เติบโตมา 28 ปีกับพ่อแม่ที่ไม่ใช่เซฟโซน

สวัสดีค่ะ ตั้งใจอยู่หลายครั้งว่าอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะพูดออกไปดีไหม จริงๆเคยอยากเขียนกระทู้นี้มาหลายปีแล้ว เผื่อว่าจะมีใครสักคนบนโลกที่เหมือนๆกัน และให้คำปรึกษาหรือแนวทางต่อไปได้ค่ะ

เรื่องนี้อาจยาวสักนิด แต่จะรวบรัดให้กระชับขึ้น เราเป็นผู้หญิงอายุ 28 ปีที่เคยคิดมาเสมอว่าเราเกิดมาในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ จนปัจจุบันถึงรู้ว่าเราห่างไกลคำนั้นไปไกลพอสมควร 

[วัยเด็ก] เราในวัยเด็กเติบโตจากการเลี้ยงดูของปู่กับย่า ส่วนพ่อกับแม่ทำงานอยู่ปริมณฑลตั้งแต่เรายังไม่เกิด เรื่องเงินและค่าใช้จ่ายทั้งหมดพ่อกับแม่คอยส่งเสียให้ไม่ขาด แต่การเจอหน้าพ่อแม่แต่ละครั้ง จะเป็นแค่เพียงเทศกาล 3 หนต่อปี (ปีใหม่ สงกรานต์และวันแม่) เราในวัยเด็กเข้าใจจุดยืนของพ่อกับแม่มาตลอด ปู่ย่าคอยสอนว่าที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่เพราะเขามีภาระรับผิดชอบ เขาต้องทำงาน เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กจนเข้ามหาวิทยาลัย 20 กว่าปี

ขณะเดียวกัน เราในวัยเด็กที่เติบโตมาเสมือนลูกสาวคนเดียว เล่นคนเดียวบ่อย พอเข้าวัยรุ่น เรามีปัญหาประปราย การเรียนเอยอะไรเอย แต่ไม่เคยปรึกษาพ่อแม่เลยสักครั้ง เวลาร้องไห้ก็มักร้องไห้คนเดียวประจำ คุยกับปู่ย่าบ้างแต่แกก็เริ่มแก่ขึ้นเรื่อยๆ ก็ให้คำปรึกษาได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เราก็เติบโตมาได้จนทุกวันนี้

พ่อกับแม่ดูให้ความรักกับเราเสมอ คอยโทรศัพท์หาบ่อยๆ แต่เขาจะไม่เคยรับรู้ปัญหายิบย่อยของเรา กระทั่งเราอายุ 14 แม่มีน้องชาย ทำให้เรารู้สึกว่า เราจะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว แต่ด้วยวัยที่ห่างกันถึง 14 ปี เราต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยในตอนที่น้องชายเริ่มโต ถึงอย่างนั้นค่ะ ระหว่างที่เราเรียนก็เวียนกลับบ้านบ่อยๆเพื่อมาหาน้อง มาส่งน้องไปเรียน มาเล่นด้วย เรารู้สึกรักและผูกพันกับน้องมาก แต่เขาก็ให้คำปรึกษาอะไรเราไม่ได้ เพราะเราอายุห่างกันมาก
.
ตัดกลับมาที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่

ช่วงมหาลัย เป็นช่วงที่สมาร์ทโฟนเริ่มแพร่หลาย พ่อกับแม่มีสมาร์ทโฟนที่เอาไว้คุยไลน์ได้แล้ว ทำให้เราพูดคุยกับพ่อแม่บ่อยขึ้น แต่ก็เป็นการคุยข้อความผ่านไลน์กัน 90% บทสนทนาแม้จะเดิมๆ แต่ก็รู้สึกว่า เรากับพ่อแม่น่าจะสนิทกันมากขึ้นได้ มันดูไปได้ดีค่ะ

