JJNY : 5in1 “ปลาหมอคางดำ”ยังเงียบ│ก้าวไกลห่วง จะผิดกม.│ฐากรชี้ 2ทางออก│เอฟเฟ็กต์สินค้าจีนทะลัก│แคมีทำเขื่อนแตกในจีน

“กาย ณัฐชา” ทวงสัญญานายกรัฐมนตรี 7 วัน หาความจริง “ปลาหมอคางดำ” ยังเงียบ
https://ch3plus.com/news/political/morning/410410
 
 
“กาย ณัฐชา” ทวงสัญญานายกรัฐมนตรี  7 วัน หาความจริง “ปลาหมอคางดำ” ยังเงียบ จี้คณะทำงานฯ เร่งชี้แจง ซัดครบกำหนดแล้วยังมืดมน ห่วงเหมือน “หมูเถื่อน” ที่ยังจับไอ้โม่งไม่ได้ สุดท้ายเป็นแค่ลมปากเหมือนเดิม

29 ก.ค. 2567 นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. บางขุนเทียน พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากกรณีการระบาดของปลาหมอคางดำที่กำลังสร้างวิกฤตทำลายทั้งอาชีพเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและเสี่ยงกระทบต่อระบบนิเวศอย่างรุนแรงในเวลานี้ ทำให้เมื่อสัปดาห์ก่อน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ออกมาสั่งการให้ "ทำความจริงให้ปรากฏ" ต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับลูกและแจ้งต่อสาธารณะว่าได้ตั้งคณะทำงานตามล่าหาความจริง ขีดเส้นใน 7 วันต้องรู้ นับเวลาเริ่มต้น วันที่ 19 ก.ค. 2567 ครบ 7 วัน ในวันที่ 26 ก.ค. 2567 ต่อเวลาให้จนถึงวันนี้เป็นสิบวันถ้วน ทว่าความจริงยังไม่ปรากฏแถมกลับมืดมนลงทุกที เพราะคณะทำงานดังกล่าวเงียบหายไป ส่วนบริษัทเอกชนที่มีข้อมูลพาดพิงว่าเกี่ยวข้องกับการนำเข้ามาและอาจเป็นต้นตอการระบาดในครั้งนี้ก็ยังคงหลบหน้า ไม่ยอมมาชี้แจงใดๆ ต่อคณะกรรมาธิการที่สภาตั้งขึ้น

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า อย่างที่ตนได้อภิปรายในสภาฯ ไปแล้ว ประเทศไทยเคยเจอสถานการณ์ที่ภาครัฐต้องชนกับทุนมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นเป็นประเด็นเรื่องหมูเถื่อน เป็นประเด็นที่ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากต้องขาดทุนล้มหายตายจากไปจากตลาดเกือบหมด จนเกิดสภาพกึ่งผูกขาดที่ทำให้หมูมีราคาแพงกระทบปากท้องค่าครองชีพมาจนถึงตอนนี้ เป็นเหตุให้พี่น้องประชาชนเฝ้าจับตาติดตามมาตลอดว่าใครคือไอ้โม่งที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ครั้งนั้น

"แต่สถานการณ์ก็ดูเหมือนซ้ำรอยอีกแล้ว เมื่อทุนใหญ่ทำท่าว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง กรณีปลาหมอคางดำก็เหมือนกรณีหมูเถื่อน ท่าทีของนายกรัฐมนตรี ดูขึงขังเอาจริงเอาจังตอนออกสื่อตอนแรกเหมือนเดิม หน่วยงานต่างๆ ก็รับลูกขีดเส้นดูเอาจริงเอาจังบอกว่าต้องหาตัวการคนผิดให้ได้เหมือนเดิม เป็นละครหน้าฉากบทเดิมๆ เล่นกันเหมือนเดิมๆ” นายณัฐชา กล่าว

