๒๑
นอนเฝ้าทรัพย์
บางครั้งข้าพเจ้ามักฝันอะไรแปลกๆ หลายครั้งเกี่ยวกับสถานที่แห่งหนึ่ง มันน่าเสียดายที่ข้าพเจ้ามิอาจระบุจำนวนครั้งที่ฝัน วันแลเพลาอันแน่ชัดทั้งมวลได้
ครั้งก่อนๆอันข้าพเจ้าฝัน เกิดวันที่เท่าไหร่เดือนอะไรนั้นข้าพเจ้าระบุไม่ได้ ทราบเพียงเลขพุทธศักราช ๒๕๖๗ เท่านั้น แต่ครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าฝัน คือเพลาเย็น วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗
มารดาของข้าพเจ้าในความฝันเป็นเศรษฐินี เจ้าของมหาวิทยาลัย โรงแรม แลห้างสรรพสินค้าอยู่ในพื่นที่เดียวกัน ข้าพเจ้าเรียกสถานที่แห่งนั้นว่า “มหาวิทยาลัยรัชนี”
มหาวิทยาลัยรัชนีมีพื้นที่ราว ๘๐ ไร่ เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนค่าเทอมถูก คงเพราะมารดาของข้าพเจ้าเป็นคนใจบุญสุนทาน สงสารเด็กๆที่เป็นนักศึกษายากจน เลยคิดค่าเทอมที่สูสีกับมหาวิทยาลัยรัฐบาล แลเผลอๆจักถูกกว่าด้วยซ้ำ เป็นต้นว่าคณะเกี่ยวกับบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านอโศก อาจคิดค่าเทอมนิสิต ๒๐,๐๐๐ บาทโดยประมาณ แต่มหาวิทยาลัยรัชนีคิดเพียง ๑๗,๕๐๐ บาท หรือแม้แต่วิทยาลัยสักอย่างของมหาวิทยาลัยย่านอโศกที่พวกดาราชอบเรียนกันนักหนา ค่าเทอมปาไปสี่ซ้าห้าหมื่นนั้น ทางมหาวิทยาลัยรัชนีคิดเพียง ๒๒,๕๐๐ บาทเท่านั้น
เด็กบางคนอยากเรียนหมอ แต่ค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัยรัฐบางแห่งสูงมาก ปีหนึ่งอาจเสียค่าเล่าเรียนสูงถึง ๑๒๕,๐๐๐ บาท แต่ทางมหาวิทยาลัยรัชนีคิดค่าเล่าเรียนถูกกว่า ปีนึงนักศึกษาจักเสียเพียง ๙๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง มารดาของข้าพเจ้าจึงเป็นที่รักของคนหมู่มาก อีกทั้งคุณภาพการเรียนการสอนของสถานศึกษาแห่งนี้ก็เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน
นอกจากพื้นที่ของมหาวิทยาลัยแล้ว ที่นี่ยังมีโรงแรมห้าดาวซึ่งมีห้องพักสุดหรู ติดอ่างจากุชซี่ทุกห้อง มีห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำแลซาวน่า รวมทั้งสปาแลห้องอาหารนานาชาติ โดยเฉพาะห้องอาหารบราซิล หากประสงค์ทานเย็นที่ห้องอาหารแห่งนี้นั้น ทางห้องอาหารจักมีบุฟเฟต์บาบีคิวปิ้งย่างสไตล์บราซิลเลียนไว้บริการ ซึ่งข้าพเจ้าขอบอกท่านผู้อ่านเลยว่า ข้าพเจ้าชอบบุฟเฟต์นี้มากเหลือเกิน
นอกจากโรงแรมภายในมหาวิทยาลัยแล้ว ก็มีอาคารห้างสรรพสินค้าภายในมหาวิทยาลัยอีกด้วย ในห้างสรรพสินค้ากอปรด้วยร้านสะดวกซื้อ ไปรษณีย์ ธนาคาร ศูนย์อาหาร ห้างทอง แลห้องแถวเล็กๆที่เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ไม่ว่าจักเป็นร้านแว่นตา ร้านเสริมสวย ร้านตัดผมชาย ร้านขายเครื่องแบบนักศึกษา ร้านถ่ายเอกสาร ฯลฯ แลมีโซนอยู่โซนหนึ่งซึ่งเรียกว่า “สำนักงาน” อยู่บริเวณปลายอาคารซึ่งติดกับร้านทอง