นิสัยเดิมของพ่อกับแม่ แม่จะเป็นคนเงียบๆแต่เด็ดขาด และมัธยัสมาก ส่วนพ่อจะเป็นคนมีทิฐิสูง ขึงขัง ให้เทียบว่าสนิทกับใครมากกว่าก็คงเป็นแม่ เพราะพ่อเขาเป็นคนแสดงออกไม่เก่ง และไม่แสดงออกกับเราเลย ยิ่งโตยิ่งห่างกัน จนตอนนี้เราจำไม่ได้แล้วว่าเคยกอดพ่อครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ในความทรงจำของเรา เขาเป็นคนขึงขัง อารมณ์ร้อน แต่เราก็พยายามจะเข้าใจเขามาตลอด เพราะยังไงเขาก็คือพ่อ
.
.
สำหรับเราพ่อกับแม่เป็นตัวอย่างที่ดีมากในเรื่องการเก็บเงิน และเขาซัพพอร์ตเรื่องเงินไม่ขาด

เรื่อยมากระทั่งเราเรียนจบ เราเผชิญกับการผ่าตัดใหญ่ ที่ต้องนอนรพ. ครั้งนั้นเรารักษาที่เอกชน พ่อแม่ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ถือเป็นเงินก้อนใหญ่ที่เราเคยพึ่งพาเขาตั้งแต่เกิดมาเลย เรื่องมันเริ่มเดี๋ยวดีขึ้นเดี๋ยวไม่ดี ก็ตอนที่หลังผาตัด เราพักฟื้นต่อกับพ่อแม่ นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่เราได้ใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับพ่อแม่

กิน นอน แต่เขาก็ทำงานหนัก เข้ากะโรงงาน และคอยดูแลเรา หาข้าวหาน้ำให้กิน ระหว่างนั้นเรารู้สึกว่าตัวเองซึมเศร้ากับอะไรบางอย่างมากๆ หนึ่งเพราะเราต้องกายภาพบำบัด ทำให้ยังไปหางานทำไม่ได้ เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ เพราะเหตุนี้ เราเลยอยากหาที่พึ่งทางใจ เกือบเดือนที่เราทนอยู่กับความรู้สึกนี้ จิตตกจนอยากพบแพทย์เลย จนในที่สุด เราตัดสินใจคุยกับแม่ นี่คงเป็นครั้งแรกเลยที่เรากล้าคุยปัญหากับแม่อย่างตรงไปตรงมา เราพูดกับแม่ไปร้องไห้ไป เพราะมันอึดอัดในใจมาก และสิ่งที่เราได้ตอบกลับจากแม่คือ "อย่าร้องไห้ให้พ่อเห็นได้ไหม กลัวพ่อเป็นห่วง"  "ทำไมเราไม่มองถึงคนที่เค้าแย่กว่าเราล่ะ เราดีกว่าเขาเยอะนะ เราต้องเข้มแข็งสิ" 

เราจำคำพูดของแม่ได้ดี เราน้อยใจนะ แต่ไม่โกรธแม่เลย หลังจากวันนั้น เราก็ไม่พูดเรื่องนี้กับเขาอีกเลย เราพยายามด้วยตัวเอง จนในที่สุดเราก็กลับมาสดใสได้อีกครั้ง หลักเดือนอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ที่แน่ๆคือ เรารู้สึกโดดเดี่ยวมาก จนมันผ่านไป เรากลับมาอยู่บ้านกับปู่ย่าที่ต่างจังหวัด เรามีความฝันอยากเป็นนักเขียน เราเริ่มมองหางาน พยายามทุกอย่าง จนเราหางานที่กทม.ได้

เราเดินทางมา กทม. ด้วยตัวคนเดียว เริ่มอยู่หอพักคนเดียว น้องชายอยู่บ้านกับปู่ย่า พ่อแม่ทำงานเหมือนเดิม ชีวิตเริ่มวนลูบแบบเดิมอีกครั้งค่ะ

