ฮิรายามะ เป็นชายวัยกลางคน เขาพักอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆใจกลางกรุงโตเกียว
ทุกเช้าหลังจากทำกิจวัตรประจำวันเสร็จเขาจะออกมาทำงาน งานดังกล่าวคือพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำทุกที่ในเขตชิบูย่า ..
ชีวิตของเขาในแต่ละวันเป็นสิ่งที่ทำซ้ำทุกอย่างจนเป็นปกติ ซึ่งนอกจากการทำงานแล้ว
ฮิรายามะยังชอบอ่านหนังสือวรรณกรรม และฟังเพลงยุค 60-70 ที่ตนเองชื่นชอบ
Perfect Days เป็นภาพยนตร์ดราม่า ผลงานกำกับโดยวิม เวนเดอร์ส จากบทที่เขียนโดยเขาเองและทาคุมะ ทาคาซากิ
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและเยอรมนี
เรื่องราวทั้งหมดคือติดตามเฝ้าดูชีวิตประจำวันของฮิรายามะ (โคจิ ยาคุโช) คนทำความสะอาดห้องน้ำสาธารณะในกรุงโตเกียว
ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 96
กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ไม่ได้กำกับโดยผู้สร้างภาพยนตร์ชาวญี่ปุ่น (วิม เป็นคนเยอรมัน)
ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในฐานะตัวแทนของญี่ปุ่นอีกด้วย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมพาทุกท่านไปรู้จักกับ 17 ห้องน้ำสุดเก๋ในหนังเรื่องนี้
ซึ่งในภาพยนตร์เราก็จะได้เห็นการทำงานของพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำอย่างละเอียด สะอาดแบบทุกซอกทุกมุม
ชอบตรงที่เค้ามีกระจกส่องตามร่องที่ตามองไม่ไปไม่ถึง (เหมือนกระจกที่เราส่องฟันดูว่ามีหินปูนหรือฟันผุนั่นล่ะครับ)
ไม่รู้ว่าเมืองไทยเรามีแบบนี้หรือป่าว อยากหาซื้อมาใช้กับห้องน้ำที่บ้านตัวเองบ้างน่ะ
จุดเด่นสำคัญของหนังเรื่องนี้นอกจากงานภาพสวย และสงบแล้ว เด่นที่สุดก็คือการเลือกใช้เพลงในหนังครับ
เพลงทุกเพลงที่ถูกนำมาใช้ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเอกของเรื่องอย่างลุงฮิรายามะที่แทบไม่พูดอะไรในหนัง
แต่ความคิดของแกออกมาเป็นเสียงเพลงทั้งหมด ดังนั้นเราจะรับรู้ได้ว่าใจของลุงรู้สึกอย่างไรผ่านบทเพลงยุค 60-70
ที่วิม วอนเดอร์ส เลือกมาใช้ได้เป็นอย่างดี (ด้วยความชื่นชอบส่วนตัว)
ผู้กำกับชาวเยอรมันคนนี้มีผลงานมากมายครับ อายุแกก็ 78 แล้ว
หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดความรู้สึกของคนเหงาที่ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจในเมืองใหญ่อย่างกรุงโตเกียวได้เป็นอย่างดี
ใช้บรรยากาศเล่าเรื่องโดยไม่ต้องมีบทพูดอะไรมาก ซึ่งนอกจากใช้บทเพลงแทนความรู้สึกแล้ว..
วิมยังใช้ความฝันของตัวเอกของเรื่อง เป็น 1 ในการนำเสนออีกด้วย ในรูปแบบความฝันสีขาวดำที่ไม่ปะติดปะต่อ
แต่นั่นก็ทำให้เราเข้าถึงความรู้สึกของลุงฮิรายามะในทุกๆวันได้มากขึ้น..
