หลังจากที่ผมได้ดูพิธีเปิดโอลิมปิก ที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา
แน่นอนว่า 1 ในโชว์ที่เป็นกระแสฮือฮาอย่างมากก็คือโชว์ของวง Metal แนวหน้าของชาติเจ้าภาพที่ชื่อว่า Gojira
ในพาร์ทของ Liberté หรือเสรีภาพ ที่เลือกเอาเพลง Ah! Ça Ira มาทำในรูปแบบเฮฟวี่เมทัล
ร่วมร้องกับ Marina Viotti ศิลปินโอเปร่าหญิงชื่อดัง นำเสนอในซีนเหตุการณ์นองเลือดของประวัติศาสตร์ชาติ
โดยมีพระนางมารี อองตัวแน็ต นับสิบๆคน ที่อยู่ในสภาพคอหลุดจากบ่าร้องโหยหวนเป็นแบ๊คกราวน์ทุกบานหน้าต่างของอาคารริมแม่น้ำ
โคตรขนลุกจริงจังเลยครับ เมื่อเห็นปุ๊บใจผมคิดได้ทันทีเลยว่า..
ได้หนังที่จะรีวิวในสัปดาห์นี้แล้ววว (คือจะหาจุดโยงว่างั้น..) เข้าเรื่องเลยล่ะกันครับ....
Marie Antoinette เป็นภาพยนตร์ดราม่าประวัติศาสตร์ปี 2006 ที่เขียนบทและกำกับโดยโซเฟีย คอปโปลา
สร้างจากชีวิตของ Marie Antoinette ราชินีมเหสีแห่งฝรั่งเศส รับบทโดย Kirsten Dunst
ในช่วงหลายปีที่นำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศส คว้ารางวัลออสการ์มาครอง 1 สาขาจากการออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม
งานของโซเฟีย คอปโปล่า นั้น เรารู้ดีกันอยู่แล้ว (ถ้าติดตามงานของเธอมาตลอดอ่ะนะ)
ว่าเธอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความเหงาได้ดีมากแค่ไหน ที่เรารู้จักกันดีก็อย่างหนังระดับตำนาน
เรื่องที่สร้างชื่อให้กับเธออย่างมาก Lost in Translation (2003) ไม่ก็เรื่องล่าสุดกับ Priscilla (2023)
กับเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่มีสเกลใหญ่ และทุนการสร้างก็สูงมากเพราะเป็นหนังอิงประวัติศาสตร์
และยิ่งฝรั่งเศสในยุคนั้นด้วย เสื้อผ้าหน้าผม คอสตูมต้องจัดเต็มที่ ถ่ายทำในสถานที่จริงอย่างพระราชวังแวร์ซายอีก
หมดทุนไปเยอะมากถึง 40 ล้านเหรียญฯ เลยทีเดียว
การสร้างหนังชีวประวัติถือเป็นเรื่องยากครับ เพราะอะไรน่ะเหรอ คือเรารู้เรื่องทั้งหมดไปก่อนแล้วไง
ยิ่งคนดังๆ ผู้ชมอย่างเราก็จะรู้แล้วว่าจุดจบของเค้าคนนั้นเป็นยังไง ซึ่งมันก็คือ Climax ของเรื่องใช่ไหมครับ
เพราะอย่างนี้การสร้างหนังชีวประวัติจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากว่าจะทำยังไงให้คนดูสนใจ
และอยากดูหนังเรื่องที่เค้ารู้ตอนจบอยู่แล้ว หนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน
มันก็จะอยู่ที่กึ๋นของผู้กำกับแต่ละคนล่ะครับว่าเค้าเลือกที่จะนำเสนอออกมาในรูปแบบใด
ซึ่งงานของโซเฟีย ก็มีเอกลักษณ์ชัดเจน โดยเธอเลือกที่จะเล่าเรื่องด้วยมุมมองของตัวเอก สิ่งที่พบเจอ ประสบการณ์ต่างๆรอบตัว
ทำให้คนดูเกิดความรู้สึกร่วมไปกับตัวแสดงนั้นๆ ไม่ยาก และแม้ว่าจะเป็นหนังอิงประวัติศาสตร์