ในโซนสำนักงานนี้จักมีประตูลูกกรงบานหนึ่ง ประตูบานนี้ไม่ได้มีขนาดโอ่อ่ากว้างขวางแต่อย่างใด หากแต่มีขนาดพอๆกับประตูห้องน้ำของใครหลายคน เมื่อเปิดประตูลูกกรงมาแล้วจะมีโซนย่อยๆอีก 2 โซน โซนแรกทางซ้ายมือเป็นโซนสำนักงาน มีลักษณะเป็นโต๊ะทำงานทั่วไป ที่มักจัดเป็นลักษณะเขาวงกต ส่วนทางด้านขวามือนั้นมีประตูลูกกรง๑บาน แลประตูที่เชื่อมกับห้างทองอีก๑บาน หากว่าเข้าทางห้างทองจักใช้ประตูห้างทองเดินเข้ามาที่นี่ก็ย่อมได้ แลบ่อยครั้งที่ข้าพเจ้ามักเลือกใช้เส้นทางนี้
สำหรับประตูลูกกรง๑ บานที่อยู่ทางขวามือเมื่อเปิดประตูลูกกรงหน้าพื้นที่สำนักงานเข้าไปนั้น ภายในถูกจัดไว้ให้เป็นห้องนอน มีเตียงขนาด ๖ ฟุต ถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวอย่างเรียบร้อย มีหมอนแลหมอนข้างที่ถูกคลุมด้วยปลอกหมอนสีเดียวกันนั้นด้วย หนำซ้ำภายในห้องยังมีประตูเหล็กบานหนึ่ง อันเป็น “ทางหนีไฟ” อนิจจาที่ประตูนี้มิได้ ล็อกแต่อย่างใด เพราะเมื่อเปิดประตูบานนี้ออกไปนั้นจักเป็นตรอกแคบๆ ลักษณะมืดๆแลอึมครึม มีพนักงานรักษาความปลอดภัยสวมเครื่องแบบสีน้ำเงินเฝ้าอยู่ ๒ คน ฉะนั้นหากมีใครประสงค์จักเข้าประตูบานนี้ล่ะก็ บุคคลนั้นต้องฝ่ายามเหล่านี้ไปเสียก่อนจึงจักเข้าห้องนอนภาพในพื้นที่สำนักงานแลทะลุเข้าพื้นที่ในห้างได้
ด้านขวาของห้องนอนแห่งนี้มีหน้าต่างมองเห็นไปยังภายนอก หน้าต่างไม่ใช่หน้าต่างบานเลื่อนแต่เป็นหน้าต่างบานไม้ชนิดผลักออก-ดึงเข้า ตัวหน้าต่างบานไม้นี้กอปรด้วยกระจกที่มีลักษณะเป็นกรอบสี่เหลี่ยมสี่อัน เพื่อสามารถที่จักมองออกข้างนอก แลเพื่อให้แสงแดดเข้ามา อย่างไรก็ตามบริเวณหน้าต่างนี้มีการติดม่านสีขาว เป็นลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆเรียงกันเป็นแนวตั้ง ปลายม่านปลิวสยายคล้ายปลายผมยามต้องพระพายพัด
ปกติคนที่นอนห้องนี้ควรเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ก็เป็นเวรของเจ้าหน้าที่ห้าง เนื่องจากพื้นที่ในห้างมีทรัพย์สินมีค่ามากมาย รวมถึงสถานที่ๆอุดมไปด้วยของมีค่าอย่างธนาคารแลห้างทอง ทั้งนี้เนื่องจากพื้นที่โดยรอบของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นพื้นที่เปิด ๒๔ ชั่วโมง มีบุคคลมากหน้าหลายตาเข้ามาในหลายเพลา ทั้งมาเปิดห้องพัก มาส่งลูกส่งแฟนที่พักอยู่ภายในหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ฯลฯ ทำให้อาจเกิดเหตุการณ์มีผู้ไม่หวังดีขโมยทรัพย์สินภายในมหาวิทยาลัยได้ ซึ่งคงเคยเกิดขึ้นมาแล้วกระมัง เพียงแต่ข้าพเจ้าไม่ทราบ
