ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมอง ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้ว จากอุปกิเลสที่จรมา ฯ
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=161&Z=209
ความแตกต่างระหว่างสภาวะที่แท้จริงของจิต กับสภาวะที่ถูกอุปกิเลสครอบงำ
1. สภาวะที่แท้จริงของจิต:
ในทัศนะของพุทธศาสนา จิตโดยธรรมชาติแล้วมีความบริสุทธิ์ ผุดผ่อง และสงบ นี่คือสภาวะดั้งเดิมหรือสภาวะที่แท้จริงของจิต เปรียบเสมือนน้ำที่ใสสะอาด ไม่มีสิ่งเจือปน จิตในสภาวะนี้ปราศจากความทุกข์ ความวิตกกังวล หรือความเศร้าหมองใดๆ มันเป็นสภาวะของความรู้แจ้ง ความเบิกบาน และความเป็นอิสระ
พุทธศาสนาเชื่อว่า ทุกคนมีศักยภาพที่จะเข้าถึงสภาวะนี้ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของจิตมนุษย์ทุกคน แม้ว่าในชีวิตประจำวัน เราอาจจะไม่ได้ตระหนักถึงสภาวะนี้เลยก็ตาม
2. สภาวะที่ถูกอุปกิเลสครอบงำ:
อุปกิเลส หมายถึง สิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมอง หรือสิ่งที่เข้ามาบดบังความผุดผ่องของจิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอิจฉา ความกลัว ฯลฯ เมื่อจิตถูกอุปกิเลสเหล่านี้ครอบงำ มันจะเกิดสภาวะที่เรียกว่า "จิตเศร้าหมอง"
สภาวะนี้เปรียบเสมือนน้ำใสที่ถูกสิ่งสกปรกเจือปน ทำให้น้ำขุ่นมัว มองไม่เห็นความใสสะอาดดั้งเดิม เช่นเดียวกับจิตที่ถูกอุปกิเลสครอบงำ จะทำให้เราไม่สามารถเห็นความผุดผ่องที่แท้จริงของจิตได้ เราจะรู้สึกทุกข์ กังวล หวาดกลัว หรือมีอารมณ์ด้านลบต่างๆ
ความแตกต่างระหว่างสองสภาวะนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรมและการดำเนินชีวิต:
1. การตระหนักรู้:
การเข้าใจว่าจิตที่แท้จริงนั้นผุดผ่อง แต่ถูกอุปกิเลสบดบัง ช่วยให้เราตระหนักว่าความทุกข์หรือความเศร้าหมองไม่ใช่สภาวะถาวรหรือเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนที่แท้จริง แต่เป็นเพียงสิ่งที่มาเยือนชั่วคราว
2. การปฏิบัติ:
เมื่อเข้าใจความแตกต่างนี้ เราจะมีแนวทางในการปฏิบัติที่ชัดเจนขึ้น นั่นคือ การพยายามขจัดอุปกิเลสที่มาบดบังจิต เพื่อให้เห็นสภาวะที่แท้จริงของจิตที่ผุดผ่อง
3. ความหวัง:
แนวคิดนี้ให้ความหวังแก่ผู้ปฏิบัติธรรม เพราะแสดงให้เห็นว่าทุกคนมีศักยภาพที่จะเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ เนื่องจากจิตที่บริสุทธิ์นั้นมีอยู่แล้วในทุกคน เพียงแต่ถูกบดบังด้วยอุปกิเลส
4. การไม่ยึดมั่นถือมั่น:
เมื่อเข้าใจว่าอุปกิเลสเป็นสิ่งที่มาเยือนชั่วคราว ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของจิตที่แท้จริง เราจะลดการยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์หรือความคิดที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดอิสรภาพทางจิตใจมากขึ้น
5. การเจริญสติ:
แนวคิดนี้สนับสนุนการเจริญสติ โดยการสังเกตจิตใจของตนเอง แยกแยะระหว่างสภาวะจิตที่บริสุทธิ์กับอุปกิเลสที่มาเยือน ทำให้เราสามารถจัดการกับอารมณ์และความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6. ความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น:
เมื่อเข้าใจว่าความเศร้าหมองเป็นเพียงสิ่งที่มาบดบังจิตชั่วคราว ไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริงของเรา เราจะมีความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่นมากขึ้น เพราะเข้าใจว่าทุกคนมีศักยภาพที่จะเป็นคนดีและมีความสุขได้
7. การมองโลกในแง่บวก:
แนวคิดนี้ส่งเสริมการมองโลกในแง่บวก เพราะแสดงให้เห็นว่าแม้ในยามที่เราประสบกับความทุกข์หรือความเศร้าหมอง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงเมฆหมอกที่มาบดบังแสงอาทิตย์ชั่วคราวเท่านั้น ความสว่างและความสดใสยังคงมีอยู่เสมอ
8. การพัฒนาตนเอง:
