
- เป็นละครเวทีที่อัดเต็มด้วยมวลความบันเทิงที่มันส์ระห่ำ ฮากระจาย และ เดือดที่สุดที่เคยดูมา เหมือนมานั่งดูนักแสดงชั้นนำทั้ง 4 ที่มี คุณบัว ภัทรสุดา , คุณดวงใจ หิรัญศรี , คุณปราโมทย์ แสงศร และ คุณเกรียงไกร ฟูเกษม โอน้อยออกจับคู่กันมาไฝว้บนเวทีอินเตอร์สเตเดี้ยมบางแคโดยมีเข็มขัดแชมป์ Tag Team เป็นเดิมพัน ไร้กติกาเพราะไม่มีกรรมการ พร้อมกับตั้งระเบิดเวลาขึ้นใต้เวที รอแค่ว่าจะร้อง อ๊า ตอนไหน ? ซึ่งในเรื่องจะเป็นสงครามโต้วาทีทางประสาทวิทยาง่าย ๆ ระหว่าง 2 ครอบครัวระหว่างบ้านคุณอุมา VS บ้านคุณมัทนี แต่ละฝ่ายจะมีคุณวิษณุกับคุณกฤษณ์สามีแต่ละฝั่งเป็นลูกมือสนับสนุน โดยต้นเหตุมาจากว่า ลูก ๆ ทั้ง 2 ทะเลาะกันที่โรงเรียนนั่นเอง

- นอกจากได้เสพการแสดงทั้ง 4 ท่านที่กำลังบรรเลงสด ๆ ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที ที่ไหลไปเรื่อยจนไม่รู้จะไปสิ้นสุดกันตรงไหน ? แถมยังเดาทางไม่ได้อีกว่าแต่ละฝ่ายแต่ละคนจะมาไม้ไหน ? เพราะ ความที่แต่ละคนมีอารมณ์พร้อมบวกอยู่แล้ว รอว่าอีกฝ่ายจะเปิดเมื่อไหร่ ? ซึ่งอีกฝ่ายก็นกรู้เลยพยายามใช้วิธีสารพัดนึกด้วยการพูดจาหยอกล้อเสียดสีกลาย ๆ พร้อมกับเสิร์ฟกาแฟกับขนมหม้อแกงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเพื่อยั่วอีกฝ่าย ส่วนฝ่ายนั้นก็เออออห่อหมกตามน้ำแต่เก็บทรงรอจังหวะเอาคืน เริ่มมีการออกนอกประเด็นถามเรื่องส่วนตัวไปเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Topic แต่เอามาเชื่อมโยงแล้ววกกลับมาเรื่องเดิมได้ ? จนแต่ละคนเก็บทรงไม่อยู่โดยเฉพาะคุณอุมาจากนิ่ง ๆ ก็เริ่มมีกิริยาแปลก ๆ เหมือนสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างได้ กระทั่งเห็นตู้เย็นตัวนึงที่คิดว่าคงจะซื้อต่อจาก 2 ผัวเมีย รินกับน็อต จากละครเวที Endstation มาอีกที ก็เริ่มเห็นลางอะไรบางอย่างจนกระทั่งคุณวิษณุเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำปานะขึ้นมาขวดนึงพร้อมกับแก้วที่วางบนตู้เย็นแจกจ่ายให้แก่ทุกคน เท่านั้นแหล่ะ เรียบร้อย
- ขณะดูก็เริ่มมีสิ่งเอะใจอยู่คือแยกไม่ออกว่าสารที่อยู่ใน Dialogue อันไหนคือเนื้อที่เราจะเสพอันไหนคือการด้นสดของนักแสดงเอง เพราะ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วและผสมปนเปไปหมด เช่น Scene ที่ทุกคนกำลังคุยเรื่องลูกกันหน้าขะมำ จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของคุณกฤษณ์ก็ดังขึ้นแล้วพี่แกก็ลุกขึ้นออกไปรับแล้วเดินหายไปเฉย หรือ Scene ที่คุณกฤษณ์กำลัง Call เดินไปเดินมาด้วยสีหน้ายุ่ง ๆ แล้วขอให้คุณวิษณุที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ช่วยไปเอาสมุดกับปากกามาให้หน่อยแล้วพี่แกก็ไปเอาให้เขาง่าย ๆ ไม่พอยังไปยืนฟังเขาคุยกันอย่างเคร่งเครียดในท่าทีสงบเสงี่ยมเจียวตัวไม่วุ่นวายจนคุณกฤษณ์วางสายแล้วหันไปถามคุณวิษณุด้วยความตกใจว่า นี่คุณ ! แอบฟังผมคุยโทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? เสียมารยาท แล้วคุณวิษณุก็สวนกลับด้วยสีหน้ามึน ๆ กวน ๆ ว่า อ้าว ! ก็คุณขอให้ผมช่วยไปเอาสมุดกับปากกามาให้คุณเองนี่ แล้วก็เดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