นี่คือหนังที่สายรางวัลที่บอกได้เลยว่า ดูแล้วจะแบ่งกลุ่มคนออกเป็นสองกลุ่มชัดเจนนั่นคือ ชอบและไม่ชอบ ไม่มีก้ำกึ่ง
เพราะหนังแนวนี้จะดำเนินเนื้อหาไปอย่างเรื่อยๆ ไม่มีอะไรที่หวือหวาหรือดราม่าหนักหน่วง (เอาจริงสำหรับผมถือว่ามีอยู่นะ)
ดังนั้นถ้าใครที่ไม่ชอบแนวนี้ หรือเรียกอีกอย่างว่าไม่ถูกจริต ดูแล้วคงหลับ ไม่ก็เปลี่ยนไปหาอย่างอื่นทำอย่างแน่นอน
แต่สำหรับผม ผมรักหนังเรื่องนี้มาก.. เพราะอะไร... สิ่งต่างๆที่ตัวของคุณลุงฮิรายามะทำในแต่ละวันที่ดูซ้ำซาก
มันก็เหมือนๆกับชีวิตของพวกเราทุกคน ที่ต้องตื่นเช้าล้างหน้าแปรงฟัน ทำงาน กินข้าว กลับบ้าน อ่านหนังสือ ฟังเพลง นอน...
ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้ พรุ่งนี้เช้าเราก็ยังต้องวนลูปทำสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนคงคิดว่าแสนจะน่าเบื่อหน่าย
เมื่อไหร่เราจะหลุดกับดักชีวิตแบบนี้ได้สักที อยากมี Passive Income เข้ามาบ้าง เหนื่อย อยากลาออก แล้วไปเที่ยวรอบโลก...
แต่กับลุงฮิรายามะ เขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น
งานที่ลุงทำอย่างพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำ อาจจะดูเป็นงานที่ไม่มีหน้าตาอะไรในสายตาของหลายคน
ที่มักชอบดูถูกเหยียดหยามยกตนเหนือกว่าคนอื่น แท้จริงแล้วทุกอาชีพต่างก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรี
และช่วยขับเคลื่อนสังคมให้พัฒนาไปได้ทั้งนั้นล่ะ มีบางซีนที่เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าคุณลุงเหมือนไร้ตัวตนในสายตาของคนอื่น
(อย่างตอนที่ช่วยเด็กหลง แล้วตัวแม่เด็กไม่สนใจ ไม่คิดจะขอบคุณอะไรลุงสักนิด...)
แต่คุณลุงแกไม่คิดมากอะไร. นั่นมาจากความคิดและทัศนคติของการมองโลกของคุณลุงนั่นเอง
เราจะเห็นว่าลุงฮิรายามะมักจะมองสิ่งต่างๆรอบตัวไม่ว่าจะอะไรแล้วอมยิ้มน้อยๆ เสมอๆ
เริ่มจากออกมานอกบ้านมองท้องฟ้าก็ยิ้มได้ นั่นรถฟังเพลงก็มีความสุข..
ถึงทำงานจะเหนื่อย แต่เห็นได้ชัดว่าหากห้องน้ำสะอาด แกก็ภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำ
ถึงเวลาพักก็ขอแค่แซนด์วิชสักชิ้นนั่งในร่มไม้มองผู้คนในสวนสาธารณะ แค่นี้มันก็ดีมากพอแล้ว..
ใช่ครับ ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้
แต่แน่นอนว่าความสุขคนเราไม่เหมือนกันครับ และตัวแปรสำคัญส่วนนึงที่จะทำให้เราคิดได้เช่นนั้น
คือประสบการณ์ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา หรืออายุที่เปลี่ยนไปนั่นเอง..
..ในวัยเด็กเราอาจจะมีความสุขเมื่อได้เล่นกับเพื่อน พอต้องแยกจากเราก็เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะได้เล่นกับเพื่อนอีกได้เจอกันที่โรงเรียน...
..วัยรุ่นช่วงเวลาแห่งพลังที่พลุ่งพล่านเรามีความสุขเมื่อได้มีความรักที่สดใส การแอบรักได้เฝ้ามองก็เป็นสุขใจ.
..วัยทำงาน ได้รับผิดชอบในหน้าที่ ประสบความสำเร็จในการงานได้เลื่อนตำแหน่ง มีเงินใช้สอยมากๆ นั่นก็คือความสุข
..วัยเกษียน การได้อยู่กับลูกหลาน ได้ทำอะไรเล็กๆน้อย สุขภาพยังดี ก็มีความสุขแล้ว
ลุงฮิรายามะคือตัวอย่างนึงของคนที่มีความสุขกับสิ่งเล็กน้อยในชีวิต เพราะผมเองก็เป็นแบบแก..
ผมคิดเสมอหากว่าตัวเองนับจากนี้ไม่มีคนที่รักและคนที่ให้เป็นห่วงเหลืออยู่อีกแล้ว..
ชีวิตที่เหลือตัวคนเดียวไม่มีห่วงใดๆ ผมก็คงทำในสิ่งที่ไม่ต่างจากที่ลุงเป็น..