วันนี้เป็นวันที่แปลก เนื่องจากมารดาของข้าพเจ้าคงต้องการให้ข้าพเจ้าดูแลมหาวิทยาลัยต่อจากท่าน จึงมอบหมายให้ข้าพเจ้านอนเฝ้าห้างสรรพสินค้าภายในมหาวิทยาลัย สถานที่นอนก็ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นแล
มันเป็นเพลาเย็น ราว ๑๖ นาฬิกาเห็นจักได้ ข้าพเจ้าเดินตามหลังมารดาของข้าพเจ้าในคราบเจ้าของมหาวิทยาลัยอย่างต้อยๆ ในขณะนี้มารดาของข้าพเจ้ากำลังเดินตรวจตราคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัย
ข้าพเจ้ากำลังเห็นนักศึกษากำลังทำกิจกรรมต่างๆของคณะ นักศึกษาแพทย์เกาะกันเป็นกลุ่มๆ ลางคณะกำลังทำกิจกรรมสำหรับกีฬาของมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าเห็นนักศึกษาเหล่านี้กำลังเป่าลูกโป่งลูกใหญ่ๆสีน้ำเงิน คงเอาไว้ประดับอัฒจันทร์กระมัง นักศึกษาลางกลุ่มก็กำลังประชุมกันเรื่องงานกลุ่มที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์หมอ นักศึกษาลางกลุ่มก็นั่งฟังอาจารย์หมอแล็กเชอร์สดๆที่บริเวณม้านั่ง อย่างไรก็ตามคณะอาจจักชื่อคณะแพทยศาสตร์ แต่ก็มีหลักสูตรพยาบาลแลสาธารณสุขพ่วงอยู่ด้วย ข้าพเจ้าจึงเห็นนักศึกษากลุ่มหนึ่งซึ่งใส่หมวก “นางพยาบาล” กำลังคุยกันเรื่องการบ้านที่อาจารย์พยาบาลท่านมอบหมาย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งดูจักสบายสุดในหลายกลุ่มที่ข้าพเจ้าเห็นมา คือกลุ่มนักศึกษาสาขาสาธารณสุข กลุ่มนี้ไม่เคร่งครัดเรื่องเครื่องแบบเท่าหมอแลพยาบาล (หรือแม้แต่พวกที่เรียนครู) ข้าพเจ้าจึงเห็นนักศึกษาของสาขานี้แต่งตัวยังกับเรียนสาขาทางศิลปะก็ไม่ปาน กลุ่มศิลปินในคราบนักศึกษาสาขาสาธารณสุขเหล่านี้กำลังคุยกันเรื่อง “โรคติดต่อ” กับ “โรคไม่ติดต่อ” กันอยู่
ความจริงข้าพเจ้ามิได้รังเกียจดอกว่านักศึกษาควรจักแต่งตัวเช่นไรในมหาวิทยาลัย แลนักศึกษาควรจักแต่งตัวแบบให้เกียรติมหาวิทยาลัยหรือไม่ ข้าพเจ้ามองว่าระยะเวลา ๔-๖ ปีในมหาวิทยาลัยนั้น เป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาควรจักมีอิสระบ้าง หลังจากอยู่ในกรอบสิบกว่าปีตั้งแต่ชั้นอนุบาลจวบจนมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ข้าพเจ้ามองว่านักศึกษาควรแต่งตัวในแบบของตนเองได้ กล่าวคือ ไว้ผมยาว แต่งชุดยีนส์ ใส่รองเท้าแตะไปเรียน ใส่กางเกงสีสันสดใส ฯลฯ เพียงแต่นักศึกษาอย่าแต่งตัวโป๊ หรืออย่าให้คนด่าตามหลังว่าอ้ายนี่อีนี่ “แก้ผ้า”ไปเรียน นักศึกษาจักแต่งตัวเยี่ยงไรนั้น ก็ควรแต่งเพื่อปกปิดของสงวนของตนเองให้เรียบร้อย สตรีเพศก็ไม่ควรใส่เสื้อคอกว้างจนเห็นหน้าอก หรือบุรุษเพศก็ไม่ควรใส่กางเกงที่ทำให้ “เป้าตุง” แล้วออกมาเดินในที่สาธารณะ
