รวมธรรมะเรื่อง"ปฏิจจสมุปบาท"และ"อนัตตาธรรม"
ปฏิจจสมุปบาท :เป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา
หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา
คัดลอกจาก:ปฏิจจสมุปบาท วิกิพีเดียดอทคอม
ปฏิจจสมุปบาท ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่เป็นวิสัยแห่งตรรกะ ละเอียด บัณฑิต จึงจะรู้ได้ สำหรับหมู่ประชาผู้รื่นรมย์ด้วยอาลัย ยินดีในอาลัย เพลิดเพลินในอาลัย ฐานะอันนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก กล่าวคือหลักอิทัปปัจจยตา หลักปฏิจจสมุปบาท ถึงแม้ฐานะอันนี้ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ยากนัก กล่าวคือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสลัดอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา วิราคะ นิโรธ นิพพาน ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม และผู้อื่นจะไม่เข้าใจซึ้งต่อเรา ข้อนั้นก็จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา อนัจฉริยคาถาที่ไม่เคยที่ไม่เคยทรงสดับมาก่อนก็ได้ปรากฏแก่พระองค์ว่า บัดนี้ เรายังไม่ควรประกาศธรรมที่เราได้บรรลุด้วยความลำบากเพราะธรรมนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ถูกราคะและโทสะครอบงำจะรู้ได้ง่าย แต่เป็นสิ่งพาทวนกระแส(คือพาเข้าถึงนิพพาน) ละเอียด ลึกซึ้ง รู้เห็นได้ยาก ประณีต ผู้กำหนัดด้วยราคะ ถูกกองโมหะหุ้มห่อไว้ จักรู้เห็นไม่ได้ พระองค์จึงน้อมพระทัย ไปเพื่อความเป็นผู้มีการขวนขวายน้อย ไม่ประสงค์ที่จะแสดงธรรมโปรดสัตว์.คัดลอกจากthaijo.orgประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาพระไตรปิฎก
(คัดลอกจากกระทู้pantip"อนัตตาของพระพุทธเจ้า" โดยสมาชิก:เฉลิมศักดิ์1)
พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทได้แสดงลักษณะของอนัตตา คือ ลักษณะที่ให้เห็นว่ามิใช่ตัวมิใช่ตน โดยสรุปแล้ว มีอยู่ ๕ ลักษณะด้วยกัน คือ
๑) เป็นของสูญ (สุญฺญโต) คือ เป็นเพียงการประชุมเข้าขององค์ประกอบที่เป็นส่วนย่อย ๆ ทั้งหลาย ว่างจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หรือการสมมติเป็นต่าง ๆ ไม่มีตัวผู้สิงสู่อยู่ครอง ไม่มีตัวผู้สร้างสรรค์บันดาล ไม่มีตัวผู้เสวย นอกเหนือจากกระบวนธรรมแห่งองค์ประกอบทั้งหลายที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยและอยู่นอกเหนือจากการสมมติ พูดง่าย ๆ ว่า ว่างจากความเป็นสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา จากความเป็นนั่น เป็นนี่ ที่กำหนดหมายกันขึ้นนั่นเอง
๒) เป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ (อสฺสามิกโต) ไม่เป็นของใครจริง คือไม่เป็นตัวตนของใคร และไม่เป็นของของตัวตนใด ๆ ไม่มีตัวตนอยู่ต่างหากที่จะเป็นเจ้าของครอบครองสังขารธรรมทั้งหลาย มันเป็นเพียงกระบวนการของธรรมเองล้วน ๆ ซึ่งเป็นไปโดยลำพังตามเหตุปัจจัย