หาอะไรทำให้ตัวเองรู้สึกว่ายังมีคุณค่า เล็กๆน้อยๆอะไรก็ได้. หาที่อยู่ที่ไม่ต้องใหญ่โตอะไร เราแก่ลงทุกวันตัวเล็กลงไปทุกที
จะหาภาระอะไรอีกมากมากนัก เลือกในสิ่งที่ทำให้ใจของเราเบิกบานไว้จะดีกว่า
อะไรที่คิดแล้วเป็นทุกข์หรือไม่มีประโยชน์ก็ละวางมันบ้าง.. คิดมากไปก็เครียดเปล่าๆ
ความสุขมันหาได้ง่ายรอบตัว และในทุกที่จริงๆ มันอยู่ที่เราเลือกจะมองโลกว่าเป็นอย่างไรในสายตาเรา..
ทฤษฎีเดียวกับน้ำครึ่งแก้วน่ะล่ะครับ.. เราจะมองว่ามันมีแค่นั้น.. หรือจะมองว่ายังมีเหลืออีกตั้งครึ่งนึง.. อยู่ที่เราเลือกเอง..
แค่เราเดินผ่านข้างทาง เห็นต้นไม้ใบหญ้า ได้ยินเสียงนกร้อง ทุกอย่างเราสามารถสัมผัสถึงความสุขนั้นได้.
ขอแค่กินอิ่ม นอนหลับ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย.. เพียงเท่านี้แต่ละวันของเราก็คือ Perfect Days ได้แล้ว...
ขอปิดกระทู้ด้วยเพลง "Perfect Day" ของ Lou Reed 1 ในเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ..
Just a perfect day
drink sangria in a park
and then later
when it gets dark we go home
Just a perfect day
feed animals in the zoo
and then later a movie, too
and then home
Oh it's such a perfect day
I'm glad I spend it with you
oh such a perfect day....
ความสุขอยู่รอบกาย เราเลือกได้แค่เปลี่ยนมุมมอง
ชีวิตมันง่ายอย่างเหลือเชื่อ แค่นั้นเองจริงๆ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Perfect Days (2023) ความสุขนั้นหาง่าย แค่รอบกายตัวเราเอง.. ==
ฮิรายามะ เป็นชายวัยกลางคน เขาพักอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆใจกลางกรุงโตเกียว
ทุกเช้าหลังจากทำกิจวัตรประจำวันเสร็จเขาจะออกมาทำงาน งานดังกล่าวคือพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำทุกที่ในเขตชิบูย่า ..
ชีวิตของเขาในแต่ละวันเป็นสิ่งที่ทำซ้ำทุกอย่างจนเป็นปกติ ซึ่งนอกจากการทำงานแล้ว
ฮิรายามะยังชอบอ่านหนังสือวรรณกรรม และฟังเพลงยุค 60-70 ที่ตนเองชื่นชอบ
Perfect Days เป็นภาพยนตร์ดราม่า ผลงานกำกับโดยวิม เวนเดอร์ส จากบทที่เขียนโดยเขาเองและทาคุมะ ทาคาซากิ
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและเยอรมนี
เรื่องราวทั้งหมดคือติดตามเฝ้าดูชีวิตประจำวันของฮิรายามะ (โคจิ ยาคุโช) คนทำความสะอาดห้องน้ำสาธารณะในกรุงโตเกียว
ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 96
กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ไม่ได้กำกับโดยผู้สร้างภาพยนตร์ชาวญี่ปุ่น (วิม เป็นคนเยอรมัน)
ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในฐานะตัวแทนของญี่ปุ่นอีกด้วย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมพาทุกท่านไปรู้จักกับ 17 ห้องน้ำสุดเก๋ในหนังเรื่องนี้
ซึ่งในภาพยนตร์เราก็จะได้เห็นการทำงานของพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำอย่างละเอียด สะอาดแบบทุกซอกทุกมุม
ชอบตรงที่เค้ามีกระจกส่องตามร่องที่ตามองไม่ไปไม่ถึง (เหมือนกระจกที่เราส่องฟันดูว่ามีหินปูนหรือฟันผุนั่นล่ะครับ)
ไม่รู้ว่าเมืองไทยเรามีแบบนี้หรือป่าว อยากหาซื้อมาใช้กับห้องน้ำที่บ้านตัวเองบ้างน่ะ
จุดเด่นสำคัญของหนังเรื่องนี้นอกจากงานภาพสวย และสงบแล้ว เด่นที่สุดก็คือการเลือกใช้เพลงในหนังครับ
เพลงทุกเพลงที่ถูกนำมาใช้ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเอกของเรื่องอย่างลุงฮิรายามะที่แทบไม่พูดอะไรในหนัง
แต่ความคิดของแกออกมาเป็นเสียงเพลงทั้งหมด ดังนั้นเราจะรับรู้ได้ว่าใจของลุงรู้สึกอย่างไรผ่านบทเพลงยุค 60-70
ที่วิม วอนเดอร์ส เลือกมาใช้ได้เป็นอย่างดี (ด้วยความชื่นชอบส่วนตัว)
ผู้กำกับชาวเยอรมันคนนี้มีผลงานมากมายครับ อายุแกก็ 78 แล้ว
หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดความรู้สึกของคนเหงาที่ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจในเมืองใหญ่อย่างกรุงโตเกียวได้เป็นอย่างดี
ใช้บรรยากาศเล่าเรื่องโดยไม่ต้องมีบทพูดอะไรมาก ซึ่งนอกจากใช้บทเพลงแทนความรู้สึกแล้ว..