- เมื่อแยกไม่ออกแล้วว่าอันไหนจริงจังอันไหนเล่นเลยปล่อย joint ทุกสิ่งไปกับเรื่องที่กำลังเข้มข้น หักกันไปซัดกันมาไม่หยุดจนถึงช่วงท้ายที่ระเบิดเวลาใกล้จะทำงานเท่านั้นแหล่ะกลายเป็นมหกรรมเปิดท้ายโชว์ของให้แต่ละคนแสดงออกมาให้โลกจำ โดยเฉพาะ Scene ที่คุณอุมากับคุณวิษณุยักคิ้วให้กันราวกับผู้ชนะหลังจากไล่คุณมัทนีกับคุณกฤษณ์ออกไปสำเร็จ ทั้งคู่กำลังจะเก็บของ จู่ ๆ คุณมัทนีบุกเข้ามาอย่างไวพร้อมกับหยิบกระถางดอกไม้ขึ้นมาซัดแตกกระจาย ไม่พอยังเดินไปเตะกองตัวต่อเลโก้ที่อุตส่าห์จัดแต่งสวย ๆ ซะจนกระจุยกระจายจนเศษชิ้นส่วนของตัวต่อกระเด็นเข้าตาหยั่งกะดูหนัง 4 มิติ พร้อมกับกรีดร้องลั่นห้องราวกับวิญญาณ Carrie เข้าสิงซะจนทั้งคุณอุมา คุณวิษณุ และ คุณกฤษณ์ ที่เดินตามมาทีหลังถึงกับรีบเดินหนีไปคนละทิศละทางแทบไม่ทัน

- ชื่นชมในงานสร้างอีกครั้งที่บรรจงตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จากเครือเจริญนานาภัณฑ์เจ้าเก่าที่จัดองค์ทรงเครื่องอย่างสวยงามไม่แพ้เรื่อง Endstation แล้ว อีกอย่างที่สำคัญคือต้องขอขอบคุณผู้กำกับ คุณดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ อีกครั้งที่นำละครเวทีชื่อดังเรื่อง God of Carnage โดยนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส Yasmina Reza เมื่อปี 2008 มาแสดงให้ชมกัน มีการปรับบทเปลี่ยนวัตถุดิบใส่ idea เสียดสีตัวบริบทในสังคมไทยแต่ยังยึดโครงไว้อยู่อย่างประเด็นครอบครัวที่เป็น Keyword สำคัญที่เป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงง่าย ขณะดูไปสงสัยว่าทำไมไม่มีครู ดูไปก็เข้าใจทันทีว่า ไม่มีน่ะดีแล้ว ต่อให้มีก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่ทันได้ทำหน้าที่ เผลอ ๆ ถูกคนใดคนหนึ่ง Close Line ลอยกลางอากาศแล้วสลบไปกับพื้นก่อนเป็นคนแรก ทำได้อย่างเดียวคือปล่อยให้พวกเขา Let Them Fight กันเอง ถึงไม่มีครูหรือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เกี่ยวข้องแต่ที่จริงปัญหาในเรื่องแก้ง่ายมาก ถ้าต่างฝ่ายลดอีโก้ลงหันหน้ามาคุยกันเรียกลูก ๆ มาสอบสวนเพิ่มว่าใครเริ่มก่อนก็ขอโทษขอโพยไปแค่นั้น แต่อย่างว่าสังคมประเทศกะลาคนดีย์สอนให้คนแข่งกันหาแสงที่ชื่อตำแหน่ง คนเลยมุ่งแต่จะคว้ามาไว้ประดับบารมีแล้วเสพสมอวดเพื่อนหน้าระรื่น พอเห็นคนพูดจาถากถางเข้าหน่อยก็เหมือนเป็นการหยามศักดิ์ศรีเลยยอมไม่ได้ อีกทั้งด้วยความเป็นพ่อแม่ เห็นลูกถูกทำร้ายก็ต้องออกมาปกป้อง ต่อให้ลูกจะถูกหรือผิด พอความรู้สึกทำงานไปตามหน้าที่ เส้นแบ่งกั้นที่เรียกว่าสติก็พร้อมจะขาดออกจากกันได้ทุกเมื่อเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งอยู่เหนือเหตุผล เพียงตรรกะว่า ลูกฉันเป็นคนดีย์

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม By : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.112 บุพกาลี God of Carnage (2567) : ศึกวันเจรจาของเหล่าผู้เจริญ (กำ) ซึ่งมากด้วยปัญหา