๓) ไม่อยู่ในอำนาจ (อวสวตฺตนโต) ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของใคร ๆ ไม่อยู่ในอำนาจของใคร ไม่ขึ้นต่อผู้ใด ไม่มีใครมีอำนาจบังคับมัน จะเรียกร้องหรือปรารถนาให้มันเป็นอย่างใด ๆ ไม่ได้ นอกจากทำการตามเหตุปัจจัย เช่น มันเกิดขึ้นแล้วจะสั่งว่าอย่าตั้งอยู่ มันตั้งอยู่แล้วจะสั่งว่าอย่าโทรม มันโทรมไปแล้วจะสั่งว่าอย่าเสื่อมสลายไม่ได้
๔) เป็นสภาวธรรมอันเป็นไปตามเหตุปัจจัย (ยถาปจฺจยปวตฺติโต) คือ เป็นสิ่งที่ขึ้นต่อเหตุปัจจัย ไม่มีอยู่โดยลำพังตัวเอง แต่เป็นไปโดยสัมพันธ์อิงอาศัยกันอยู่กับสิ่งอื่น ๆ ต่างเป็นปัจจัยแก่กันและกัน เรียกรวม ๆ ว่า กระบวนธรรมนั้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่เป็นไปตามความปรารถนาของใคร และไม่อาจมีตัวตน ไม่ว่าจะเป็นตัวแกนภายในหรือตัวการภายนอก ที่จะขวางขืนหรือบงการบังคับมันได้
๕) โดยสภาวะของมันเองก็แย้งหรือค้านต่อความเป็นอัตตา (อตฺตปฏิกฺเขปโต) มีแต่ภาวะที่ตรงข้ามกับความเป็นอัตตา หมายความว่า ความเป็นกระบวนธรรม คือ การที่องค์ประกอบทั้งหลายสัมพันธ์กันดำเนินไปโดยความเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั่นเอง เป็นการปฏิเสธอยู่ในตัวว่า ไม่มีตัวตนต่างหากซ้อนอยู่ที่จะมาแทรกบงการ หรือแม้แต่ขวางขืนความเป็นไปตามเหตุปัจจัย ตัวตนต่างหากเช่นนั้นมีไม่ได้ เพราะถ้ามี ก็ไม่อาจเป็นไปตามความบังคับบงการของตัวตนนั้น หรือกระบวนธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้นมีความสำเร็จสมบูรณ์พร้อมในตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นและไม่อาจจะมีตัวการอย่างอื่นที่จะเข้ามาแทรกแซงสั่งการอีกได้
สรุปว่า สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันเองตามธรรมดา เหตุปัจจัยมี มันก็เกิดขึ้น เหตุปัจจัยหมด มันก็ดับ ทรงตัวอยู่ไม่ได้ เรื่องอัตตา อนัตตานี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายควรที่จะทำความเข้าใจให้รู้ ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า สิ่งทั้งหลายเป็นอนัตตา มิใช่อัตตา เมื่อเรารู้ว่าสิ่งทั้งหลายมิใช่ตัวตนแล้ว ก็พยายามลดละมานะความถือตัวถือตน ไม่ทะนงตนว่าสำคัญกว่าคนอื่น สูงกว่าคนอื่น อันจะเป็นเหตุปัจจัยนำตัวเราให้คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนที่หาความจีรังยั่งยืนไม่ได้เลย จะได้ใช้ชีวิตอยู่กับความจริงในโลกนี้อย่างรู้เท่าทัน ไม่หลงยึดติดในสิ่งสมมติ อันจะเป็นเหตุให้เข้าถึงนิพพานในที่สุดได้ ดังพระพุทธพจน์ว่า
“ผู้ที่ได้อนัตตสัญญาย่อมบรรลุนิพพาน อันถอนเสียได้ซึ่งอัสมิมานะ ในปัจจุบันทีเดียวฯ”
พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) , พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ , (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย , ๒๕๓๑ ) , หน้า ๓๖๖.
อง. นวก. ๒๓ / ๒๐๕ / ๓๖๕.
