UPDATE: สภาคองเกรสประเมินผลกระทบสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบก้าวไกล
.
เบน คาร์ดิน สว. จากพรรคเดโมแครต รัฐแมริแลนด์ ประธานคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ (7 สิงหาคม) ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญไทยมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกลว่า
.
“The dissolution of the MFP calls into question Thailand’s commitment to human rights and the rule of law. I strongly urge the Thai government to reinstate the MFP and its leadership, put Thailand back on a path to a democratic, transparent, and accountable form of government, and respect the aspirations of the millions of Thais who called for political change at the ballot box. The U.S. Congress will continue to evaluate how recent developments in Thailand will impact the U.S.-Thailand bilateral partnership.”
.
“การตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคก้าวไกล (MFP) และห้ามไม่ให้ผู้บริหารของพรรคดำรงตำแหน่งในรัฐบาลเป็นเวลา 10 ปี เป็นการทำลายประชาธิปไตยในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 14 ล้านคนสนับสนุนผู้สมัครของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในปี 2566
และคำตัดสินที่โชคร้ายในวันนี้เป็นการทำให้เสียงของพวกเขาถูกปิดกั้น นานาชาติกำลังเฝ้าดูด้วยความกังวลอย่างลึกซึ้ง
ในขณะที่วุฒิสภาของไทยที่ได้รับการแต่งตั้งโดยทหารได้ขัดขวางไม่ให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล และคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ได้รับอิทธิพลจากทหารได้นำคดีมาสู่คำสั่งการยุบพรรค ซึ่งขาดกระบวนการยุติธรรมและความโปร่งใสมาตั้งแต่ต้น
.
“การยุบพรรคก้าวไกลทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับพันธกรณีของไทยต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม ผมขอเรียกร้องอย่างแข็งขันต่อรัฐบาลไทยให้คืนสถานะพรรคก้าวไกลและผู้นำของพรรค นำประเทศไทยกลับสู่เส้นทางประชาธิปไตยที่โปร่งใสและมีความรับผิดชอบ และเคารพความปรารถนาของคนไทยหลายล้านคนที่เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน สภาคองเกรสของสหรัฐฯ จะประเมินพัฒนาการล่าสุดในประเทศไทยว่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ และไทยอย่างไรต่อไป”
.
ภาพ: Daniel SLIM / AFP
https://www.foreign.senate.gov/press/dem/release/chair-cardin-condemns-the-dissolution-of-the-move-forward-party-in-thailand/?gbh
.
#TheStandardNews
เอาแล้ว!! ล่าสุด : สภาคองเกรส USA ประเมินผลกระทบสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบก้าวไกลแล้ว
.
เบน คาร์ดิน สว. จากพรรคเดโมแครต รัฐแมริแลนด์ ประธานคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ (7 สิงหาคม) ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญไทยมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกลว่า
.
“The dissolution of the MFP calls into question Thailand’s commitment to human rights and the rule of law. I strongly urge the Thai government to reinstate the MFP and its leadership, put Thailand back on a path to a democratic, transparent, and accountable form of government, and respect the aspirations of the millions of Thais who called for political change at the ballot box. The U.S. Congress will continue to evaluate how recent developments in Thailand will impact the U.S.-Thailand bilateral partnership.”
.
“การตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคก้าวไกล (MFP) และห้ามไม่ให้ผู้บริหารของพรรคดำรงตำแหน่งในรัฐบาลเป็นเวลา 10 ปี เป็นการทำลายประชาธิปไตยในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 14 ล้านคนสนับสนุนผู้สมัครของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในปี 2566
และคำตัดสินที่โชคร้ายในวันนี้เป็นการทำให้เสียงของพวกเขาถูกปิดกั้น นานาชาติกำลังเฝ้าดูด้วยความกังวลอย่างลึกซึ้ง
ในขณะที่วุฒิสภาของไทยที่ได้รับการแต่งตั้งโดยทหารได้ขัดขวางไม่ให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล และคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ได้รับอิทธิพลจากทหารได้นำคดีมาสู่คำสั่งการยุบพรรค ซึ่งขาดกระบวนการยุติธรรมและความโปร่งใสมาตั้งแต่ต้น
.
“การยุบพรรคก้าวไกลทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับพันธกรณีของไทยต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม ผมขอเรียกร้องอย่างแข็งขันต่อรัฐบาลไทยให้คืนสถานะพรรคก้าวไกลและผู้นำของพรรค นำประเทศไทยกลับสู่เส้นทางประชาธิปไตยที่โปร่งใสและมีความรับผิดชอบ และเคารพความปรารถนาของคนไทยหลายล้านคนที่เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน สภาคองเกรสของสหรัฐฯ จะประเมินพัฒนาการล่าสุดในประเทศไทยว่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ และไทยอย่างไรต่อไป”
.
ภาพ: Daniel SLIM / AFP
https://www.foreign.senate.gov/press/dem/release/chair-cardin-condemns-the-dissolution-of-the-move-forward-party-in-thailand/?gbh
.
#TheStandardNews