไรให้เล่าอีก แต่อย่างน้อยการนั่งสังเกตุตามวิถี Slow Burn แล้วเข้าสู่กระบวนการ (คิด วิเคราะห์ แยกแยะ) ก็จะตีโจทย์ที่หนังจะสื่อมาทั้งหมดได้ไม่ยาก

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.113 Longlegs (2024) : แกะรอยลับ ดักกลพราง ล่อซื้อฆาตกรลองใจ
- ดูจบนึกถึงเรื่อง Kill List (2011) ในแง่ของความเป็นฟิลม์นัวร์ท้าทายอำนาจมืดแบบดิบ ๆ , การใช้สีวรรณะร้อนเป็นโทนหลัก , การออกแบบ font สุดแสนจะวิจิตรศิลป์ หรือ การที่ตัวละครนำเผชิญหน้ากับลัทธิที่เกี่ยวพันกับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติแต่ไม่เดือดเท่า โดยรวมมันก็มี Concept ที่ชัดเจนคือการสร้างบรรยากาศหม่นมัวเป็นเกมส์จิตวิทยาโดยใช้ความเชื่อลวงใจคนมากกว่าจะพุ่งเป้าไปที่การไล่ล่าตรง ๆ แน่นอนว่าต่างฝ่ายเมื่อยืนกันคนละฝั่งก็มีจุดประสงค์ที่ต่างกัน ในมุมของเจ้าหน้าที่สายบวกก็อยากจะจบเรื่องไว ๆ เพราะท้าทายกฎหมายเกินไปแล้ว แต่สำหรับมุมของฆาตกรมองอีกอย่างว่า ใจเย็นก่อน อยากจับกูใช่มั้ย ? เอางี้ มาเล่นเกมส์ทายคำปริศนาฟ้าผ่ากันดีกว่ามั้ย ? ในเมื่อมีกฎหมายกับอาวุธในมือ กูก็มีความเชื่อเป็นเกราะกำบังแถมมีคนบริสุทธิ์เป็นตัวประกัน ดูซิว่าจะสามารถแก้โจทย์ที่กูตั้งขึ้นได้ทันเวลาหรือเปล่า ? ถึงหนังบอกให้ทราบแล้วว่าใครเป็นใคร แต่ไม่เป็นปัญหาต่อการดู สำคัญมันอยู่ที่ระหว่าทางจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์นี่แหล่ะ พอมีฉากหลังเป็นย้อนยุค 90’s มั้ง ? เทคโนโลยียังไม่ได้ก้าวหน้าเหมือนทุกวันนี้ การแกะรอยจะสืบสาวแต่ละอย่างจึงเป็นไปด้วยความลำบากต้องแข่งกับเวลา ยิ่งรู้เร็วก็ยิ่งสูญเสียน้อย ยิ่งรู้ช้าก็ยิ่งมีคนตุยเพิ่มขึ้น
- ตัวหนังจะแบ่งออกเป็น 3 Chapters โดยแต่ละ Chapters จะเล่าไปตาม Topic ว่า Topic นี้จ่าหัวว่าอะไร ? ด้วยวิธี Slow Burn ค่อย ๆ เสพ Details ไปเรื่อย ๆ เหมือนสวมวิญญาณเป็นนักสืบนั่นแหล่ะ โอเคว่าความ Slow ของมันช่วยทำให้เราดื่มด่ำไปกับสารที่ปรากฎตามรายทางไม่ว่าจะบทสนทนาหรือสัญญะที่ปรากฎไม่ว่าจะเป็นภาพบิดเบี้ยวหรือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่งที่กำลังโดน Effect จากสิ่งนั้นจนทำให้นึกถึงข่าวคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญต่าง ๆ ในวันวาน ที่จริง Part สืบสาวทำได้กดดันอยู่แต่มาสะดุดตรงการตัดต่อนี่แหล่ะที่ไปตัดฉากที่กำลังเปิดปมสำคัญพอดีแล้วเปลี่ยนไปฉากใหม่หน้าตาเฉย แล้วเป็นแบบนี้อีกหลายครั้งใน Chapter 2 หรือ 3 แทนที่จะปล่อยให้เสพให้เสร็จแล้วค่อยเปลี่ยนไปฉากใหม่ แต่นี่อะไร ปล้ำจะตัดลูกเดียว มันเลยทำให้เรื่องไม่ต่อเนื่องแถมไม่สามารถประติดกับปมต้นเหตุ รวมถึงภารกิจที่ตัวนางเอกกำลังเจอกับอะไรบางอย่างที่ฆาตกรทิ้งขรี้ไว้แถมยังส่งกลิ่นรบกวน คุกคาม และ ปั่นประสาทให้ติดกับอยู่เรื่อย ๆ เพื่อจะได้ศิโรราบถึงการมีอยู่ของมันกระทั่งตอนปะทะกับฆาตกรตัวต่อตัวก็พลอยจืดชืดไปด้วย แต่ยอมรับว่าจังหวะ Jump Scared ทีมากับความนิ่งของมันโดนทุกดอกจนเผลอตกใจทุกครั้งจริง ๆ