คำว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั้นเป็นเพียง อนิจจัง หรือ อนิจจลักษณะ เท่านั้นส่วนพระไตรลักษณ์ นั้น ต้องมีทั้ง - อนิจจัง- ทุกขัง- อนัตตา พระไตรลักษณ์ แท้โดยสภาวะ รวมถึงอนัตตา หรือ อนัตตลักษณะนั้นเป็นวิสัยของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะทรงประกาศให้หมู่สัตว์ได้เข้าถึง ในพระไตรลักษณ์นั้นอนิจจัง มีอยู่สองอย่าง คือ 1.อนิจจัง โดย "สมมติ"เช่น การเกิดขึ้นของจักรวาล และสลายลงการที่บุคคลเกิดขึ้นและตายสิ้นชีวิตลง การที่บุคคลมียศและเสื่อมยศลงไป เป็นต้น 2.อนิจจังโดย"สภาวะ"คือการเกิดดับของรูปนามที่เป็นไปอย่างรวดเร็วในแต่ละเสี้ยวขณะเวลาเป็นสิ่งที่เป็นการประกาศของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยที่มีพระพุทธศาสนาจะรู้เห็นโดยการกำหนดรู้รูปนามขันธ์ ๕ มีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะแสดงบอกสอนแก่ผู้อื่นได้ด้วย พระปริยัติ พระอภิธรรม ดังนั้นในศาสนาอื่นจะมีการประกาศได้เพียงอนิจจัง(เทียม) ทุกขัง(เทียม)คือยังเป็นโดยสมมติ ไม่ใช่โดยสภาวะแท้ ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ประกาศคำสอนเรื่องอนิจจัง(แท้) ทุงขัง(แท้) คือ โดยสภาวะ เป็นการเกิดดับแตกสลายลงไปอย่างรวดเร็วของรูปนาม ในแต่ละขณะและอนัตตาอันเป็นสิ่งที่มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ในสัมโมหวิโนทนีอรรถกถาได้แสดงไว้ว่า(คำบาลี)
๑. อนิจฺจทุกฺขลกฺขณานิ อุปฺปาทา วา ตถาคตานํ อนุปฺปาทา วา ปญฺญายนฺติ
๒. อนตฺตลกฺขณํ วานา พุทฺธุปฺปาทา น ปญฺญายติ พุทฺธุปฺปาเทเยว ปญฺญายติ
๓. มหิทฺธิกา หิ มหานุภาวา ตปสปริพฺพาชกา สรภงฺคสตฺถาราทโยปิ อนิจฺจทุกฺขนฺติ วตฺตํ สกฺโกนฺติ อนตฺตาติ วตฺตํ น สกฺโกนฺต
๔. สเจ ปิ เตสมฺปตฺตปริสาย อนตฺตาติ วตฺตํ สกฺกุเณยฺยํ สมฺปตฺตปริสาย. มคฺคผลปฏิเวโธ ภเวยฺย
๕. อนตฺตลกฺขณํ ปญฺญาปนสฺส หิ อญฺญสฺส กสฺสจิ อวิสโย สพฺพญฺญาพุทฺธานเมว วิสโย
๖. เอวเมตํ อนตฺตลกฺขณํ อปากฏํ
๗. ตสฺมา สตฺถา อนตฺตลกฺขณฺ ทสฺเสนฺโต อนิจฺเจน วา ทสฺเสติ ทุกฺเขน วา อนิจฺจทุกฺเขหิ วา
(คำไทย)
๑. สมัยที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่ได้อุบัติขึ้นก็ตาม อนิจจลักขณะ ทุกขลักขณะ ทั้ง ๒ นี้ ย่อมปรากฏมีอยู่เสมอ
๒. ยกเว้นสมัยที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเสียแล้ว อนัตตลักขณะย่อมไม่ปรากฏจักปรากฏก็เฉพาะแต่ในสมัยที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเท่านั้น