- เป็นละครเวทีที่อัดเต็มด้วยมวลความบันเทิงที่มันส์ระห่ำ ฮากระจาย และ เดือดที่สุดที่เคยดูมา เหมือนมานั่งดูนักแสดงชั้นนำทั้ง 4 ที่มี คุณบัว ภัทรสุดา , คุณดวงใจ หิรัญศรี , คุณปราโมทย์ แสงศร และ คุณเกรียงไกร ฟูเกษม โอน้อยออกจับคู่กันมาไฝว้บนเวทีอินเตอร์สเตเดี้ยมบางแคโดยมีเข็มขัดแชมป์ Tag Team เป็นเดิมพัน ไร้กติกาเพราะไม่มีกรรมการ พร้อมกับตั้งระเบิดเวลาขึ้นใต้เวที รอแค่ว่าจะร้อง อ๊า ตอนไหน ? ซึ่งในเรื่องจะเป็นสงครามโต้วาทีทางประสาทวิทยาง่าย ๆ ระหว่าง 2 ครอบครัวระหว่างบ้านคุณอุมา VS บ้านคุณมัทนี แต่ละฝ่ายจะมีคุณวิษณุกับคุณกฤษณ์สามีแต่ละฝั่งเป็นลูกมือสนับสนุน โดยต้นเหตุมาจากว่า ลูก ๆ ทั้ง 2 ทะเลาะกันที่โรงเรียนนั่นเอง
- นอกจากได้เสพการแสดงทั้ง 4 ท่านที่กำลังบรรเลงสด ๆ ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที ที่ไหลไปเรื่อยจนไม่รู้จะไปสิ้นสุดกันตรงไหน ? แถมยังเดาทางไม่ได้อีกว่าแต่ละฝ่ายแต่ละคนจะมาไม้ไหน ? เพราะ ความที่แต่ละคนมีอารมณ์พร้อมบวกอยู่แล้ว รอว่าอีกฝ่ายจะเปิดเมื่อไหร่ ? ซึ่งอีกฝ่ายก็นกรู้เลยพยายามใช้วิธีสารพัดนึกด้วยการพูดจาหยอกล้อเสียดสีกลาย ๆ พร้อมกับเสิร์ฟกาแฟกับขนมหม้อแกงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเพื่อยั่วอีกฝ่าย ส่วนฝ่ายนั้นก็เออออห่อหมกตามน้ำแต่เก็บทรงรอจังหวะเอาคืน เริ่มมีการออกนอกประเด็นถามเรื่องส่วนตัวไปเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Topic แต่เอามาเชื่อมโยงแล้ววกกลับมาเรื่องเดิมได้ ? จนแต่ละคนเก็บทรงไม่อยู่โดยเฉพาะคุณอุมาจากนิ่ง ๆ ก็เริ่มมีกิริยาแปลก ๆ เหมือนสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างได้ กระทั่งเห็นตู้เย็นตัวนึงที่คิดว่าคงจะซื้อต่อจาก 2 ผัวเมีย รินกับน็อต จากละครเวที Endstation มาอีกที ก็เริ่มเห็นลางอะไรบางอย่างจนกระทั่งคุณวิษณุเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำปานะขึ้นมาขวดนึงพร้อมกับแก้วที่วางบนตู้เย็นแจกจ่ายให้แก่ทุกคน เท่านั้นแหล่ะ เรียบร้อย
- ขณะดูก็เริ่มมีสิ่งเอะใจอยู่คือแยกไม่ออกว่าสารที่อยู่ใน Dialogue อันไหนคือเนื้อที่เราจะเสพอันไหนคือการด้นสดของนักแสดงเอง เพราะ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วและผสมปนเปไปหมด เช่น Scene ที่ทุกคนกำลังคุยเรื่องลูกกันหน้าขะมำ จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของคุณกฤษณ์ก็ดังขึ้นแล้วพี่แกก็ลุกขึ้นออกไปรับแล้วเดินหายไปเฉย หรือ Scene ที่คุณกฤษณ์กำลัง Call เดินไปเดินมาด้วยสีหน้ายุ่ง ๆ แล้วขอให้คุณวิษณุที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ช่วยไปเอาสมุดกับปากกามาให้หน่อยแล้วพี่แกก็ไปเอาให้เขาง่าย ๆ ไม่พอยังไปยืนฟังเขาคุยกันอย่างเคร่งเครียดในท่าทีสงบเสงี่ยมเจียวตัวไม่วุ่นวายจนคุณกฤษณ์วางสายแล้วหันไปถามคุณวิษณุด้วยความตกใจว่า นี่คุณ ! แอบฟังผมคุยโทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? เสียมารยาท แล้วคุณวิษณุก็สวนกลับด้วยสีหน้ามึน ๆ กวน ๆ ว่า อ้าว ! ก็คุณขอให้ผมช่วยไปเอาสมุดกับปากกามาให้คุณเองนี่ แล้วก็เดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