วิมยังใช้ความฝันของตัวเอกของเรื่อง เป็น 1 ในการนำเสนออีกด้วย ในรูปแบบความฝันสีขาวดำที่ไม่ปะติดปะต่อ
แต่นั่นก็ทำให้เราเข้าถึงความรู้สึกของลุงฮิรายามะในทุกๆวันได้มากขึ้น..
นี่คือหนังที่สายรางวัลที่บอกได้เลยว่า ดูแล้วจะแบ่งกลุ่มคนออกเป็นสองกลุ่มชัดเจนนั่นคือ ชอบและไม่ชอบ ไม่มีก้ำกึ่ง
เพราะหนังแนวนี้จะดำเนินเนื้อหาไปอย่างเรื่อยๆ ไม่มีอะไรที่หวือหวาหรือดราม่าหนักหน่วง (เอาจริงสำหรับผมถือว่ามีอยู่นะ)
ดังนั้นถ้าใครที่ไม่ชอบแนวนี้ หรือเรียกอีกอย่างว่าไม่ถูกจริต ดูแล้วคงหลับ ไม่ก็เปลี่ยนไปหาอย่างอื่นทำอย่างแน่นอน
แต่สำหรับผม ผมรักหนังเรื่องนี้มาก.. เพราะอะไร... สิ่งต่างๆที่ตัวของคุณลุงฮิรายามะทำในแต่ละวันที่ดูซ้ำซาก
มันก็เหมือนๆกับชีวิตของพวกเราทุกคน ที่ต้องตื่นเช้าล้างหน้าแปรงฟัน ทำงาน กินข้าว กลับบ้าน อ่านหนังสือ ฟังเพลง นอน...
ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้ พรุ่งนี้เช้าเราก็ยังต้องวนลูปทำสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนคงคิดว่าแสนจะน่าเบื่อหน่าย
เมื่อไหร่เราจะหลุดกับดักชีวิตแบบนี้ได้สักที อยากมี Passive Income เข้ามาบ้าง เหนื่อย อยากลาออก แล้วไปเที่ยวรอบโลก...
แต่กับลุงฮิรายามะ เขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น
งานที่ลุงทำอย่างพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำ อาจจะดูเป็นงานที่ไม่มีหน้าตาอะไรในสายตาของหลายคน
ที่มักชอบดูถูกเหยียดหยามยกตนเหนือกว่าคนอื่น แท้จริงแล้วทุกอาชีพต่างก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรี
และช่วยขับเคลื่อนสังคมให้พัฒนาไปได้ทั้งนั้นล่ะ มีบางซีนที่เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าคุณลุงเหมือนไร้ตัวตนในสายตาของคนอื่น
(อย่างตอนที่ช่วยเด็กหลง แล้วตัวแม่เด็กไม่สนใจ ไม่คิดจะขอบคุณอะไรลุงสักนิด...)
แต่คุณลุงแกไม่คิดมากอะไร. นั่นมาจากความคิดและทัศนคติของการมองโลกของคุณลุงนั่นเอง
เราจะเห็นว่าลุงฮิรายามะมักจะมองสิ่งต่างๆรอบตัวไม่ว่าจะอะไรแล้วอมยิ้มน้อยๆ เสมอๆ
เริ่มจากออกมานอกบ้านมองท้องฟ้าก็ยิ้มได้ นั่นรถฟังเพลงก็มีความสุข..