๓. ดาบสและปริพพาชกทั้งหลาย มีโพธิสัตว์ศาสดาจารย์สรภังคะเป็นต้นที่มีฤทธิ์มากมีอานุภาพมากเหล่านี้ ย่อมสามารถแสดงได้เพียงแต่ความเป็นอนิจจังทุกขัง ๒ ประการนี้เท่านั้น ไม่สามารถแสดงความเป็นอนัตตาได้เลย
๔. ความจริงเป็นดังนั้น ถ้าหากว่าท่านเหล่านั้นสามารถแสดงความเป็นไปแห่งรูป,นาม ขันธ์ ๕ โดยความเป็นอนัตตา ให้แก่บริษัทที่มาสู่ตนได้แล้ว บริษัทเหล่านั้นก็อาจสดับฟังรู้ความ และบรรลุมรรคผลได้บ้าง
๕. แท้จริง การปรากฏแห่งอนัตตลักขณะนี้ หาใช่เป็นวิสัยของผู้ใดอื่นนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ แต่เป็นวิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำพวกเดียวเท่านั้น
๖. อนัตตลักขณะไม่ปรากฏในสมัยที่ไม่มีพระศาสนา ดังนี้แล
๗. เพราะฉะนั้น พระศาสดาเอกของชาวโลก เมื่อจะทรงแสดงอนัตตลักขณะนั้น ย่อมแสดงด้วยสภาพความเป็นอนิจจังบ้าง ทุกขังบ้าง และทั้งอนิจจัง,ทุกขังทั้ง ๒ บ้าง
ตามหลักฐานนี้ ท่านอรรถกถาจารย์กล่าวว่า การแสดงอนัตตลักขณะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางครั้งก็ทรงยกความเป็นอนิจจังขึ้นมาเปรียบเทียบ บางครั้งก็ทรงยกความเป็นทุกขังขึ้นมาเปรียบเทียบ และบางครั้งก็ทรงยกความเป็นอนิจจังและทุกขังทั้ง ๒ ขึ้นมาเปรียบเทียบ เพื่อจะให้เห็นความเป็นอนัตตา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นว่า ก็เหตุไฉนบริษัททั้งหลายที่ได้ฟังอนิจจัง,ทุกขังจากพระโพธิสัตว์ ศาสดาจารย์สรภังคะนั้น จึงไม่ได้รู้เห็นในความเป็นอนัตตาและได้มรรคผลเล่า?
แก้ว่า การแสดงอนิจจัง,ทุกขังของท่านเหล่านั้น เป็นการแสดงอนิจจัง,ทุกขังโดยสมบัติดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งหาได้เป็นอนิจจัง,ทุกขังแท้อันเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาญาณแต่อย่างใดไม่ สำหรับการแสดงอนิจจัง,ทุกขัง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านอรรถกถาจารย์ได้กล่าวมานี้ เป็นการแสดงอนิจจัง,ทุกขังโดยสภาวะที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาญาณ ฉะนั้น ผู้ฟังจึงสามารถรู้เห็นในความเป็นอนัตตาได้
ท่านอรรถกถาจารย์อานันทเถระ ได้แสดงไว้ในสัมโมหวิโมทนีมูลฏีกาว่า
อนตฺตลกฺขณํ ปญฺญาปนสฺส อญฺเญสํ อวิสยตฺตา อนตฺตลกฺขณทีปกานํ อนิจฺจทุกฺขณานญฺจ ปญิญาปนสฺส อวิสยตฺตา โหติ เอวํ ปน ทุปฺปญฺญาปนตา เอเตสํ ทุรุปฏฐานตาย โหติ.