ความเข้าใจนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อขจัดอุปกิเลสและเข้าถึงสภาวะจิตที่บริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ
เปรียบเทียบสภาวะที่แท้จริงของจิตกับธาตุน้ำ
1. ความเป็นธาตุน้ำ:
- น้ำมีคุณสมบัติพื้นฐานที่ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ความเอิบอาบ ความซึมซาบ ความเย็น
- เช่นเดียวกับจิตที่มีธรรมชาติพื้นฐานที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน
2. การผสมสี:
- แม้น้ำจะถูกผสมด้วยสีต่างๆ แต่คุณสมบัติพื้นฐานของน้ำยังคงอยู่
- เปรียบได้กับจิตที่ถูกอุปกิเลสครอบงำ แต่ธรรมชาติที่แท้จริงของจิตยังคงอยู่ไม่สูญหาย
3. ความไม่เที่ยง:
- สีที่ผสมในน้ำสามารถจางหายไปได้ แต่น้ำยังคงเป็นน้ำ
- อุปกิเลสที่ครอบงำจิตก็เช่นกัน สามารถบรรเทาหรือหายไปได้ โดยที่จิตยังคงเป็นจิตอยู่
4. การแยกแยะ:
- เราสามารถแยกแยะระหว่างน้ำกับสีที่ผสมได้
- เช่นเดียวกับการฝึกสติ ที่เราสามารถแยกแยะระหว่างจิตกับอุปกิเลสที่มาครอบงำได้
5. ความสามารถในการชำระล้าง:
- น้ำมีคุณสมบัติในการชำระล้างสิ่งสกปรก
- จิตที่บริสุทธิ์ก็มีพลังในการชำระล้างอุปกิเลสเช่นกัน
6. การไหลเวียน:
- น้ำมีคุณสมบัติในการไหลเวียน ไม่หยุดนิ่ง
- จิตก็เช่นกัน มีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ธรรมชาติพื้นฐานไม่เปลี่ยน
7. การปรับตัว:
- น้ำสามารถปรับรูปทรงตามภาชนะที่บรรจุ
- จิตก็มีความยืดหยุ่น สามารถปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ ได้
แม้จิตจะถูกอุปกิเลสครอบงำ แต่แก่นแท้ของจิตยังคงอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน เพียงแต่ถูกบดบังชั่วคราวเท่านั้น
การเข้าใจเช่นนี้ช่วยให้เรามีกำลังใจในการปฏิบัติธรรม เพราะรู้ว่าไม่ว่าจิตจะเศร้าหมองเพียงใด ความบริสุทธิ์ของจิตก็ยังคงอยู่ เราเพียงแต่ต้องขจัด "สี" ที่มาปนเปื้อนออกไปเท่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมอง ด้วยอุปกิเลสที่จรมา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้ว จากอุปกิเลสที่จรมา ฯ
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=161&Z=209
ความแตกต่างระหว่างสภาวะที่แท้จริงของจิต กับสภาวะที่ถูกอุปกิเลสครอบงำ
1. สภาวะที่แท้จริงของจิต:
ในทัศนะของพุทธศาสนา จิตโดยธรรมชาติแล้วมีความบริสุทธิ์ ผุดผ่อง และสงบ นี่คือสภาวะดั้งเดิมหรือสภาวะที่แท้จริงของจิต เปรียบเสมือนน้ำที่ใสสะอาด ไม่มีสิ่งเจือปน จิตในสภาวะนี้ปราศจากความทุกข์ ความวิตกกังวล หรือความเศร้าหมองใดๆ มันเป็นสภาวะของความรู้แจ้ง ความเบิกบาน และความเป็นอิสระ
พุทธศาสนาเชื่อว่า ทุกคนมีศักยภาพที่จะเข้าถึงสภาวะนี้ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของจิตมนุษย์ทุกคน แม้ว่าในชีวิตประจำวัน เราอาจจะไม่ได้ตระหนักถึงสภาวะนี้เลยก็ตาม
2. สภาวะที่ถูกอุปกิเลสครอบงำ:
อุปกิเลส หมายถึง สิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมอง หรือสิ่งที่เข้ามาบดบังความผุดผ่องของจิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอิจฉา ความกลัว ฯลฯ เมื่อจิตถูกอุปกิเลสเหล่านี้ครอบงำ มันจะเกิดสภาวะที่เรียกว่า "จิตเศร้าหมอง"
สภาวะนี้เปรียบเสมือนน้ำใสที่ถูกสิ่งสกปรกเจือปน ทำให้น้ำขุ่นมัว มองไม่เห็นความใสสะอาดดั้งเดิม เช่นเดียวกับจิตที่ถูกอุปกิเลสครอบงำ จะทำให้เราไม่สามารถเห็นความผุดผ่องที่แท้จริงของจิตได้ เราจะรู้สึกทุกข์ กังวล หวาดกลัว หรือมีอารมณ์ด้านลบต่างๆ
ความแตกต่างระหว่างสองสภาวะนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรมและการดำเนินชีวิต:
1. การตระหนักรู้:
การเข้าใจว่าจิตที่แท้จริงนั้นผุดผ่อง แต่ถูกอุปกิเลสบดบัง ช่วยให้เราตระหนักว่าความทุกข์หรือความเศร้าหมองไม่ใช่สภาวะถาวรหรือเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนที่แท้จริง แต่เป็นเพียงสิ่งที่มาเยือนชั่วคราว
