ผมอยากแชร์จุดต่ำที่สุดของชีวิต เกือบ 10 ปี

เรื่องมันเริ่มมาจาก ตอนปี 2014 ผมก็เหมือนกับเด็กจบใหม่ๆ ที่ทำงานได้ไม่นานก็ลาออก มาหาตัวตน ตอนนั้นผมกลับมาตั้งหลักที่บ้านที่ต่างจังหวัด คุณพ่อคุณแม่มีที่ทางอยู่บ้าง สมัยนั้นการเกษตรมาแรงมาก เช่นทำ1ไร่ได้เดือนล่ะแสน ทำ5ไร่ ได้ปีล่ะล้าน ตอนนั้นผมเป็นอีกคนที่สนใจการทำเกษตรเลย เริ่มทำ ผมเริ่มจากการปลูกดาวเรือง 4ไร่ กับมะนาวอีก 2ไร่ พื้นไม้ยืนต้นอีก3ไร่ เดินระบบน้ำเอง ตอนนั้นเหนื่อยมากเพราะทำคนเดียวทุกอย่าง ทำงาน หกโมงเช้า กลับบ้าน สองทุ่มในสภาพแทบยืนไม่ไหว (อ่อ ผมเอาเงินเก็บทั้งหมดมาลงทุนครับ) ปรากฏว่าพอช่วงเก็บเกี่ยวให้ผลผลิตดีมากได้กำไร เป็นกอบเป็นกำ ตอนนั้นใจฟูมากครับ ผมได้ออกรายการทีวี ได้ลงนสพ สยามธุรกิจ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์สวรรคตของในหลวงร.9 ทำให้เมล็ดพันธุ์ราคาสูงประกอบกับคนแห่ปลูกทำให้ราคาตก ผมเลยเปลี่ยนมาทำตะไคร้ตัดใบกับกับข่า กำไรที่ได้จากดาวเรืองผมเอามาลงทุนทำร้านอาหาร ซึ่ง หลังจากนี้คือช่วงที่ตกต่ำที่สุดครับ คือ ตอนนั้นสินค้าการเกษตรทุกอย่างราคาดิ่งหมดครับ เช่นข่า ผมลงทุนไป 30,000 ผมปลูกไว้ปีกว่า ขายได้แค่ 8,000 ตะไคร้แรกๆ ราคาดี กิโลล่ะ 22 บาท(แบบตากแห้ง) พอไปๆมาๆ เหลือกิโลล่ะ 8 บาท ผมขาดทุนอย่างมากกับการลงทุนครั้งนี้ มะนาวตอนนั้นก็ขายไม่ออกเพราะล้นตลาด ต้องออกมาเร่ขายตามตลาดนัด ได้อาทิตย์ล่ะ 800 เท่านั้น ไม่ใช่แค่นั้น สินค้าเกษตรแทบทุกอย่างราคาลงหมด สิ่งที่คาดหวังไว้ ไม่ได้สักอย่าง แต่ก็ยังดีครับ ร้านอาหารขายดี ยังมีกำไรอยู่ได้สบายๆ แต่แล้วก็ดันมาเจอช่วงโควิดอีก ตอนนั้นยอดขายเป็น 0 ติดต่อกันหลายเดือน เงินสะสมก็หมดไปกับค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าน้ำมันตัดหญ้า เงินแทบไม่เหลือ ผมถึงขั้นต้องปลูกผักไปขายตลาดนัด เงินจะกินข้าวแทบไม่มี ผมเคยเอาของไปขายได้เงินพอซื้อข้าวน้ำพริกนิดหน่อยผมแกล้งบอกภรรยาว่าผมไม่หิวเพื่อให้เขากินอิ่ม ผมเคยแอบร้องไห้อย่างหนักเพราะรู้สึกผิดที่พาเขามาลำบาก ทุกอย่างมันแย่ไปหมด ร้านก็ต้องปิดกิจการเพราะไม่มีเงินบริหารต่อ หลังจากโควิดผม ผมมีปัญหาเรื่องสุขภาพจากการโหมทำงานหนัก เริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกขาเท้า ยืนนานๆไม่ได้ บางทีถึงขั้นเดินไม่ได้ก็มี คือทำงานหนักๆไม่ได้อีกแล้ว โชคดีได้ลูกค้าเก่าๆที่ติดใจฝีมือทำอาหาร จ้างผมไปทำตามบ้านตามโอกาสพิเศษ แต่รายได้ก็ไม่แน่นอน ครับ ช่วงไหนงานเยอะก็ได้เงินเยอะ ช่วงไหนงานน้อยก็ใช้อย่างประหยัด แต่แล้วความพีคยังไม่จบครับ ขณะที่ชีวิตกำลังดีขึ้น ผมดันมาป่วยเป็น"มะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะ 4" อีก 5555555 บัดซบชีวิตมาก ตอนนี้ก็รักษามาปีกว่าแล้วครับ คีโมมา 12ครั้ง ทำงานก็ไม่ได้ เพราะภูมิต่ำ สุดท้ายหมอให้ปลูกไขกระดูกครับซึ่งมันคือสุดยอดของความทรมานเลย ไอ้การคีโม 12 ครั้งที่ผ่านมาคือ เด็กๆไปเลย ยาคีโมสำหรับปลูกไขกระดูกแรงกว่ายาคีโมทั่วไป 50เท่า ตั้งแต่ปากจนถึงลำไส้ผมอักเสบหนัก ลำไส้บวมจนปริหมอต้องจ่ายมอร์ฟีนให้ผม 8 วันเต็ม พอออกจากโรงพยาบาลผมเหมือนครึ่งคนครึ่งผีครับ มีแรงกำลังให้ใช้ได้อยู่ 20% เรื่องปลูกไขกระดูกผ่านมา เดือนนึงแล้วครับ ตอนนี้ผมกับเพื่อนหุ้นส่วนลงทุนทำร้านอาหารกันตั้งแต่เดือน ธ.ค (ตอนคีโมได้ 8 ครั้ง) ผมมีหน้าที่คุมสูตรอาหารคุมคุณภาพและระบบในครัว แต่บางครั้งก็ต้องลาไปคีโม อย่างเดือนกรกฏาที่ผ่านมาก็ลาไปปลูกไขกระดูกทั้งเดือน ตอนนี้ ยอดขายดี ร้านก็พอมีกำไรแบ่งกันครับเหมือนเราผ่านจุดที่เลวร้ายมาแล้วทุกๆปัญหาเลยกลายเป็นเรื่องเล็กๆ ผมเคยพูดกับภรรยาว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผมคือป่วยเป็นมะเร็งมันเปลี่ยนวิธีคิดเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ใจเย็นไม่วู่วามเหมือนแต่ก่อน ที่ผมเล่ามาผมอยากจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เจอเรื่องร้ายๆในชีวิตครับ พอเราผ่านมันไปได้เราจะเข้มแข็งขึ้น ปัญหาในตอนนี้ก็เหมือนกับบททดสอบในชีวิต เพียงแค่เราเจอบททดสอบโหดหน่อยเท่านั้นเอง ขอบคุณที่อ่าน ถ้าใครมีประสบการณ์ผ่านจุดต่ำสุดในชีวิตมาแชร์กันได้ครับ จะเป็นธรรมทานแก่ผู้อื่น และผมขออนุโมทนาด้วยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่