ที่ท่านอรรถกถาจารย์กล่าวว่า การแสดงให้ชนทั้งหลายรู้เห็นอนัตตลักขณะไม่ใช่เป็นวิสัยของผู้อื่นนั้น เป็นอันว่าได้แสดงถึงอนิจจ,ทุกขลักขณะที่แท้ ที่ทำให้ชนทั้งหลายได้รู้แจ่มแจ้งในอนัตตลักขณะ ก็ไม่ใช่เป็นวิสัยของผู้อื่นเช่นกัน การรู้เห็น และการแสดงไตรลักษณ์ที่แท้เป็นของยากมากที่สุดดังนี้ ก็เพราะการปรากฏแห่งไตรลักษณ์ที่แท้ในปัญญาของชนทั้งหลายนั้น ยากมากนั้นเองเป็นสาเหตุ
จากคุณ : ชาวมหาวิหาร
ข้อมูลอ้างอิง:
Wikipedia.com
84000.org
Google.com
Statistics.com
ปฏิจจสมุปบาทและอนัตตา ธรรมทานโดยนายต่ายหมี2538
ปฏิจจสมุปบาท :เป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา
หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา
คัดลอกจาก:ปฏิจจสมุปบาท วิกิพีเดียดอทคอม
ปฏิจจสมุปบาท ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่เป็นวิสัยแห่งตรรกะ ละเอียด บัณฑิต จึงจะรู้ได้ สำหรับหมู่ประชาผู้รื่นรมย์ด้วยอาลัย ยินดีในอาลัย เพลิดเพลินในอาลัย ฐานะอันนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก กล่าวคือหลักอิทัปปัจจยตา หลักปฏิจจสมุปบาท ถึงแม้ฐานะอันนี้ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ยากนัก กล่าวคือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสลัดอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา วิราคะ นิโรธ นิพพาน ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม และผู้อื่นจะไม่เข้าใจซึ้งต่อเรา ข้อนั้นก็จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา อนัจฉริยคาถาที่ไม่เคยที่ไม่เคยทรงสดับมาก่อนก็ได้ปรากฏแก่พระองค์ว่า บัดนี้ เรายังไม่ควรประกาศธรรมที่เราได้บรรลุด้วยความลำบากเพราะธรรมนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ถูกราคะและโทสะครอบงำจะรู้ได้ง่าย แต่เป็นสิ่งพาทวนกระแส(คือพาเข้าถึงนิพพาน) ละเอียด ลึกซึ้ง รู้เห็นได้ยาก ประณีต ผู้กำหนัดด้วยราคะ ถูกกองโมหะหุ้มห่อไว้ จักรู้เห็นไม่ได้ พระองค์จึงน้อมพระทัย ไปเพื่อความเป็นผู้มีการขวนขวายน้อย ไม่ประสงค์ที่จะแสดงธรรมโปรดสัตว์.คัดลอกจากthaijo.orgประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาพระไตรปิฎก
(คัดลอกจากกระทู้pantip"อนัตตาของพระพุทธเจ้า" โดยสมาชิก:เฉลิมศักดิ์1)
พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทได้แสดงลักษณะของอนัตตา คือ ลักษณะที่ให้เห็นว่ามิใช่ตัวมิใช่ตน โดยสรุปแล้ว มีอยู่ ๕ ลักษณะด้วยกัน คือ
๑) เป็นของสูญ (สุญฺญโต) คือ เป็นเพียงการประชุมเข้าขององค์ประกอบที่เป็นส่วนย่อย ๆ ทั้งหลาย ว่างจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หรือการสมมติเป็นต่าง ๆ ไม่มีตัวผู้สิงสู่อยู่ครอง ไม่มีตัวผู้สร้างสรรค์บันดาล ไม่มีตัวผู้เสวย นอกเหนือจากกระบวนธรรมแห่งองค์ประกอบทั้งหลายที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยและอยู่นอกเหนือจากการสมมติ พูดง่าย ๆ ว่า ว่างจากความเป็นสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา จากความเป็นนั่น เป็นนี่ ที่กำหนดหมายกันขึ้นนั่นเอง
