JJNY : 5in1 เบญจาเจอเบี้ยวกระทู้│วิโรจน์ประกาศขวาง│หมอวาโยร้องเอาผิด│กังวลดึงงบใช้'ดิจิทัลวอลเล็ต'│ปูตินประกาศเพิ่มเงิน

เบญจา เสียดาย เจอเบี้ยวกระทู้ รับอาจได้ถามครั้งสุดท้าย ฝากนายกฯ ตัดเส้นเงิน พม่าซื้ออาวุธ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4712629
 
 
“เบญจา” โอดอาจได้อภิปรายในสภาฯครั้งสุดท้าย หลัง “นายกฯ” เบี้ยวตอบกระทู้สด เอกชนเอี่ยวซื้ออาวุธให้กองทัพทหารเมียนมา ยังมั่นใจ “ก้าวไกล” ไม่ถูกยุบ แต่ประเทศนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายปดิพัทธ์ สันดิภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา ของ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ถามกรณีแผนการแก้ไขปัญหาความเชื่อมโยงของ ปตท. และ ปตท.สผ. ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศเมียนมา โดยถามนายกฯ แต่นายกฯ มอบหมายให้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ตอบกระทู้แทน แต่นายพีระพันธุ์ ได้ขอเลื่อนการตอบกระทู้ออกไปด้วย

น.ส.เบญจา จึงอภิปรายว่า ตนตั้งใจถามนายกฯ เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ที่รัฐบาลไทยเสนอตัวเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ท่ามกลางสถานการณ์สิทธิเสรีภาพการแสดงออกของไทยที่ยังตกต่ำ และยังอ้ำอึ้ง ลับๆ ล่อๆ ต่อสถานการณ์การก่ออาชญากรรมสงคราม และการเข่นฆ่าประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านของเรา

ทั้งนี้ ตนไม่ได้แปลกใจ แต่ผิดหวังต่อท่าทีของนายกฯ ในกรณีนี้ เพราะนายกฯ เป็นผู้เดียวที่จะตัดสินใจต่อการดำเนินงานของ ปตท. และ ปตท.สผ.ได้ ซึ่งรัฐบาลถือหุ้นอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่ง และถูกกล่าวหาว่า มีเอี่ยวในการสนับสนุนเงินทุนให้ทหารเมียนมา ซื้ออาวุธทำสงครามปราบปรามประชาชน ซึ่งสภาฯ จะเป็นพื้นที่ให้นายกฯ ได้ชี้แจงต่อประชาชนและสังคมโลก และอยากฟังคำตอบจากนายกฯ ว่าจะหยุดส่งเงินให้รัฐบาลทหารเมียนมาได้อย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้รายได้ทั้งหมดนี้รั่วไหลไปสู่คณะรัฐประหาร และกลายเป็นเครื่องมือซื้ออาวุธในการใช้เข่นฆ่าประชาชน

พรรคก้าวไกลเองมีคดีอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ และจะมีการวินิจฉัยในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ แม้ดิฉันจะเชื่อมั่นในข้อต่อสู้ของพรรค ว่าจะไม่ถูกยุบพรรคตามที่สังคมตราไว้ แต่อย่างที่ประชาชนทราบกันดีว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ในประเทศนี้ การอภิปรายครั้งนี้ จึงอาจเป็นครั้งสุดท้ายในสภาฯก็เป็นได้ และจนถึงวินาทีนี้ ดิฉันไม่ได้เสียดายเลยที่อาจไม่ได้ทำหน้าที่ในสภาฯแห่งนี้ต่อไป แต่จะเสียดายอย่างมากที่ในวินาทีที่ ดิฉันยังสามารถทำหน้าที่อันทรงเกียรติ แทนพี่น้องประชาชนได้อยู่ แต่ดิฉันไม่สามารถแสวงหาหนทางสร้างสันติสุขให้กับเพื่อนมนุษย์ได้ ไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นความเป็นประชาธิปไตยให้ไทยและประเทศเพื่อนบ้านได้” น.ส.เบญจากล่าว