- แม้จังหวะการตัดต่อจะเหลวเป๋ว แต่ดีที่ได้การแสดงของนักแสดงนำทั้ง 4 ช่วยทำให้เรื่องน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มจาก Maika Monroe นางแบกของเรื่อง ปกติจะเห็นผลงานเธอส่วนใหญ่จะเป็นหนัง Horror แถมบทที่ได้รับจะเป็นวัยรุ่นหัวขบถแต่มาเรื่องนี้มีการขยับสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ FBI ผู้มีสัมผัสพิเศษมาดครึม ได้รับคำสั่งให้มาสืบคดีฆาตกรรมยกครัวโดยแต่ละ case จะมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิลึกลับที่ตัวฆาตกรชาบูและใช้มันเป็นเครื่องมือทำมาหาแดกชีวิตผู้อื่น ถึงจะติดลุคของเธอจากเรื่องก่อน ๆ แต่ด้วยบทที่โตขึ้นเลยไปส่งเสริมให้คาแรกเตอร์ของเธอ smart ขึ้นแต่หนังไม่สามารถดึงศักยภาพออกมาให้หมดมันเลยดูครึ่งกลาง ฝั่งคู่ปรับอย่าง Longlegs ฆาตกรลองใจ รับบทโดย Nic Cage รายนี้ไม่ต้องพรรณนาเรื่องฝีมือให้มากความ ใครให้เล่นเป็นตัวเชี้ยอะไรป๋าจัดได้หมด ถึงป๋าโผล่ไม่เยอะแต่การมาแต่ละครั้งนอกจากน่ากลัวจนเผลอตกใจในใจไม่ว่าจะส่งเสียงร้องและไหนจะทำไม้ทำมือบ้า ๆ บอ ๆ อะไรของแก ทำให้ทุก Scene ที่ปรากฎพร้อมกับ Score สุดหลอนจึงรู้สึกขนลุกขึ้นมาฉับพลัน ทั้งนี้ต้องขอบคุณทีมคอสตูมที่ช่วยแต่งหน้าทรงเครื่องซะจนจำไม่ได้ ส่วนอีก 2 ท่านอย่าง Blair Underwoods ผู้รับบทเป็นหัวหน้าคุมคดีฆาตกรรมลึกลับ แสดงดีตาม way ผู้นำที่เชื่อในระบบราชการมากกว่าเรื่องความเชื่อหรือไสยศาสตร์แทบทุก Scene ที่ประกบกับ Lee จะต้องมีการถกเถียงบ่อยครั้งกระทั่งแอบจับผิด และ ทีเด็ดลับของเรื่องอย่าง Alicia Witt รับบทแม่ของนางเอกถึงโผล่ไม่เยอะแต่การมาแต่ละครั้งมีความหมายที่ค่อย ๆ นำพาไปจุดที่คาดไม่ถึง
- สรุป ชอบ ชอบวิธีการใช้โทนสีแดงเป็นสัญญะล่อตาคนเข้าสู่ด้านมืดโดยไม่เห็นตาเนื้อได้น่าสะพรึงกลัว , ชอบการออกแบบ Font อักขระทุกตัวน่าสนใจ และ ชอบการย่อภาพขนาดฟิลม์แล้วฉายภาพครอบครัวแต่ละ Case ทำให้นึกถึง Conjuring ขึ้นมา แม้ญาณพิเศษที่นางเอกมีติดตัวไม่ได้เอามาใช้หรือถูกปัดทิ้งดื้อ ๆ ในช่วงหลังแต่อย่างน้อยการใช้ความสามารถทางวิชาชีพซึ่งมีถูกมีผิดถือว่าเป็นเรื่องที่ทดแทนข้อบกพร่องได้ ที่ไม่ชอบมากคือการตัดต่อตามใจฉันที่ไม่รู้จังหวะว่าควรตัดจุดไหน พอใกล้จะจบ Chapter 2 มีการคลายปมไปก็ get บางส่วนแต่บางอย่างยังรู้สึกสงสัยอยู่ เช่น ลัทธิที่ฆาตกรเชื่อเป็นตุเป็นตะมาจากไหน ? ทำไมถึงคลั่งเบอร์นั้น ? พอจับใจความไม่ถูกมันเลยเชื่อมโยงไม่ถูกจนพอเข้าช่วงท้ายของ Chapter 3 แทนที่จะลุ้นอีกสักนิดว่าไหน ๆ จะจบแล้วจัดให้หนักไปเลยแต่กลับเล่นสรุปรวบง่าย ๆ แล้วก็ตัดจบใส่หน้าคนดูส่งท้ายด้วย End Credit ที่ไหลไม่เหมือนชาวบ้านก่อนไล่แขกกลับบ้าน ภาพรวมที่เสนอมาจึงไปไม่สุดทั้งที่องค์ประกอบดี ลูกเล่นพราวตา สีสันฉูดฉาด และยังมีอะไรให้เล่าอีก แต่อย่างน้อยการนั่งสังเกตุตามวิถี Slow Burn แล้วเข้าสู่กระบวนการ (คิด วิเคราะห์ แยกแยะ) ก็จะตีโจทย์ที่หนังจะสื่อมาทั้งหมดได้ไม่ยาก
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้