- เมื่อแยกไม่ออกแล้วว่าอันไหนจริงจังอันไหนเล่นเลยปล่อย joint ทุกสิ่งไปกับเรื่องที่กำลังเข้มข้น หักกันไปซัดกันมาไม่หยุดจนถึงช่วงท้ายที่ระเบิดเวลาใกล้จะทำงานเท่านั้นแหล่ะกลายเป็นมหกรรมเปิดท้ายโชว์ของให้แต่ละคนแสดงออกมาให้โลกจำ โดยเฉพาะ Scene ที่คุณอุมากับคุณวิษณุยักคิ้วให้กันราวกับผู้ชนะหลังจากไล่คุณมัทนีกับคุณกฤษณ์ออกไปสำเร็จ ทั้งคู่กำลังจะเก็บของ จู่ ๆ คุณมัทนีบุกเข้ามาอย่างไวพร้อมกับหยิบกระถางดอกไม้ขึ้นมาซัดแตกกระจาย ไม่พอยังเดินไปเตะกองตัวต่อเลโก้ที่อุตส่าห์จัดแต่งสวย ๆ ซะจนกระจุยกระจายจนเศษชิ้นส่วนของตัวต่อกระเด็นเข้าตาหยั่งกะดูหนัง 4 มิติ พร้อมกับกรีดร้องลั่นห้องราวกับวิญญาณ Carrie เข้าสิงซะจนทั้งคุณอุมา คุณวิษณุ และ คุณกฤษณ์ ที่เดินตามมาทีหลังถึงกับรีบเดินหนีไปคนละทิศละทางแทบไม่ทัน
- ชื่นชมในงานสร้างอีกครั้งที่บรรจงตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จากเครือเจริญนานาภัณฑ์เจ้าเก่าที่จัดองค์ทรงเครื่องอย่างสวยงามไม่แพ้เรื่อง Endstation แล้ว อีกอย่างที่สำคัญคือต้องขอขอบคุณผู้กำกับ คุณดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ อีกครั้งที่นำละครเวทีชื่อดังเรื่อง God of Carnage โดยนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส Yasmina Reza เมื่อปี 2008 มาแสดงให้ชมกัน มีการปรับบทเปลี่ยนวัตถุดิบใส่ idea เสียดสีตัวบริบทในสังคมไทยแต่ยังยึดโครงไว้อยู่อย่างประเด็นครอบครัวที่เป็น Keyword สำคัญที่เป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงง่าย ขณะดูไปสงสัยว่าทำไมไม่มีครู ดูไปก็เข้าใจทันทีว่า ไม่มีน่ะดีแล้ว ต่อให้มีก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่ทันได้ทำหน้าที่ เผลอ ๆ ถูกคนใดคนหนึ่ง Close Line ลอยกลางอากาศแล้วสลบไปกับพื้นก่อนเป็นคนแรก ทำได้อย่างเดียวคือปล่อยให้พวกเขา Let Them Fight กันเอง ถึงไม่มีครูหรือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เกี่ยวข้องแต่ที่จริงปัญหาในเรื่องแก้ง่ายมาก ถ้าต่างฝ่ายลดอีโก้ลงหันหน้ามาคุยกันเรียกลูก ๆ มาสอบสวนเพิ่มว่าใครเริ่มก่อนก็ขอโทษขอโพยไปแค่นั้น แต่อย่างว่าสังคมประเทศกะลาคนดีย์สอนให้คนแข่งกันหาแสงที่ชื่อตำแหน่ง คนเลยมุ่งแต่จะคว้ามาไว้ประดับบารมีแล้วเสพสมอวดเพื่อนหน้าระรื่น พอเห็นคนพูดจาถากถางเข้าหน่อยก็เหมือนเป็นการหยามศักดิ์ศรีเลยยอมไม่ได้ อีกทั้งด้วยความเป็นพ่อแม่ เห็นลูกถูกทำร้ายก็ต้องออกมาปกป้อง ต่อให้ลูกจะถูกหรือผิด พอความรู้สึกทำงานไปตามหน้าที่ เส้นแบ่งกั้นที่เรียกว่าสติก็พร้อมจะขาดออกจากกันได้ทุกเมื่อเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งอยู่เหนือเหตุผล เพียงตรรกะว่า ลูกฉันเป็นคนดีย์
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม By : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการพรรณนาครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้