น.ส.เบญจากล่าวต่อว่า จะมีโอกาสสักกี่ครั้งที่จะสามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้ ตนคิดว่านี่คือโอกาสนั้น จึงขอฝากไปยังนายกฯ โดยหวังว่า ท่านจะรับฟังเสียงนั้น ปัญหาในเมียนมาเป็นเรื่องที่ไปไกลกว่า พรรคก้าวไกล แต่เป็นการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมต่อมวลมนุษยชาติ จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย อย่าให้เงินทุกบาทของประชาชนไทยกลายเป็นเครื่องมือเข่นฆ่าประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร้มนุษยธรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่น.ส.เบญจาอภิปราย ได้มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วง เช่น นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานวิปรัฐบาล และ นายไชยวัฒนา ติณรัตน์ สส.มหาสารคาม ขอให้น.ส.เบญจา ระมัดระวังในการกล่าวถึงประเด็นที่พาดพิงต่างประเทศ และหากจะพูดถึงเรื่องนี้จริงก็ควรเป็นการประชุมแบบลับ
 


วิโรจน์ ลั่นก้าวไกล เหลือโควต้า แค่ 4 ก็ไม่ถอย ประกาศขวาง พวกจ้องแปรงบกทม. หาประโยชน์
https://www.matichon.co.th/politics/news_4712447

วิโรจน์ ลั่นก้าวไกล เหลือโควต้า แค่ 4 ก็ไม่ถอย ประกาศขวาง พวกจ้องแปรงบกทม. หาประโยชน์

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ถึงกรณีที่สภา กทม.ลงมติลับ ตัดชื่อ 2 คนนอกที่พรรคก้าวไกลเสนอ เป็นกรรมการพิจารณางบ กทม. โดยมีเนื้อหาดังนี้

ผมขอโทษประชาชนทุกท่าน โดยเฉพาะชาว กทม. ทุกคนด้วยนะครับ ที่พรรคก้าวไกลของพวกเราไม่สามารถส่งบุคคลภายนอกทั้ง 2 ท่าน เข้าไปตรวจสอบงบ กทม. ให้มีความโปร่งใสเพิ่มขึ้นได้

แม้ว่าสุดท้ายคณะกรรมการงบ กทม. ในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล จะเหลือเพียง 4 ท่าน จากสัดส่วนที่เราพึงได้รับ คือ 6 ท่านก็ตาม นั่นเป็นเพราะว่าเรา ไม่ยอมตระบัดสัตย์ ไม่ยอมถอนรายชื่อคนนอกทั้ง 2 ท่านออกไป

แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการงบ กทม. ทั้ง 4 ท่านของพวกเรา จะพยายามทำงานร่วมกับข้าราชการน้ำดี อย่างเต็มที่ที่สุด ในการสกัดกั้นการคอร์รัปชั่น การเรียกรับผลประโยชน์ การฮั้วประมูล การเอาผู้รับเหมา และพ่อค้าในเครือข่ายของตนมาหาผลประโยชน์จาก งบแปร

พวกเรายืนยันว่า พวกเราเคารพเสียงข้างมาก และแม้ว่าเสียงข้างมากในสภา กทม. จะใช้กลวิธีที่เราคิดว่า ไม่เหมาะสมในการสกัดกั้นคนนอกให้เข้ามาเป็นคณะกรรมการงบ กทม. ก็ตาม แต่เราก็น้อมรับผลลัพธ์ตามมตินั้น

เพียงแต่ผมมีข้อสังเกตว่า โดยทั่วไปแล้ว เสียงข้างมาก ก็มักจะต้องเคารพเสียงข้างน้อยด้วยเช่นกัน เพราะเสียงข้างมาก ก็จะตระหนักอยู่ในใจว่าเสียงข้างน้อย ก็เป็นเสียงที่มาจากประชาชน

และเสียงที่สำคัญที่สุด คือ เสียงของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นประชาชนกลุ่มมาก หรือกลุ่มน้อย จะเลือกเรา หรือไม่เลือกเรา เราก็ต้องรับฟัง และนำไปพิจารณา และต้องมีคำตอบให้กับประชาชนทุกฝ่าย ทุกคน อย่างเหมาะสม