แต่ผู้ชมก็จะไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังเข้าไปนั่งฟังวิชาประวัติศาสตร์ที่แสนน่าเบื่อแต่อย่างใด
หากเราจะได้เข้าใจและเห็นในอีกแง่มุมของพระนางมารี อองตัวแน็ตมากขึ้น ในรูปแบบการนำเสนอของผู้กำกับสาวรายนี้
Kirsten Dunst ซึ่งในช่วงเวลานั้นดังสุดๆกับบทนางเอกของสไปเดอร์แมน มาครั้งนี้กับบทพระนางมารี อองตัวแน็ต เล่นได้ดีมาก
เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งทางความคิดและการกระทำของเธอ จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดจบ สีหน้า แววตา
จากเด็กสาวที่สดใส ร่าเริงเป็นมิตร เปลี่ยนไปเป็นคนที่ด้านชา แข็งกร้าวไม่สนใจใคร Dunst เอาอยู่เก็บรายละเอียดได้หมดไม่มีเหลือ
ขณะที่ Jason Schwartzman ในบทของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก็ยอมเพิ่มน้ำหนักตัวให้มากขึ้น
เพื่อให้ใกล้เคียงกับตัวจริงแม้ว่าลุคของเจสันจะดูหล่อเกินหน้าไปมากก็ตามที แต่เรื่องการแสดงเจ้าตัวก็ไม่น้อยหน้า
แสดงให้เห็นถึงกษัตริย์วัยหนุ่มที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคงทางความคิด ความกดดันที่ตัวเองต้องรับไว้ในหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่
ทุกอย่างรวดเร็วเกินไปจนตัวเองรับไว้ไม่ทัน
และนอกเหนือจากเสื้อผ้าหน้าผมที่อลังการจนคว้าออสการ์มาครอง เรื่องเพลงก็เป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ครับ
เพราะหนังเป็นประวัติศาสตร์ย้อนไป 200 กว่าปีแน่นอนว่าเราต้องคิดถึงเพลงคลาสสิคอลังการในยุคนั้นๆแน่นอน
แต่ทางผู้กำกับกลับเลือกใช้เพลงร่วมสมัย พังค์ร็อกมาใส่ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง
แสดงให้เห็นว่าโซเฟียต้องการตีความมารี อองตัวแน็ตในรูปแบบใหม่
ดูจากใบปิดตอนแรกผมก็หวนไปนึกถึงหนังวัยรุ่นอเมริกันใสๆ ไฮสคูล เน้นด้วยสีชมพู แถม Font ตัวอักษรก็ดูเฟียร์สๆ อีกต่างหาก
ผมเชื่อเสมอครับว่าคนเราทุกคนเกิดมาไม่มีใครที่เลว ชั่วช้าตั้งแต่ถือกำเนิด ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผ้าขาวทั้งนั้น
เพียงแต่สภาพสังคม ความเป็นอยู่ การเลี้ยงดูปลูกฝังทางความคิด สิ่งแวดล้อม คนใกล้ชิด
สิ่งเหล่านี้ล่ะที่มันจะแต่งแต้มให้ผ้าขาวที่บริสุทธิ์เปลี่ยนไปเป็นสีอื่นไดมากน้อยแค่ไหน พระนางมารีก็เช่นกัน...
ภาพลักษณ์ที่เรารู้จะพบว่าเธอเป็น 1 ในสตรี่ล้างผลาญ ฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย ไม่สนใจว่าใครจะเป็นอย่างไร
และแน่นอนว่าการกระทำของเธอเป็น 1 ในปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาครั้งใหญ่จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของฝรั่งเศสไปตลอดกาล
แต่กับประเด็นนี้ผมจะไม่ลงรายละเอียดเพราะเชื่อว่าทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น...