๒) เป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ (อสฺสามิกโต) ไม่เป็นของใครจริง คือไม่เป็นตัวตนของใคร และไม่เป็นของของตัวตนใด ๆ ไม่มีตัวตนอยู่ต่างหากที่จะเป็นเจ้าของครอบครองสังขารธรรมทั้งหลาย มันเป็นเพียงกระบวนการของธรรมเองล้วน ๆ ซึ่งเป็นไปโดยลำพังตามเหตุปัจจัย
๓) ไม่อยู่ในอำนาจ (อวสวตฺตนโต) ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของใคร ๆ ไม่อยู่ในอำนาจของใคร ไม่ขึ้นต่อผู้ใด ไม่มีใครมีอำนาจบังคับมัน จะเรียกร้องหรือปรารถนาให้มันเป็นอย่างใด ๆ ไม่ได้ นอกจากทำการตามเหตุปัจจัย เช่น มันเกิดขึ้นแล้วจะสั่งว่าอย่าตั้งอยู่ มันตั้งอยู่แล้วจะสั่งว่าอย่าโทรม มันโทรมไปแล้วจะสั่งว่าอย่าเสื่อมสลายไม่ได้
๔) เป็นสภาวธรรมอันเป็นไปตามเหตุปัจจัย (ยถาปจฺจยปวตฺติโต) คือ เป็นสิ่งที่ขึ้นต่อเหตุปัจจัย ไม่มีอยู่โดยลำพังตัวเอง แต่เป็นไปโดยสัมพันธ์อิงอาศัยกันอยู่กับสิ่งอื่น ๆ ต่างเป็นปัจจัยแก่กันและกัน เรียกรวม ๆ ว่า กระบวนธรรมนั้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่เป็นไปตามความปรารถนาของใคร และไม่อาจมีตัวตน ไม่ว่าจะเป็นตัวแกนภายในหรือตัวการภายนอก ที่จะขวางขืนหรือบงการบังคับมันได้
๕) โดยสภาวะของมันเองก็แย้งหรือค้านต่อความเป็นอัตตา (อตฺตปฏิกฺเขปโต) มีแต่ภาวะที่ตรงข้ามกับความเป็นอัตตา หมายความว่า ความเป็นกระบวนธรรม คือ การที่องค์ประกอบทั้งหลายสัมพันธ์กันดำเนินไปโดยความเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั่นเอง เป็นการปฏิเสธอยู่ในตัวว่า ไม่มีตัวตนต่างหากซ้อนอยู่ที่จะมาแทรกบงการ หรือแม้แต่ขวางขืนความเป็นไปตามเหตุปัจจัย ตัวตนต่างหากเช่นนั้นมีไม่ได้ เพราะถ้ามี ก็ไม่อาจเป็นไปตามความบังคับบงการของตัวตนนั้น หรือกระบวนธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้นมีความสำเร็จสมบูรณ์พร้อมในตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นและไม่อาจจะมีตัวการอย่างอื่นที่จะเข้ามาแทรกแซงสั่งการอีกได้
สรุปว่า สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันเองตามธรรมดา เหตุปัจจัยมี มันก็เกิดขึ้น เหตุปัจจัยหมด มันก็ดับ ทรงตัวอยู่ไม่ได้ เรื่องอัตตา อนัตตานี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายควรที่จะทำความเข้าใจให้รู้ ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า สิ่งทั้งหลายเป็นอนัตตา มิใช่อัตตา เมื่อเรารู้ว่าสิ่งทั้งหลายมิใช่ตัวตนแล้ว ก็พยายามลดละมานะความถือตัวถือตน ไม่ทะนงตนว่าสำคัญกว่าคนอื่น สูงกว่าคนอื่น อันจะเป็นเหตุปัจจัยนำตัวเราให้คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนที่หาความจีรังยั่งยืนไม่ได้เลย จะได้ใช้ชีวิตอยู่กับความจริงในโลกนี้อย่างรู้เท่าทัน ไม่หลงยึดติดในสิ่งสมมติ อันจะเป็นเหตุให้เข้าถึงนิพพานในที่สุดได้ ดังพระพุทธพจน์ว่า
“ผู้ที่ได้อนัตตสัญญาย่อมบรรลุนิพพาน อันถอนเสียได้ซึ่งอัสมิมานะ ในปัจจุบันทีเดียวฯ”
พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) , พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ , (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย , ๒๕๓๑ ) , หน้า ๓๖๖.
อง. นวก. ๒๓ / ๒๐๕ / ๓๖๕.