มาตรการใดที่แม้ว่าจะมาจากมติเสียงข้างมากในสภา แต่ถ้าหากมาตรการนั้นส่งผลกระทบเชิงลบต่อประชาชนกลุ่มหนึ่ง เสียงข้างมากก็มักจะพิจารณาหาทางเลือกอื่นที่มีขนาดของผลกระทบที่ลดลง หรืออย่างน้อย ก็จะหามาตรการรองรับในการดูแล ชดเชย ที่เหมาะสมให้กับประชาชนกลุ่มนั้น

ระบบเสียงข้างมากที่ดี จะต้องไม่ใช่ระบบที่ เสียงข้างมากทำอะไรก็ได้ และเสียงข้างน้อยต้องแบกรับผลกระทบทุกสิ่งทุกอย่าง

ผมยืนยันว่า เสียงที่สำคัญกว่าเสียงข้างมาก หรือเสียงข้างน้อย ก็คือ เสียงของประชาชน

ผมเชื่อว่าประชาชนชาวไทย และชาว กทม. ต้องการเห็นความโปร่งใส ต้องการการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ไม่ใช่แค่การออกไปกากบาท 3 วินาที ในคูหา ผมเชื่อว่าประชาชนต้องการให้งบประมาณที่มาจากเงินภาษีที่เป็นหยาดเหงื่อแรงงานของพวกเขา ตกถึงประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ในเมื่อวันนี้พวกเราเป็นเสียงข้างน้อย ก็ยินดีที่จะน้อมรับเสียงข้างมาก แต่ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า เสียงของประชาชนที่เป็นเสียงที่สำคัญที่สุด จะรับรู้ว่าพวกเราพรรคก้าวไกลพยายามที่จะทำอะไร และผมเชื่อว่าเมื่อประชาชนได้มีโอกาสได้เลือกตั้งอีกครั้ง ประชาชนจะตัดสินใจเลือกสิ่งที่ต้องการเห็น อยากให้เกิดขึ้นกับประเทศนี้อย่างแน่นอนครับ

และผมยืนยันว่า หากพรรคก้าวไกลได้เป็นเสียงข้างมากในสภา ไม่ว่าสภาใด เราจะเป็นเสียงข้างมากที่เคารพเสียงข้างน้อย และคอยเงี่ยหูฟังเสียงของประชาชนอยู่เสมอ ทุกๆ มาตรการที่เป็นมติเสียงข้างมาก จะมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลถึงประชาชนทุกคน และจะพยายามทางออกอื่นที่ลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนไม่ว่ากลุ่มใดก็ตาม ตลอดจนจะพยายามกำหนดมาตรการในการชดเชย เยียวยา ประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างดีที่สุด

เพราะเราตระหนักอยู่เสมอว่า เจ้านายของพวกเรา คือ ประชาชนทุกคน ไม่ว่าประชาชนท่านนั้นจะเลือก หรือไม่เลือกเรา เราก็ต้องทำงานให้กับประชาชนทุกคน อย่างเสมอภาคกัน

https://www.facebook.com/wirojlak/posts/pfbid02wHVQwdghsrf4RDZmx2UWdTV2xnozDmdAKLS122377PGMR1bii2KB4LKDwwZdqAdvl?comment_id=1701985490603835



หมอวาโย ร้องเอาผิด หน่วยงานรัฐ-บ.เอกชน ปมคางดําระบาด ทำเสียหาย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4712709

หมอวาโย ชี้ช่องร้องเอาผิด หน่วยงานรัฐ-บ.เอกชน ปมปลาหมอคางดํา ทําความเสียหาย ยก พรก.ประมง-พรบ.สิ่งแวดล้อม

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 1 สิงหาคม ที่รัฐสภา นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำ เปิดเผยภายหลังการประชุม กมธ.ว่า ข้อสรุปที่ได้มีการหารือกันในที่ประชุมเกี่ยวกับการฟ้องร้องในคดีต่างๆ แบ่งได้เป็น คดีอาญา คดีแพ่ง และคดีการปกครอง ซึ่งคดีการปกครองมีบางภาคส่วนได้ดำเนินคดีกับกรมประมงไปแล้ว