แต่จุดเริ่มต้นล่ะครับว่าทำไมเธอถึงเป็นเช่นนี้ นี่ล่ะคือประเด็นที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่อให้เราได้รับรู้
จากเด็กสาวคนนึงในฐานะเจ้าหญิงองค์น้อยแห่งออสเตรียที่แทบจะไม่มีความสำคัญอันใดในสายตาคนในราชวงศ์
แต่แล้ววันนึงกลับกลายเป็นเหมือนสิ่งของไว้ประสานไมตรีระหว่าง 2 อาณาจักร โดยที่เธอเองไม่รู้ประสีประสาอะไรเลยสักนิด
ความเปลี่ยนแปลงต่างๆถาโถมเข้ามาสู่เจ้าหญิงน้อยอย่างรวดเร็ว วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป บ้านใหม่ คนใหม่ ภาษาใหม่
ไม่มีอะไรที่เธอคุ้นเคย ทุกอย่างดูแปลกหน้าแปลกตาไปซะหมด ไม่มีเพื่อนที่จริงใจหรือใครสักคนที่เธอจะพูดเปิดอกได้
สามีที่ไม่สนใจในตัวเธอ การแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก มารีพยายามที่จะปรับตัว
แต่ความกดดันที่เธอต้องแบกรับในฐานะราชินีฝรั่งเศสคนใหม่มันหนักหนาสาหัสเกินไป
ก่อนที่จะถึงจุดเปลี่ยนสำคัญและนั่นก็เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้พระนางตัดสินใจเด็ดขาด
ว่านับจากนี้ฉันจะไม่สนใจอะไรอีกแล้ว โนสน โนแคร์ ว่างั้น
(ซึ่งทุกคนจะมีจุดเปลี่ยนแบบที่ว่านี้ทั้งนั้นล่ะครับ เพียงแต่ว่าจะนำพาชีวิตเราไปสู่ทางที่ดีหรือร้ายเท่านั้น)
แน่นอนว่าจุดเปลี่ยนของพระนางคืออะไรผมไม่บอกนะครับ ไปหาดูในหนังเอาเองล่ะกัน
โดยสรุปรวมแล้ว มารี อองตัวแน็ตในเวอร์ชั่นของโซเฟีย คอปโปล่า เป็นการมองให้เห็นถึงอีก 1 ด้านของเหรียญ
ไม่อยากให้ตัดสินสิ่งใดสิ่งนึงตามแค่เท่าที่ได้ยินได้ฟังมา
แน่นอนว่าถึงแม้เราจะไม่มีทางรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังหรือความจริงแท้นั้นเป็นอย่างไร
เพียงแค่อย่างที่ผมเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่มีมนุษย์คนไหนเลวร้ายตั้งแต่เกิด ทุกคนย่อมมีจุดเปลี่ยนแห่งชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าทางที่เราเลือกที่จะก้าวเดินหลังจากนั้น มันถูกหรือผิดเท่านั้นเอง..
และสุดท้าย นั่นล่ะคือสิ่งที่โลกจะจดจำว่าเราเป็นคนเช่นไร...
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Marie Antoinette (2006) ราชินีแปลกหน้า.. ในปราสาทอันเยียบเย็น... ==
หลังจากที่ผมได้ดูพิธีเปิดโอลิมปิก ที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา
แน่นอนว่า 1 ในโชว์ที่เป็นกระแสฮือฮาอย่างมากก็คือโชว์ของวง Metal แนวหน้าของชาติเจ้าภาพที่ชื่อว่า Gojira
ในพาร์ทของ Liberté หรือเสรีภาพ ที่เลือกเอาเพลง Ah! Ça Ira มาทำในรูปแบบเฮฟวี่เมทัล
ร่วมร้องกับ Marina Viotti ศิลปินโอเปร่าหญิงชื่อดัง นำเสนอในซีนเหตุการณ์นองเลือดของประวัติศาสตร์ชาติ
โดยมีพระนางมารี อองตัวแน็ต นับสิบๆคน ที่อยู่ในสภาพคอหลุดจากบ่าร้องโหยหวนเป็นแบ๊คกราวน์ทุกบานหน้าต่างของอาคารริมแม่น้ำ
โคตรขนลุกจริงจังเลยครับ เมื่อเห็นปุ๊บใจผมคิดได้ทันทีเลยว่า..
ได้หนังที่จะรีวิวในสัปดาห์นี้แล้ววว (คือจะหาจุดโยงว่างั้น..) เข้าเรื่องเลยล่ะกันครับ....