คำว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั้นเป็นเพียง อนิจจัง หรือ อนิจจลักษณะ เท่านั้นส่วนพระไตรลักษณ์ นั้น ต้องมีทั้ง - อนิจจัง- ทุกขัง- อนัตตา พระไตรลักษณ์ แท้โดยสภาวะ รวมถึงอนัตตา หรือ อนัตตลักษณะนั้นเป็นวิสัยของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะทรงประกาศให้หมู่สัตว์ได้เข้าถึง ในพระไตรลักษณ์นั้นอนิจจัง มีอยู่สองอย่าง คือ 1.อนิจจัง โดย "สมมติ"เช่น การเกิดขึ้นของจักรวาล และสลายลงการที่บุคคลเกิดขึ้นและตายสิ้นชีวิตลง การที่บุคคลมียศและเสื่อมยศลงไป เป็นต้น 2.อนิจจังโดย"สภาวะ"คือการเกิดดับของรูปนามที่เป็นไปอย่างรวดเร็วในแต่ละเสี้ยวขณะเวลาเป็นสิ่งที่เป็นการประกาศของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยที่มีพระพุทธศาสนาจะรู้เห็นโดยการกำหนดรู้รูปนามขันธ์ ๕ มีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะแสดงบอกสอนแก่ผู้อื่นได้ด้วย พระปริยัติ พระอภิธรรม ดังนั้นในศาสนาอื่นจะมีการประกาศได้เพียงอนิจจัง(เทียม) ทุกขัง(เทียม)คือยังเป็นโดยสมมติ ไม่ใช่โดยสภาวะแท้ ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ประกาศคำสอนเรื่องอนิจจัง(แท้) ทุงขัง(แท้) คือ โดยสภาวะ เป็นการเกิดดับแตกสลายลงไปอย่างรวดเร็วของรูปนาม ในแต่ละขณะและอนัตตาอันเป็นสิ่งที่มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ในสัมโมหวิโนทนีอรรถกถาได้แสดงไว้ว่า(คำบาลี)
๑. อนิจฺจทุกฺขลกฺขณานิ อุปฺปาทา วา ตถาคตานํ อนุปฺปาทา วา ปญฺญายนฺติ
๒. อนตฺตลกฺขณํ วานา พุทฺธุปฺปาทา น ปญฺญายติ พุทฺธุปฺปาเทเยว ปญฺญายติ
๓. มหิทฺธิกา หิ มหานุภาวา ตปสปริพฺพาชกา สรภงฺคสตฺถาราทโยปิ อนิจฺจทุกฺขนฺติ วตฺตํ สกฺโกนฺติ อนตฺตาติ วตฺตํ น สกฺโกนฺต
๔. สเจ ปิ เตสมฺปตฺตปริสาย อนตฺตาติ วตฺตํ สกฺกุเณยฺยํ สมฺปตฺตปริสาย. มคฺคผลปฏิเวโธ ภเวยฺย
๕. อนตฺตลกฺขณํ ปญฺญาปนสฺส หิ อญฺญสฺส กสฺสจิ อวิสโย สพฺพญฺญาพุทฺธานเมว วิสโย
๖. เอวเมตํ อนตฺตลกฺขณํ อปากฏํ
๗. ตสฺมา สตฺถา อนตฺตลกฺขณฺ ทสฺเสนฺโต อนิจฺเจน วา ทสฺเสติ ทุกฺเขน วา อนิจฺจทุกฺเขหิ วา
(คำไทย)
๑. สมัยที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่ได้อุบัติขึ้นก็ตาม อนิจจลักขณะ ทุกขลักขณะ ทั้ง ๒ นี้ ย่อมปรากฏมีอยู่เสมอ
๒. ยกเว้นสมัยที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเสียแล้ว อนัตตลักขณะย่อมไม่ปรากฏจักปรากฏก็เฉพาะแต่ในสมัยที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเท่านั้น
๓. ดาบสและปริพพาชกทั้งหลาย มีโพธิสัตว์ศาสดาจารย์สรภังคะเป็นต้นที่มีฤทธิ์มากมีอานุภาพมากเหล่านี้ ย่อมสามารถแสดงได้เพียงแต่ความเป็นอนิจจังทุกขัง ๒ ประการนี้เท่านั้น ไม่สามารถแสดงความเป็นอนัตตาได้เลย