ซึ่งวันนี้มีข้อคิดเห็นเพิ่มเติม โดยได้เปรียบเทียบตัวกฎหมายในปี 2490 ที่ใช้บังคับในปี 2553-2554 และกฎหมาย พ.ร.ก.ประมง ที่ใช้บังคับในปี 2558 โดยในมาตรา 36 พ.ร.ก.ประมง ระบุว่า หากอนุญาตไปแล้วไม่ทำตามเงื่อนไขจะถูกเพิกถอนใบอนุญาต แต่ใบอนุญาตนั้นเป็นคนละส่วนกันกับใบที่เขียนเงื่อนไขในการนำเข้าปลาหมอคางดำ

นพ.วาโยกล่าวว่า ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่า ถ้ากระดาษอยู่คนละแผ่นแต่เป็นเรื่องเดียวกัน เนื้อหาเหมือนกัน ต้องพิจารณาร่วมกัน จึงเกิดประเด็นว่ากรมประมงได้ปฏิบัติตามมาตรา 36 ตาม พ.ร.ก.ประมง 2490 หรือไม่ ในเรื่องที่บริษัทเอกชนไม่ได้เก็บครีบและส่งขวดโหลปลาคืนให้กับกรมประมง อาจต้องดำเนินกระบวนการต่างๆ ต่อไป เพราะไม่แน่ใจว่าในเงื่อนไขได้กำหนดเวลาไว้หรือไม่

นพ.วาโยกล่าวว่า ในส่วนของคดีทางอาญา ทุกภาคส่วนลงความเห็นว่าอาจไม่เอาผิดได้ แต่คดีความทางแพ่งอาจสามารถเอาผิดได้ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ซึ่งกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นก็สามารถฟ้องร้องเอาผิดกับบริษัทเอกชนในฐานละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายได้ และอีกส่วนเป็นการฟ้องร้องของรัฐโดยตรง

ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ.2535 มาตรา 97 ระบุว่า ถ้าหากผู้ใดทำให้สิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติเสียหาย ต้องจ่ายค่าชดเชยให้รัฐทั้งหมดได้ ทั้งนี้ กรมทรัพยากรชายฝั่งได้ร่วมดำเนินการสำรวจความเสียหายและจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

นพ.วาโยกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ทางคณะอนุกรรมการได้เชิญบริษัทเอกชนเข้ามาชี้แจงเป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยครั้งนี้ได้ให้คณะกรรมาธิการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ออกหนังสือเชิญด้วยตัวเอง และยังไม่มีหนังสือลาการประชุม คาดว่าวันนี้ (1 ส.ค.) บริษัทเอกชนดังกล่าวจะได้เข้ามาชี้แจงในที่ประชุมแล้ว.



หอการค้า กังวลดึงงบใช้ 'ดิจิทัลวอลเล็ต' กระทบงบลงทุนในประเทศ
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/410867

หอการค้าไทย กังวล ดึงเงินงบประมาณมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอเล็ต จะกระทบกับงบลงทุนในประเทศ

โดยนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่า จุดประสงค์ของโครงการเงินดิจิทัล  10,000 บาท ที่ต้องการกระตุ้นการบริโภคประชาชน เป็นเรื่องดี แต่ยังกังวลกับแหล่งเงินงบประมาณที่นำมาใช้ เพราะเป็นการควักจากงบประมาณเดิม เปรียบเสมือนกาลักน้ำ ที่อุดฝั่งหนึ่งแต่รั่วอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งกังวลว่าจะกระทบกับงบประมาณที่จะนำมาลงทุนในประเทศ ซึ่งหากให้เม็ดเงินงบประมาณทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ถูกดึงไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอเล็ต ก็จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้เช่นกัน

จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาในการบริหารจัดการอย่างเข้มข้น รวมไปถึงแนวทางการใช้จ่ายเงินในโครงการที่ต้องไม่ซับซ้อน ซื้อง่ายขายคล่องใช้จ่ายได้ทั่วไป และทั่วถึง กระจายไปสู่กลุ่มรากหญ้าอย่างแท้จริง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่