จิตแท้ เหนือสมมุติ



"...ทำไมจึงเรียกว่า “จิตเป็นสมมุติ” กับ “จิตเป็นวิมุตติ” เล่า? มันกลายเป็นจิตสองดวงอย่างนั้นเหรอ? ไม่ใช่อย่างนั้น! จิตดวงเดียวนั้นแหละที่มี “สมมุติ คือกิเลสอาสวะครอบอยู่นั้น” เป็นจิตลักษณะหนึ่ง แต่เมื่อได้ถูกชำระขยี้ขยำด้วยปัญญาจนจิตลักษณะนั้นแตกกระจายไปหมดแล้ว

ส่วนจิตแท้ธรรมแท้ที่ทนต่อการพิสูจน์ ไม่ได้สลายไปด้วย สลายไปแต่สิ่งที่เป็น “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา” ที่แทรกอยู่ในจิตเท่านั้น เพราะกิเลสอาสวะแม้จะละเอียดเพียงใดก็ตาม มันก็เป็น “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา” และเป็น “สมมุติ” อยู่โดยดีนั่นแล

เมื่อสิ่งนี้สลายไป จิตแท้เหนือสมมุติจึงปรากฏตัวอย่างเต็มที่ ที่เรียกว่า “วิมุตติจิต” สิ่งนี้แลท่านเรียกว่า “จิตบริสุทธิ์” ขาดจากความสืบต่อเกี่ยวเนื่องใดๆ ทั้งสิ้น เหลือแต่ความ รู้ ล้วนๆ ที่บริสุทธิ์สุดส่วนอย่างเดียว

ความ รู้ ล้วนๆ นี้ เราพูดไม่ได้ว่าเป็นจุดอยู่ ณ ที่ใดในร่างกายเรา แต่ก่อนเป็นจุดเด่นรู้เห็นได้อย่างชัดเจน เช่น สมาธิ เราก็ทราบว่าอยู่ในท่ามกลางอก ความรู้เด่นอยู่ตรงนั้น ความสงบเด่นอยู่ที่ตรงนั้น ความสว่างความผ่องใสของจิตเด่นอยู่ที่ตรงนั้นอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องไปถามใคร

บรรดาท่านผู้มีจิตสงบเป็นฐานแห่งสมาธิแล้ว จะปรากฏชัดเจนว่า จุดผู้รู้เด่นอยู่ในท่ามกลางอกนี้จริงๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการถกเถียงกันว่าอยู่มันสมอง เป็นต้น ดังที่ผู้ไม่เคยรู้เห็นทางด้านสมาธิภาวนาพูดกัน หรือถกเถียงกันเสมอในที่ทั่วไป

ทีนี้ เวลาจิตนี้ กลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์แล้ว จุดนั้นหายไป! จึงพูดไม่ได้ว่าจิตอยู่เบื้องบน เบื้องล่าง หรืออยู่สถานที่ใด เพราะเป็นความ รู้ ที่บริสุทธิ์ด้วย เป็นความ รู้ ที่ละเอียดสุขุมเหนือสมมุติใดๆ ด้วย

แม้เช่นนั้นก็ยังแยกเป็นสมมุติมาพูดว่า “ละเอียดสุด” ซึ่งไม่ตรงต่อความจริงนั่นนักเลย คำว่า “ละเอียดสุด” นี่มันต้องเป็นสมมุติอันหนึ่งน่ะซิ พูดไม่ได้ว่าอยู่สูงอยู่ต่ำ มีจุดมีต่อมอยู่ที่ไหน ไม่มีเลย!

มีแต่ความ รู้ เท่านั้น ไม่มีอะไรเข้าไปแทรกซึม แม้จะอยู่ในธาตุในขันธ์ซึ่งเคยคละเคล้ากันมาก่อน ก็ไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว กลับเป็นคนละโลกไปแล้ว!..."

เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล
ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๔๑๘

https://luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1528&CatID=1
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่