สุดท้ายก็เป็นแค่ลมปากเหมือนเดิม ตอนนี้เกินเส้นตาย 7 วันตามที่สัญญาไว้ว่าจะทำความจริงให้ปรากฏ แต่ก็ดูเหมือนความจริงกำลังจะเงียบหายไปกับสายลมอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งจากการดำเนินงานผ่านกลไกสภาฯ ร่วมกับภาคประชาชนและผู้เดือดร้อน เราเชื่อว่ามีข้อมูลบ่งชี้ให้รัฐไปทำงานหาตัวคนต้องรับผิดชอบต่อได้แน่ แต่เรากลับยังคงไม่ได้รับความจริงว่าต้นตอสาเหตุของปลาชนิดนี้มาได้อย่างไร กระบวนการวิธีการก็ยังคงเป็นปริศนาว่าเหตุใดปลาที่อยู่ในประเทศแถบแอฟริกาใต้ถึงมาโผล่อยู่ใจกลางประเทศไทย ซึ่งผมได้กล่าวไปแล้วในการอภิปรายครั้งที่ผ่านมาว่าสามารถเรียกได้เลยว่าคือปลาเถื่อน และเหตุการณ์ปลาเถื่อนครั้งนี้ต้องเฝ้าดูว่ารัฐไทยกับกลุ่มทุน จุดจบจะจบลงแบบใด พี่น้องประชาชนเท่านั้นที่จะสามารถช่วยกันติดตาม และตามทวงถามความจริงให้เกิดขึ้นให้ได้" นายณัฐชา กล่าว

นายณัฐชา กล่าวต่อไปอีกว่า สิ่งที่พวกเราทำผ่านสภาฯ ได้ก็ได้ทำไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงว่าจะไปตามคณะทำงานหาความจริงของรัฐบาลได้ที่ไหน ใครรู้ฝากแจ้งข่าวด้วย เพราะตั้งแต่ครบเวลาแล้วก็สาบสูญไปเลย หรือถ้าพวกท่านรู้ตัวว่าพี่น้องประชาชนถามถึง ก็ช่วยปรากฏตัวมารายงานความคืบหน้าด้วย



ก้าวไกลห่วง รบ.ใช้งบเพิ่มเติม’67 ทำดิจิทัลวอลเล็ต จะผิด กม. อาจกระตุ้น ศก.ต่ำกว่าที่คิด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4706972

‘ก้าวไกล’ ห่วง 3 ข้อ ‘รัฐบาล’ ใช้งบเพิ่มเติม’67 ทำ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ย้ำอาจเสี่ยงผิด กม.-ความตั้งใจกระตุ้น ศก.ได้ผลน้อยลง

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พ.ศ. … วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ในวันที่ 31 กรกฎาคม ฝ่ายค้านยังติดใจจะแปรญัตติในประเด็นใดบ้างว่า มีหลายประเด็น แต่หลักๆ จะเป็นเรื่องความคุ้มค่าของการใช้เม็ดเงินที่พบว่าหลายสถาบันของรัฐเอง เช่น กระทรวงการคลัง, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ต่างบอกว่าผลตอบแทนของโครงการนี้ต่ำกว่าที่รัฐบาลเคยบอกไว้ในตอนแรก

นายสิทธิพลกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีเรื่องความสุ่มเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมายคือการใช้เงินของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ในปีงบประมาณหน้า หมายความว่าจะมีการไปแจกประชาชนหลังเดือนตุลาคม เพราะกฎหมายบอกว่าควรจะต้องใช้ในงบประมาณนี้ หรือการกำหนดว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของเม็ดเงินของ พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นรายจ่ายลงทุน จากพฤติกรรมการใช้สอยของผู้บริโภคนั้น เป็นไปได้ยากมากที่จะบอกว่าประชาชนจะนำ 80 เปอร์เซ็นต์นี้ไปเป็นการใช้จ่ายเพื่อการลงทุน

นายสิทธิพลกล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม การนำงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ไปใช้ข้ามปี 2568 เรายังมีข้อกังวลว่าจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ผิดและเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมาย เพราะอะไรก็ตามที่รัฐบาลบอกว่าประชาชนลงทะเบียนแล้ว ถือว่าเป็นภาระผูกพันแล้ว ต่อไปหน่วยงานใดที่อยากจะสร้างภาระผูกพันเช่นนี้ ก็สามารถทำรูปแบบนี้คือการให้ประชาชนลงทะเบียนเฉยๆ ก็ถือว่าสร้างภาระผูกพันแล้ว