๔. ความจริงเป็นดังนั้น ถ้าหากว่าท่านเหล่านั้นสามารถแสดงความเป็นไปแห่งรูป,นาม ขันธ์ ๕ โดยความเป็นอนัตตา ให้แก่บริษัทที่มาสู่ตนได้แล้ว บริษัทเหล่านั้นก็อาจสดับฟังรู้ความ และบรรลุมรรคผลได้บ้าง
๕. แท้จริง การปรากฏแห่งอนัตตลักขณะนี้ หาใช่เป็นวิสัยของผู้ใดอื่นนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ แต่เป็นวิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำพวกเดียวเท่านั้น
๖. อนัตตลักขณะไม่ปรากฏในสมัยที่ไม่มีพระศาสนา ดังนี้แล
๗. เพราะฉะนั้น พระศาสดาเอกของชาวโลก เมื่อจะทรงแสดงอนัตตลักขณะนั้น ย่อมแสดงด้วยสภาพความเป็นอนิจจังบ้าง ทุกขังบ้าง และทั้งอนิจจัง,ทุกขังทั้ง ๒ บ้าง
ตามหลักฐานนี้ ท่านอรรถกถาจารย์กล่าวว่า การแสดงอนัตตลักขณะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางครั้งก็ทรงยกความเป็นอนิจจังขึ้นมาเปรียบเทียบ บางครั้งก็ทรงยกความเป็นทุกขังขึ้นมาเปรียบเทียบ และบางครั้งก็ทรงยกความเป็นอนิจจังและทุกขังทั้ง ๒ ขึ้นมาเปรียบเทียบ เพื่อจะให้เห็นความเป็นอนัตตา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นว่า ก็เหตุไฉนบริษัททั้งหลายที่ได้ฟังอนิจจัง,ทุกขังจากพระโพธิสัตว์ ศาสดาจารย์สรภังคะนั้น จึงไม่ได้รู้เห็นในความเป็นอนัตตาและได้มรรคผลเล่า?
แก้ว่า การแสดงอนิจจัง,ทุกขังของท่านเหล่านั้น เป็นการแสดงอนิจจัง,ทุกขังโดยสมบัติดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งหาได้เป็นอนิจจัง,ทุกขังแท้อันเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาญาณแต่อย่างใดไม่ สำหรับการแสดงอนิจจัง,ทุกขัง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านอรรถกถาจารย์ได้กล่าวมานี้ เป็นการแสดงอนิจจัง,ทุกขังโดยสภาวะที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาญาณ ฉะนั้น ผู้ฟังจึงสามารถรู้เห็นในความเป็นอนัตตาได้
ท่านอรรถกถาจารย์อานันทเถระ ได้แสดงไว้ในสัมโมหวิโมทนีมูลฏีกาว่า
อนตฺตลกฺขณํ ปญฺญาปนสฺส อญฺเญสํ อวิสยตฺตา อนตฺตลกฺขณทีปกานํ อนิจฺจทุกฺขณานญฺจ ปญิญาปนสฺส อวิสยตฺตา โหติ เอวํ ปน ทุปฺปญฺญาปนตา เอเตสํ ทุรุปฏฐานตาย โหติ.
ที่ท่านอรรถกถาจารย์กล่าวว่า การแสดงให้ชนทั้งหลายรู้เห็นอนัตตลักขณะไม่ใช่เป็นวิสัยของผู้อื่นนั้น เป็นอันว่าได้แสดงถึงอนิจจ,ทุกขลักขณะที่แท้ ที่ทำให้ชนทั้งหลายได้รู้แจ่มแจ้งในอนัตตลักขณะ ก็ไม่ใช่เป็นวิสัยของผู้อื่นเช่นกัน การรู้เห็น และการแสดงไตรลักษณ์ที่แท้เป็นของยากมากที่สุดดังนี้ ก็เพราะการปรากฏแห่งไตรลักษณ์ที่แท้ในปัญญาของชนทั้งหลายนั้น ยากมากนั้นเองเป็นสาเหตุ
จากคุณ : ชาวมหาวิหาร
ข้อมูลอ้างอิง:
Wikipedia.com
84000.org
Google.com
Statistics.com