2. การปฏิบัติ:
เมื่อเข้าใจความแตกต่างนี้ เราจะมีแนวทางในการปฏิบัติที่ชัดเจนขึ้น นั่นคือ การพยายามขจัดอุปกิเลสที่มาบดบังจิต เพื่อให้เห็นสภาวะที่แท้จริงของจิตที่ผุดผ่อง
3. ความหวัง:
แนวคิดนี้ให้ความหวังแก่ผู้ปฏิบัติธรรม เพราะแสดงให้เห็นว่าทุกคนมีศักยภาพที่จะเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ เนื่องจากจิตที่บริสุทธิ์นั้นมีอยู่แล้วในทุกคน เพียงแต่ถูกบดบังด้วยอุปกิเลส
4. การไม่ยึดมั่นถือมั่น:
เมื่อเข้าใจว่าอุปกิเลสเป็นสิ่งที่มาเยือนชั่วคราว ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของจิตที่แท้จริง เราจะลดการยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์หรือความคิดที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดอิสรภาพทางจิตใจมากขึ้น
5. การเจริญสติ:
แนวคิดนี้สนับสนุนการเจริญสติ โดยการสังเกตจิตใจของตนเอง แยกแยะระหว่างสภาวะจิตที่บริสุทธิ์กับอุปกิเลสที่มาเยือน ทำให้เราสามารถจัดการกับอารมณ์และความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6. ความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น:
เมื่อเข้าใจว่าความเศร้าหมองเป็นเพียงสิ่งที่มาบดบังจิตชั่วคราว ไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริงของเรา เราจะมีความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่นมากขึ้น เพราะเข้าใจว่าทุกคนมีศักยภาพที่จะเป็นคนดีและมีความสุขได้
7. การมองโลกในแง่บวก:
แนวคิดนี้ส่งเสริมการมองโลกในแง่บวก เพราะแสดงให้เห็นว่าแม้ในยามที่เราประสบกับความทุกข์หรือความเศร้าหมอง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงเมฆหมอกที่มาบดบังแสงอาทิตย์ชั่วคราวเท่านั้น ความสว่างและความสดใสยังคงมีอยู่เสมอ
8. การพัฒนาตนเอง:
ความเข้าใจนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อขจัดอุปกิเลสและเข้าถึงสภาวะจิตที่บริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ
เปรียบเทียบสภาวะที่แท้จริงของจิตกับธาตุน้ำ
1. ความเป็นธาตุน้ำ:
- น้ำมีคุณสมบัติพื้นฐานที่ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ความเอิบอาบ ความซึมซาบ ความเย็น
- เช่นเดียวกับจิตที่มีธรรมชาติพื้นฐานที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน
2. การผสมสี:
- แม้น้ำจะถูกผสมด้วยสีต่างๆ แต่คุณสมบัติพื้นฐานของน้ำยังคงอยู่
- เปรียบได้กับจิตที่ถูกอุปกิเลสครอบงำ แต่ธรรมชาติที่แท้จริงของจิตยังคงอยู่ไม่สูญหาย
3. ความไม่เที่ยง:
- สีที่ผสมในน้ำสามารถจางหายไปได้ แต่น้ำยังคงเป็นน้ำ
- อุปกิเลสที่ครอบงำจิตก็เช่นกัน สามารถบรรเทาหรือหายไปได้ โดยที่จิตยังคงเป็นจิตอยู่
4. การแยกแยะ:
- เราสามารถแยกแยะระหว่างน้ำกับสีที่ผสมได้
- เช่นเดียวกับการฝึกสติ ที่เราสามารถแยกแยะระหว่างจิตกับอุปกิเลสที่มาครอบงำได้
5. ความสามารถในการชำระล้าง:
- น้ำมีคุณสมบัติในการชำระล้างสิ่งสกปรก
- จิตที่บริสุทธิ์ก็มีพลังในการชำระล้างอุปกิเลสเช่นกัน
6. การไหลเวียน:
- น้ำมีคุณสมบัติในการไหลเวียน ไม่หยุดนิ่ง
- จิตก็เช่นกัน มีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ธรรมชาติพื้นฐานไม่เปลี่ยน
7. การปรับตัว:
- น้ำสามารถปรับรูปทรงตามภาชนะที่บรรจุ
- จิตก็มีความยืดหยุ่น สามารถปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ ได้
แม้จิตจะถูกอุปกิเลสครอบงำ แต่แก่นแท้ของจิตยังคงอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน เพียงแต่ถูกบดบังชั่วคราวเท่านั้น
การเข้าใจเช่นนี้ช่วยให้เรามีกำลังใจในการปฏิบัติธรรม เพราะรู้ว่าไม่ว่าจิตจะเศร้าหมองเพียงใด ความบริสุทธิ์ของจิตก็ยังคงอยู่ เราเพียงแต่ต้องขจัด "สี" ที่มาปนเปื้อนออกไปเท่านั้น