ช่วงแรกพ่อแม่ซัพพอร์ตเรื่องค่าที่พักให้ แต่พอเราตั้งตัวได้ เราก็ส่งเสียตัวเองและเริ่มเดินตามทางของตัวเอง แต่นั่นแหละค่ะ ช่วงที่เรามาอยู่กทม. มันมีหลากความรู้สึกมาก ทั้งโดดเดี่ยว กดดัน สารพัดปัญหา เช่นเคย พ่อแม่ไม่เคยรับรู้เรื่องนี้ เขาจะถามประโยคเดิมๆ กินข้าวยัง สบายดีไหม เชื่อเลยค่ะว่า พอเราโตขึ้นเรามักตอบพ่อกับแม่ตลอดว่า "เราสบายดี" เพราะอยากให้เขาสบายใจ แม้เราจะติดปัญหาอะไรก็ตามแต่
.
.
.
อีกครั้งที่เรารู้สึกว่า การมาอยู่กทม.และพ่อแม่อยู่ปริมณฑล จะทำให้เราสนิทกันขึ้น แต่มันไม่ใช่เลย ยิ่งต่างคนต่างทำงาน มันก็วนลูบแค่ว่าเราคุยแชทกันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเจอกันบ้าง 2 เดือนครั้ง หรืออย่างมากก็เดือนละครั้ง การเจอกันของเรา เขามักมาเดินเที่ยวห้างกันแล้วก็กลับ เขาถามเราเรื่องงานบ้าง พอเราตอบ ก็ดูเขาจะไม่เข้าใจ เราอธิบายให้ฟังแล้ว เขาก็ดูเข้าใจไม่ทั้งหมด 

จนทุกวันนี้เขาก็ยังไม่เก็ตว่าเราทำอาชีพอะไรกับใคร เงินเดือนเท่าไหร่

อยู่กทม.เข้าปีที่ 2 เราเจอกับแฟนคนปัจจุบัน เขานิสัยดีและคอยรับฟังปัญหาของเราทุกอย่าง ชีวิตเราเริ่มไม่โดดเดี่ยวแล้ว กระทั่งเข้าปีที่ 3 พ่อเกษียณออกจากงาน (พ่อกับแม่ทำงานที่เดียวกันมาตั้งแต่วัยรุ่น) แต่แม่ยังทำต่อ พ่อกลับไปอยู่บ้านกับน้องชาย แม่อยู่คนเดียว 

ตอนนั้น เราป่วยอีกรอบต้องผ่าตัด เป็นการผ่าตัดเล็ก แต่เราต้องแอดมิท เลยตัดสินใจบอกพ่อกับแม่ เพราะยังไงเขาควรที่จะรับรู้ คำแรกๆที่พ่อกับแม่บอกเรา "บอกแล้วให้ดูแลตัวเอง" เราอึ้งเลย ไม่รู้จะไปต่อยังไง เพราะร่างกายเราเจ็บปวดมากจนต้องแอดมิทด่วน แต่เพราะโควิด รพ.ห้ามญาติเฝ้า แฟนเลยทำได้แค่มาส่ง เราพยายามคุยกับพ่อแม่ว่า ไม่เป็นไร หนูไหว ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เขาก็เอาแต่พูดเรื่องให้ดูแลตัวเอง จนเราต้องขอว่า ตอนนี้อยากได้คำปลอบโยน อยากได้กำลังใจ 

การป่วยครั้งนั้น เราไม่คุยกับพ่อเลย เพราะเขาไม่เข้าใจเรา น้ำเสียงที่พูดกับเรามันขึงขังและเชิงต่อว่าซะมากกว่า เรากันไปคุยกับแม่แทน แต่ก็นั่นแหละค่ะ แม่ก็เป็นห่วงมากจนเราคุยกันไม่รู้เรื่อง วินาทีที่รออยู่ในห้องฉุกเฉิน เราร้องไห้ตลอด เพราะเราเสียใจกับคำพูดพ่อแม่มาก เรากำลังแย่ แม้แต่คำให้กำลังใจยังไม่มีเลย จนเราคุยกับแม่ตรงๆ เขาก็ซอฟต์ลง และเริ่มให้กำลังใจเรา 