Marie Antoinette เป็นภาพยนตร์ดราม่าประวัติศาสตร์ปี 2006 ที่เขียนบทและกำกับโดยโซเฟีย คอปโปลา
สร้างจากชีวิตของ Marie Antoinette ราชินีมเหสีแห่งฝรั่งเศส รับบทโดย Kirsten Dunst
ในช่วงหลายปีที่นำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศส คว้ารางวัลออสการ์มาครอง 1 สาขาจากการออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม
งานของโซเฟีย คอปโปล่า นั้น เรารู้ดีกันอยู่แล้ว (ถ้าติดตามงานของเธอมาตลอดอ่ะนะ)
ว่าเธอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความเหงาได้ดีมากแค่ไหน ที่เรารู้จักกันดีก็อย่างหนังระดับตำนาน
เรื่องที่สร้างชื่อให้กับเธออย่างมาก Lost in Translation (2003) ไม่ก็เรื่องล่าสุดกับ Priscilla (2023)
กับเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่มีสเกลใหญ่ และทุนการสร้างก็สูงมากเพราะเป็นหนังอิงประวัติศาสตร์
และยิ่งฝรั่งเศสในยุคนั้นด้วย เสื้อผ้าหน้าผม คอสตูมต้องจัดเต็มที่ ถ่ายทำในสถานที่จริงอย่างพระราชวังแวร์ซายอีก
หมดทุนไปเยอะมากถึง 40 ล้านเหรียญฯ เลยทีเดียว
การสร้างหนังชีวประวัติถือเป็นเรื่องยากครับ เพราะอะไรน่ะเหรอ คือเรารู้เรื่องทั้งหมดไปก่อนแล้วไง
ยิ่งคนดังๆ ผู้ชมอย่างเราก็จะรู้แล้วว่าจุดจบของเค้าคนนั้นเป็นยังไง ซึ่งมันก็คือ Climax ของเรื่องใช่ไหมครับ
เพราะอย่างนี้การสร้างหนังชีวประวัติจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากว่าจะทำยังไงให้คนดูสนใจ
และอยากดูหนังเรื่องที่เค้ารู้ตอนจบอยู่แล้ว หนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน
มันก็จะอยู่ที่กึ๋นของผู้กำกับแต่ละคนล่ะครับว่าเค้าเลือกที่จะนำเสนอออกมาในรูปแบบใด
ซึ่งงานของโซเฟีย ก็มีเอกลักษณ์ชัดเจน โดยเธอเลือกที่จะเล่าเรื่องด้วยมุมมองของตัวเอก สิ่งที่พบเจอ ประสบการณ์ต่างๆรอบตัว
ทำให้คนดูเกิดความรู้สึกร่วมไปกับตัวแสดงนั้นๆ ไม่ยาก และแม้ว่าจะเป็นหนังอิงประวัติศาสตร์
แต่ผู้ชมก็จะไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังเข้าไปนั่งฟังวิชาประวัติศาสตร์ที่แสนน่าเบื่อแต่อย่างใด
หากเราจะได้เข้าใจและเห็นในอีกแง่มุมของพระนางมารี อองตัวแน็ตมากขึ้น ในรูปแบบการนำเสนอของผู้กำกับสาวรายนี้
Kirsten Dunst ซึ่งในช่วงเวลานั้นดังสุดๆกับบทนางเอกของสไปเดอร์แมน มาครั้งนี้กับบทพระนางมารี อองตัวแน็ต เล่นได้ดีมาก
เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งทางความคิดและการกระทำของเธอ จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดจบ สีหน้า แววตา
จากเด็กสาวที่สดใส ร่าเริงเป็นมิตร เปลี่ยนไปเป็นคนที่ด้านชา แข็งกร้าวไม่สนใจใคร Dunst เอาอยู่เก็บรายละเอียดได้หมดไม่มีเหลือ
ขณะที่ Jason Schwartzman ในบทของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก็ยอมเพิ่มน้ำหนักตัวให้มากขึ้น
เพื่อให้ใกล้เคียงกับตัวจริงแม้ว่าลุคของเจสันจะดูหล่อเกินหน้าไปมากก็ตามที แต่เรื่องการแสดงเจ้าตัวก็ไม่น้อยหน้า
แสดงให้เห็นถึงกษัตริย์วัยหนุ่มที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคงทางความคิด ความกดดันที่ตัวเองต้องรับไว้ในหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่
ทุกอย่างรวดเร็วเกินไปจนตัวเองรับไว้ไม่ทัน
และนอกเหนือจากเสื้อผ้าหน้าผมที่อลังการจนคว้าออสการ์มาครอง เรื่องเพลงก็เป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ครับ
เพราะหนังเป็นประวัติศาสตร์ย้อนไป 200 กว่าปีแน่นอนว่าเราต้องคิดถึงเพลงคลาสสิคอลังการในยุคนั้นๆแน่นอน
แต่ทางผู้กำกับกลับเลือกใช้เพลงร่วมสมัย พังค์ร็อกมาใส่ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง
แสดงให้เห็นว่าโซเฟียต้องการตีความมารี อองตัวแน็ตในรูปแบบใหม่
ดูจากใบปิดตอนแรกผมก็หวนไปนึกถึงหนังวัยรุ่นอเมริกันใสๆ ไฮสคูล เน้นด้วยสีชมพู แถม Font ตัวอักษรก็ดูเฟียร์สๆ อีกต่างหาก
ผมเชื่อเสมอครับว่าคนเราทุกคนเกิดมาไม่มีใครที่เลว ชั่วช้าตั้งแต่ถือกำเนิด ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผ้าขาวทั้งนั้น
เพียงแต่สภาพสังคม ความเป็นอยู่ การเลี้ยงดูปลูกฝังทางความคิด สิ่งแวดล้อม คนใกล้ชิด
สิ่งเหล่านี้ล่ะที่มันจะแต่งแต้มให้ผ้าขาวที่บริสุทธิ์เปลี่ยนไปเป็นสีอื่นไดมากน้อยแค่ไหน พระนางมารีก็เช่นกัน...