ถึงทำงานจะเหนื่อย แต่เห็นได้ชัดว่าหากห้องน้ำสะอาด แกก็ภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำ
ถึงเวลาพักก็ขอแค่แซนด์วิชสักชิ้นนั่งในร่มไม้มองผู้คนในสวนสาธารณะ แค่นี้มันก็ดีมากพอแล้ว..
ใช่ครับ ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้
แต่แน่นอนว่าความสุขคนเราไม่เหมือนกันครับ และตัวแปรสำคัญส่วนนึงที่จะทำให้เราคิดได้เช่นนั้น
คือประสบการณ์ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา หรืออายุที่เปลี่ยนไปนั่นเอง..
..ในวัยเด็กเราอาจจะมีความสุขเมื่อได้เล่นกับเพื่อน พอต้องแยกจากเราก็เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะได้เล่นกับเพื่อนอีกได้เจอกันที่โรงเรียน...
..วัยรุ่นช่วงเวลาแห่งพลังที่พลุ่งพล่านเรามีความสุขเมื่อได้มีความรักที่สดใส การแอบรักได้เฝ้ามองก็เป็นสุขใจ.
..วัยทำงาน ได้รับผิดชอบในหน้าที่ ประสบความสำเร็จในการงานได้เลื่อนตำแหน่ง มีเงินใช้สอยมากๆ นั่นก็คือความสุข
..วัยเกษียน การได้อยู่กับลูกหลาน ได้ทำอะไรเล็กๆน้อย สุขภาพยังดี ก็มีความสุขแล้ว
ลุงฮิรายามะคือตัวอย่างนึงของคนที่มีความสุขกับสิ่งเล็กน้อยในชีวิต เพราะผมเองก็เป็นแบบแก..
ผมคิดเสมอหากว่าตัวเองนับจากนี้ไม่มีคนที่รักและคนที่ให้เป็นห่วงเหลืออยู่อีกแล้ว..
ชีวิตที่เหลือตัวคนเดียวไม่มีห่วงใดๆ ผมก็คงทำในสิ่งที่ไม่ต่างจากที่ลุงเป็น..
หาอะไรทำให้ตัวเองรู้สึกว่ายังมีคุณค่า เล็กๆน้อยๆอะไรก็ได้. หาที่อยู่ที่ไม่ต้องใหญ่โตอะไร เราแก่ลงทุกวันตัวเล็กลงไปทุกที
จะหาภาระอะไรอีกมากมากนัก เลือกในสิ่งที่ทำให้ใจของเราเบิกบานไว้จะดีกว่า
อะไรที่คิดแล้วเป็นทุกข์หรือไม่มีประโยชน์ก็ละวางมันบ้าง.. คิดมากไปก็เครียดเปล่าๆ
ความสุขมันหาได้ง่ายรอบตัว และในทุกที่จริงๆ มันอยู่ที่เราเลือกจะมองโลกว่าเป็นอย่างไรในสายตาเรา..
ทฤษฎีเดียวกับน้ำครึ่งแก้วน่ะล่ะครับ.. เราจะมองว่ามันมีแค่นั้น.. หรือจะมองว่ายังมีเหลืออีกตั้งครึ่งนึง.. อยู่ที่เราเลือกเอง..
แค่เราเดินผ่านข้างทาง เห็นต้นไม้ใบหญ้า ได้ยินเสียงนกร้อง ทุกอย่างเราสามารถสัมผัสถึงความสุขนั้นได้.
ขอแค่กินอิ่ม นอนหลับ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย.. เพียงเท่านี้แต่ละวันของเราก็คือ Perfect Days ได้แล้ว...
ขอปิดกระทู้ด้วยเพลง "Perfect Day" ของ Lou Reed 1 ในเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ..
Just a perfect day
drink sangria in a park
and then later
when it gets dark we go home
Just a perfect day
feed animals in the zoo
and then later a movie, too
and then home
Oh it's such a perfect day
I'm glad I spend it with you
oh such a perfect day....
ความสุขอยู่รอบกาย เราเลือกได้แค่เปลี่ยนมุมมอง
ชีวิตมันง่ายอย่างเหลือเชื่อ แค่นั้นเองจริงๆ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===