พ่อเงียบหายไปเลยค่ะ มีแต่แม่ที่คอยถามไถ่รายวัน จนเราออกจากรพ. มันก็วนลูบกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ของเรากับพ่อแม่ ก็ทรงๆ ไม่ได้ดีขึ้น แถมออกจะห่างเหินต่อกันกว่าเดิม

อายุเข้า 26-27 เราตกตะกอนแน่ชัดแล้วว่า ครอบครัวเราไม่สมบูรณ์แบบที่คิด พ่อกับแม่ไม่ใช่เซฟโซน แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้ชัดขึ้นคือ พ่อรักแม่มาก และแม่ก็รักพ่อมาก ทุกครั้งที่เราพยายามบอกข้อเสียของพ่อ แม่ก็จะเข้าอกเข้าใจพ่อเสมอ เคยคุยกับแม่อย่างเปิดใจมาแล้ว แม่ก็ดูเข้าใจและไม่ค่อยอยากเปลี่ยนพ่อเท่าไหร่ เหมือนกับว่าแม่ชินกับการที่พ่อเป็นแบบนี้ไปแล้ว คนแรกที่พ่อจะฟังคือแม่ และคนที่แม่พร้อมจะเข้าใจมากที่สุดก็คือพ่อ เรารู้สึกว่าโลกของแม่มีพ่อมาเสมอ และมันต้องเป็นไปแบบนั้น โดยที่เรากับน้องเป็นองค์ประกอบของชีวิตเขาสองคน
.
.
.

จวบจนเมื่อต้นปี ปู่กับย่าโดนรถชน ปู่บาดเจ็บจนต้องนอนรพ. ย่าฟกช้ำ เชื่อไหมว่า ด้วยทิฐิของพ่อ เขาสติแตกชี้หน้าด่าปู่กลางวอร์ดผู้ป่วยรวมว่า ไม่ดูแลตัวเอง (อาที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้เราฟัง) เรารู้เรื่องแล้วโกรธมาก โกรธจนร้องไห้ เพราะเราสนิทกับปู่ย่ามาก เขาทำไมถึงทำได้ขนาดนี้ อีกครั้งที่เราพูดกับเขาเพื่อให้เขาเปลี่ยน เราอยากให้พ่อเป็นคนที่ดีขึ้น เป็นคนที่ใจเย็นขึ้น แม้เราจะรู้อยู่แก่ใจว่าเราอาจเปลี่ยนเขาไม่ได้ แต่เราอยากให้คำว่า "ลูกสาว" อาจทำให้เขาเย็นลงได้บ้าง แต่ไม่เลยค่ะ เขาดูไม่เบาลงเลย และยังมีปากเสียงกับอาที่บ้านบ่อยๆด้วย

เรายอมรับว่าครั้งนี้มันเครียดมาก เราอยากให้บ้านเป็นบ้าน เราพยายามใจเย็นลง ปรับความเข้าใจกับพ่อและแม่ แต่มันก็ดูไม่เป็นผลเลยค่ะ พ่อดูทิฐิสูงขึ้น ดูไม่ค่อยฟังใครเท่าไหร่ ฟังแต่แม่คนเดียว เราก็เลยฝากแม่ให้ช่วยพูดกับพ่อให้เย็นลงหน่อย แต่ก็เท่านั้นค่ะ

จนเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา เรากลับบ้านช่วงวันหยุด ปู่ย่าเริ่มฟื้นตัวแล้ว และครั้งนั้นพ่อก็ดูไม่ค่อยจะอารมณ์ดีเท่าไหร่ จนเราได้มีโอกาสคุยกับแม่สองคน เราพูดหลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง จากใจของเรา เราพยายามเข้าใจพ่อ พยายามเข้าใจแม่ แต่เรารู้สึกว่าคำพูดของแม่ กำลังแก้ต่างให้พ่อ "พ่อน่ะ เขาเป็นคนไม่มีอะไรเลย เขาแค่กลัวมากๆ แต่เขารักปู่ย่ามากนะ" 