ภาพลักษณ์ที่เรารู้จะพบว่าเธอเป็น 1 ในสตรี่ล้างผลาญ ฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย ไม่สนใจว่าใครจะเป็นอย่างไร
และแน่นอนว่าการกระทำของเธอเป็น 1 ในปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาครั้งใหญ่จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของฝรั่งเศสไปตลอดกาล
แต่กับประเด็นนี้ผมจะไม่ลงรายละเอียดเพราะเชื่อว่าทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น...
แต่จุดเริ่มต้นล่ะครับว่าทำไมเธอถึงเป็นเช่นนี้ นี่ล่ะคือประเด็นที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่อให้เราได้รับรู้
จากเด็กสาวคนนึงในฐานะเจ้าหญิงองค์น้อยแห่งออสเตรียที่แทบจะไม่มีความสำคัญอันใดในสายตาคนในราชวงศ์
แต่แล้ววันนึงกลับกลายเป็นเหมือนสิ่งของไว้ประสานไมตรีระหว่าง 2 อาณาจักร โดยที่เธอเองไม่รู้ประสีประสาอะไรเลยสักนิด
ความเปลี่ยนแปลงต่างๆถาโถมเข้ามาสู่เจ้าหญิงน้อยอย่างรวดเร็ว วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป บ้านใหม่ คนใหม่ ภาษาใหม่
ไม่มีอะไรที่เธอคุ้นเคย ทุกอย่างดูแปลกหน้าแปลกตาไปซะหมด ไม่มีเพื่อนที่จริงใจหรือใครสักคนที่เธอจะพูดเปิดอกได้
สามีที่ไม่สนใจในตัวเธอ การแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก มารีพยายามที่จะปรับตัว
แต่ความกดดันที่เธอต้องแบกรับในฐานะราชินีฝรั่งเศสคนใหม่มันหนักหนาสาหัสเกินไป
ก่อนที่จะถึงจุดเปลี่ยนสำคัญและนั่นก็เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้พระนางตัดสินใจเด็ดขาด
ว่านับจากนี้ฉันจะไม่สนใจอะไรอีกแล้ว โนสน โนแคร์ ว่างั้น
(ซึ่งทุกคนจะมีจุดเปลี่ยนแบบที่ว่านี้ทั้งนั้นล่ะครับ เพียงแต่ว่าจะนำพาชีวิตเราไปสู่ทางที่ดีหรือร้ายเท่านั้น)
แน่นอนว่าจุดเปลี่ยนของพระนางคืออะไรผมไม่บอกนะครับ ไปหาดูในหนังเอาเองล่ะกัน
โดยสรุปรวมแล้ว มารี อองตัวแน็ตในเวอร์ชั่นของโซเฟีย คอปโปล่า เป็นการมองให้เห็นถึงอีก 1 ด้านของเหรียญ
ไม่อยากให้ตัดสินสิ่งใดสิ่งนึงตามแค่เท่าที่ได้ยินได้ฟังมา
แน่นอนว่าถึงแม้เราจะไม่มีทางรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังหรือความจริงแท้นั้นเป็นอย่างไร
เพียงแค่อย่างที่ผมเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่มีมนุษย์คนไหนเลวร้ายตั้งแต่เกิด ทุกคนย่อมมีจุดเปลี่ยนแห่งชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าทางที่เราเลือกที่จะก้าวเดินหลังจากนั้น มันถูกหรือผิดเท่านั้นเอง..
และสุดท้าย นั่นล่ะคือสิ่งที่โลกจะจดจำว่าเราเป็นคนเช่นไร...
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===