นายสิทธิพลกล่าวว่า อีกประเด็นคือเรื่องระบบการชำระเงิน ระบบต่างๆ ที่เราฟังแล้วยังมีความเป็นห่วงว่าจะทำไม่ทัน รวมถึงโอกาสที่จะสร้างปัญหา เช่น ร้านค้าที่เรามีข้อกังวลว่ารัฐบาลให้ร้านสะดวกซื้อที่เป็นค้าปลีกแต่มีเครือข่ายเยอะๆ เข้าร่วมโครงการด้วยนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทำให้เกิดปัญหาด้านแข่งขันระหว่างร้านเล็กที่เป็นโชห่วย ร้านรายย่อยจริงๆ กับร้านรายใหญ่ เพราะคนส่วนใหญ่อาจจะไปใช้ในร้านรายใหญ่มากกว่า และความตั้งใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะเกิดผลน้อยลง



ฐากร ชี้ ดิจิทัลวอลเล็ต หากรบ.ยังเดินตามเดิมส่อขัด พรบ.วิธีการงบประมาณ 2561 ชี้ 2 ทางออก.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4707654

ฐากร ชี้ ดิจิทัลวอลเล็ต หากรัฐบาลยังเดินตามเดิมส่อขัด พรบ. วิธีการงบประมาณ 2561 ชี้ 2 แนวทางออก ให้รัฐบาลแจกเงินทันทีผ่านแอพพ์เป๋าตังค์ อีกทางให้ตั้งงบใหม่ปี 2668 ผูกพัน 2569 เตือนให้ทำตามขั้นตอนเพื่อให้ประชาชนได้รับเงินจริงๆ

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 ซึ่งจะเปิดอภิปราย วาระ 2-3 ในวันพุธที่ 31 กรกฏาคมนี้ ผมเสนอให้ปรับลดหรือตัดงบประมาณ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต กรอบวงเงิน 122,000 ล้านบาท ออกไปทั้งหมด เนื่องจาก สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ขณะนี้ส่อขัดกฎหมายชัดเจน

นายฐากรกล่าวว่าตาม พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณปี 2561 มาตรา 43 กำหนดไว้ว่า “การขอเบิกเงินจากคลังตามงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณใด ให้กระทำได้แต่เฉพาะภายในปีงบประมาณนั้น และวรรคสองระบุต่อไปว่า ” ในกรณีที่ไม่สามารถเบิกจ่ายจากคลังได้ภายในปีงบประมาณ ให้ขยายเวลาขอเบิกเงินจากคลังได้เฉพาะในกรณีที่หน่วยรับงบประมาณได้ก่อหนี้ผูกพันก่อนสิ้นปีงบประมาณและได้มีการกันเงินไว้ตามระเบียบเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว

จากกฎหมายดังกล่าวถึงแม้ว่ารัฐบาลจะผ่านร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 ไปทั้งวาระที่2 และวาระที่3 แล้วก็ตาม แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถที่จะกั้นเงินจำนวน122,000ล้านบาทไว้ได้ เพราะการที่รัฐบาลจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนในวันที่ 1 สิงหาคมนั้น ไม่ใช่การก่อหนี้ผูกพันก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2567 ตามที่กฎกมายระบุแต่อย่างใด ดังนั้นจะส่งผลให้เขงินงบประมาณจำนวน 122,000ล้านบาท จึงต้องตกไปโดยผลของกฎหมายทันที

ประกอบกับมาตรา 21 ของพรบวิธีการงบประมาณเช่นกันยังกำหนดต่อไปว่า “การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ให้กระทำได้เมื่อมีเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายระหว่างปีงบประมาณ โดยไม่สามารถรองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไปได้” ซึ่งทั้งสองมาตราดังกล่าวรัฐบาลต้องชี้แจงให้ชัดเจนเพราะมีความเสี่ยงอย่างมากในการ ที่จะขัดบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว

ผมอยากให้ประชาชนได้รับเงิน 10,000 บาท เพราะขณะนี้พี่น้องประชาชน ได้รับความลำบากและมีมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินดังกล่าว ดังนั้น ผมอยากเสนอเสนอทางออกให้กับรัฐบาลที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดในการดำเนินการดังนี้

1) หาก พรบ. ประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 กรอบวงเงิน 122,000 ล้านบาทมีผลบังคับใช้แล้ว ขอให้รัฐบาลแจกเงินดังกล่าวให้กับพี่น้องประชาชนในทันทีโดยแจกผ่านแอป เป๋าตังค์ เฉพาะในกลุ่มพี่น้องประชาชนที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดก่อนและดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 30 กันยายน 2567 นี้

2 ส่วนยอดที่เหลืออีก328,000 ล้านบาท เสนอแจกผ่านดิจิตอล Wallet เช่นเดิม โดยรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณในปี 2568ไว้แล้ว 152,700 ล้านบาท ยังคงเหลือวงเงินอีก 175,300 ล้านบาท รัฐบาลสามารถตั้งเป็นงบประมาณผูกพันข้ามปีในปี 2569 ต่อได้ เพราะขณะนี้งบประมาณปี 2568 ยังคงอยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการวิสามัญพิจารณางบประมาณอยู่ ผมไม่อยากให้รัฐบาลเสี่ยงกับปัญหาข้อกฎหมายและติดขัดกับการแจกเงินดังกล่าวไม่ได้ ”

นายฐากรกล่าวระบุต่อไปว่า ผมอยากให้ประชาชนได้รับเงิน 10,000 บาทจริงๆ ไม่มีความคิดเป็นอคติกับรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพี่น้องประชาชนที่รอคอยเฝ้าเงินนี้อย่างใจจด ใจจ่อตลอดเวลา
 



เอฟเฟ็กต์สินค้าจีนทะลัก โรงงานเอสเอ็มอี ผลิตอุปกรณ์-ชิ้นส่วน ป้อนแอร์ดัง สู้ไม่ไหว ทยอยปิดกิจการ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4707569

เอฟเฟ็กต์สินค้าจีนทะลัก โรงงานเอสเอ็มอี ผลิตอุปกรณ์-ชิ้นส่วน ป้อนแอร์ดัง สู้ไม่ไหว ทยอยปิดกิจการ

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม นายสมศักดิ์ จิตติพลังศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัยโจ เด็นกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศยี่ห้อ ”ซัยโจเด็นกิ” เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เป็นผู้ผลิตด้านอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องปรับอากาศ ที่มีขนาดรายได้บริษัทประมาณ 300-500 ล้านบาท ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ให้กับซัยโจเด็นกิ เช่น บริษัทผลิตสายไฟ เป็นต้น ได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดอย่างหนัก และมีหลายบริษัทที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทนไม่ไหวก็ต้องปิดกิจการ ส่งผลกระทบต่อการผลิตของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุดบริษัทต้องแก้ปัญหาด้วยการเข้าไปเทกโอเวอร์บริษัทดังกล่าว เพื่อนำมาดำเนินการเอง

ผลกระทบต่อเอสเอ็มอีในขณะนี้ โดยหลักเกิดจากถูกโรงงานและสินค้าจีนตีตลาด และโรงงานผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศที่เคยซื้อกับเขาหันไปซื้อสินค้าราคาถูกจากจีนทั้งที่ผลิตในไทยและนำเข้า เลยทำให้ลูกค้าไม่มี เมื่ออยู่ไม่ไหว ก็ต้องเลิกกิจการไปหลายราย การที่เราเข้าไปเทกโอเวอร์ เพื่อให้อยู่ได้ทั้งคู่ ทั้งนี้เอฟเฟ็กต์สินค้าจีนเริ่มเห็นชัดมา 2 ปีแล้ว หากภาครัฐไม่เร่งแก้ไขปัญหา อาจจะเห็นโรงงานเอสเอ็มอีปิดตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และคนตกงานจะมากขึ้นมหาศาล” นายสมศักดิ์กล่าว

นายสมศักดิ์กล่าวว่า สำหรับกำลังซื้อในครึ่งปีแรก 2567 ยังคงอ่อนแอและมีแนวโน้มจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ ซี่งในส่วนของซัยโจเด็นกิ เนื่องจากได้มีการลงทุนปรับปรุงภายในด้านเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต จึงกระทบต่อยอดขายในครึ่งปีแรกลดลงประมาณ 20% จากการที่ส่งมอบสินค้าได้ช้า อย่างไรก็ตามคาดว่าภายในปี 2568 จะดีขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่