เรารู้สึกว่า ไม่ว่าเราจะพูดอะไรไป แม่จะไม่โกรธพ่อเลย แต่เขาจะเห็นอกเห็นใจพ่อกว่าใครด้วยซ้ำ จนบางครั้งเราก็รู้สึกว่า เราเป็นคนอื่นหรือเปล่านะ แต่เราก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไป เพราะเชื่อว่าแม่รักเรากับน้องมากเช่นกัน
.
.
.
อีกครั้งค่ะ ต้นพฤษภา เราเจ็บป่วยอีกครั้ง ครั้งนี้มันหนักหนากว่าครั้งไหนๆ เราตรวจเจอเซลล์มะเร็ง 1 จุด แต่มันเติบโตช้ามากๆ  และเรากำลังจะเข้ารับผ่าตัดเดือนหน้านี้แล้ว ประเด็นอยู่ที่ เราไม่กล้าบอกครอบครัวเลยแม้แต่คนเดียวค่ะ แม่ถามเราเรื่องพบหมอ ก็บอกแค่รายละเอียดเผินๆ ส่วนพ่อนี่ไม่รู้แน่นอน เพราะยังไงแม่ก็ไม่บอกพ่อ เพราะแม่กลัวพ่อเป็นห่วง 

เราไม่กล้าแม้แต่จะบอกพ่อแม่ว่าตัวเองเจอกับอะไรอยู่ กลัวเขาจะเป็นห่วงและกลัวว่าเขาจะทำใจยอมรับไม่ได้ กลัวโดนว่า แม้อาการป่วยของเราจะดูรักษาให้หายขาดได้ แต่เราก็ตัดสินใจว่าจะขอผ่านเวลานี้ไปด้วยตัวเองและแฟนที่คอยอยู่ข้างๆ

ตอนเรารู้ว่าเจอเซลล์มะเร็ง เราจิตตกอยู่ 2 อาทิตย์ เราเคยคิดว่าถ้ามันถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เราอยากอยู่กับแฟนตลอดไป เราอยากอยู่ที่นี่ เราไม่อยากกลับไปหาพ่อแม่เลย เรารู้สึกว่าตลอดระยะเวลาจนถึงวันนี้ 28 ปี เราไม่รู้สึกผูกพันกับพ่อแม่ขึ้นเลย เราคิดมาตลอดว่าเขาจะเป็นเซฟโซนให้เราได้สักวันหนึ่ง แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น ยิ่งโตยิ่งห่างกัน

ความคิดหลังๆเรารู้สึกว่า เราจะกลายเป็นลูกอกตัญญูไหมนะ ที่ไม่รู้สึกผูกพันหรืออยากอยู่กับพ่อแม่เลย มันเป็นปัญหาที่เราไม่คิดว่ามันจะมาไกลขนาดนี้

กับแฟน เขาทำให้เรารู้สึกถึงครอบครัวที่อบอุ่น แม้ไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง เขาไม่ได้ให้เงินเราเท่าพ่อแม่ แต่เขาคอยรับฟังปัญหาเราทุกๆอย่าง เขาไม่เคยว่าหรือด่าเราเลย เขาจะฟัง แนะนำ และผ่านทุกๆอย่างไปด้วยกัน

กระทู้นี้ออกจะระบายไปเสียหน่อย แต่เราก็จนปัญญาที่แก้ไขให้อะไรๆมันดีขึ้น ตอนนี้เราห่วงน้องชายที่อยู่กับพ่อ เพราะเวลาน้องชายมีปัญหา เขามักโทรมาหาเราที่อยู่กทม.มากกว่า

มีใครเคยเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้แล้วผ่านมันไปได้ หรือแก้ไขอะไรให้ดีขึ้นได้บ้างคะ มันเป็นอาการสับสนที่เราเองก็ยากจะรับมือแล้วค่ะ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ปัญหาชีวิต ครอบครัว สังคมไทย สุขภาพจิต
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่