สายตาของใครหลายคนต่างจดจ่อมาที่มารดาของข้าพเจ้า ท่านแต่งกายไม่เหมือนมารดาในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ในความฝันนั้นแต่งตัวเหมือนเหล่าสตรีไฮโซ หรือผู้มีอันจะกิน ที่สามารถพบเห็นได้ในรายการ “บางกอกกระซิบ โว้ว มายา” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3ทั้งนี้ ชุดที่มารดาข้าพเจ้าใส่นั้นเป็นเสื้อคอเต่าสีดำที่แขนเป็นซีทรูลายลูกไม้ ทับด้วยชุดเดรสกระโปรงยาวผ้าทวีตสีขาว สวมถุงน่องสีดำ แลรองเท้าส้นสูงสีแดง เดินถือกระเป๋าสตางค์ใบยาวสีดำยี่ห้อชาแนล รุ่น Trifold wallet caviar
ทุกคนต่างสวัสดีมารดาของข้าพเจ้าอย่างนอบน้อม บางคนแม้นไม่ได้สวัสดีมารดาข้าพเจ้าโดยตรง แต่ข้าพเจ้าก็สังเกตได้ว่าสายตาของพวกเขาเหล่านั้น มองมารดาข้าพเจ้าด้วยความยำเกรงมิใช่น้อย” ขณะเดียวกันที่อาจารย์หมอพูนพงษ์ อาจารย์หมอของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัชนี ก็เดินมาพบกับมารดาของข้าพเจ้าพอดิบพอดี ทั้งสองจึงได้สนทนาพาทีกันอยู่พักใหญ่เกี่ยวกับการเรียนการสอนภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งข้าพเจ้าเองก็จับใจความไม่ได้ เพราะเต็มไปด้วย “ศัพท์เฉพาะ” มากมายที่คนในวงการแพทย์มักจักใช้กัน
คงเพราะมารดาของข้าพเจ้าเคยเป็นพยาบาลมาก่อนกระมัง จึงมีความรู้ทางการแพทย์สูง รู้จักบุคลากรทางการแพทย์มากมาย ข้าพเจ้าอนุมานว่าน้อยน้องชายของข้าพเจ้าในความฝันก็คงอยู่ในวงการแพทย์เช่นเดียวกัน
ความจริง มารดาของข้าพเจ้าเป็นคนพูดมาก ไม่ว่าจักโลกแห่งความจริงหรือโลกแห่งความฝันมารดาของข้าพเจ้าก็เป็นคนพูดมาก บางครั้งมารดาพูดอะไรเกี่ยวกับตัวข้าพเจ้าให้คนอื่นฟังแล้วไซร้ ข้าพเจ้าฟังแล้วก็รู้สึกเสียหน้าเช่นเคย
หลังมารดาคุยกับอาจารย์พยาบาลวัณฑนีย์ไปแล้วครึ่งชั่วโมง ท่านก็ยื่นกุญแจสำนักงานที่ตั้งอยู่ภายในห้างของมหาวิทยาลัยแก่ข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าไปนอนเฝ้าสถานที่แห่งนั้น
“เอา...นี่กุญแจ”
ข้าพเจ้ารับกุญแจที่มารดาให้ไว้
“อืม”
“ดูแลตัวเองให้ดีงัน”[1]
“เออ”
“อย่าเออตะ หัดพูดครับบ้างถี้[2]
“เออ”
“เออแล้วหลาว...คันนั้นก็นั่งกะป๊อไปที่ห้างเองก็แล้วกัน แม่ไปล่ะ”[3]
“เออ”
เรื่องสั้น ชุด "ฝัน STory" ตอน นอนเฝ้าทรัพย์ (โดย จ๊ะ เสือไบ)
ครั้งก่อนๆอันข้าพเจ้าฝัน เกิดวันที่เท่าไหร่เดือนอะไรนั้นข้าพเจ้าระบุไม่ได้ ทราบเพียงเลขพุทธศักราช ๒๕๖๗ เท่านั้น แต่ครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าฝัน คือเพลาเย็น วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗
มารดาของข้าพเจ้าในความฝันเป็นเศรษฐินี เจ้าของมหาวิทยาลัย โรงแรม แลห้างสรรพสินค้าอยู่ในพื่นที่เดียวกัน ข้าพเจ้าเรียกสถานที่แห่งนั้นว่า “มหาวิทยาลัยรัชนี”
มหาวิทยาลัยรัชนีมีพื้นที่ราว ๘๐ ไร่ เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนค่าเทอมถูก คงเพราะมารดาของข้าพเจ้าเป็นคนใจบุญสุนทาน สงสารเด็กๆที่เป็นนักศึกษายากจน เลยคิดค่าเทอมที่สูสีกับมหาวิทยาลัยรัฐบาล แลเผลอๆจักถูกกว่าด้วยซ้ำ เป็นต้นว่าคณะเกี่ยวกับบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านอโศก อาจคิดค่าเทอมนิสิต ๒๐,๐๐๐ บาทโดยประมาณ แต่มหาวิทยาลัยรัชนีคิดเพียง ๑๗,๕๐๐ บาท หรือแม้แต่วิทยาลัยสักอย่างของมหาวิทยาลัยย่านอโศกที่พวกดาราชอบเรียนกันนักหนา ค่าเทอมปาไปสี่ซ้าห้าหมื่นนั้น ทางมหาวิทยาลัยรัชนีคิดเพียง ๒๒,๕๐๐ บาทเท่านั้น
เด็กบางคนอยากเรียนหมอ แต่ค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัยรัฐบางแห่งสูงมาก ปีหนึ่งอาจเสียค่าเล่าเรียนสูงถึง ๑๒๕,๐๐๐ บาท แต่ทางมหาวิทยาลัยรัชนีคิดค่าเล่าเรียนถูกกว่า ปีนึงนักศึกษาจักเสียเพียง ๙๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง มารดาของข้าพเจ้าจึงเป็นที่รักของคนหมู่มาก อีกทั้งคุณภาพการเรียนการสอนของสถานศึกษาแห่งนี้ก็เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน
นอกจากพื้นที่ของมหาวิทยาลัยแล้ว ที่นี่ยังมีโรงแรมห้าดาวซึ่งมีห้องพักสุดหรู ติดอ่างจากุชซี่ทุกห้อง มีห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำแลซาวน่า รวมทั้งสปาแลห้องอาหารนานาชาติ โดยเฉพาะห้องอาหารบราซิล หากประสงค์ทานเย็นที่ห้องอาหารแห่งนี้นั้น ทางห้องอาหารจักมีบุฟเฟต์บาบีคิวปิ้งย่างสไตล์บราซิลเลียนไว้บริการ ซึ่งข้าพเจ้าขอบอกท่านผู้อ่านเลยว่า ข้าพเจ้าชอบบุฟเฟต์นี้มากเหลือเกิน
นอกจากโรงแรมภายในมหาวิทยาลัยแล้ว ก็มีอาคารห้างสรรพสินค้าภายในมหาวิทยาลัยอีกด้วย ในห้างสรรพสินค้ากอปรด้วยร้านสะดวกซื้อ ไปรษณีย์ ธนาคาร ศูนย์อาหาร ห้างทอง แลห้องแถวเล็กๆที่เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ไม่ว่าจักเป็นร้านแว่นตา ร้านเสริมสวย ร้านตัดผมชาย ร้านขายเครื่องแบบนักศึกษา ร้านถ่ายเอกสาร ฯลฯ แลมีโซนอยู่โซนหนึ่งซึ่งเรียกว่า “สำนักงาน” อยู่บริเวณปลายอาคารซึ่งติดกับร้านทอง
ในโซนสำนักงานนี้จักมีประตูลูกกรงบานหนึ่ง ประตูบานนี้ไม่ได้มีขนาดโอ่อ่ากว้างขวางแต่อย่างใด หากแต่มีขนาดพอๆกับประตูห้องน้ำของใครหลายคน เมื่อเปิดประตูลูกกรงมาแล้วจะมีโซนย่อยๆอีก 2 โซน โซนแรกทางซ้ายมือเป็นโซนสำนักงาน มีลักษณะเป็นโต๊ะทำงานทั่วไป ที่มักจัดเป็นลักษณะเขาวงกต ส่วนทางด้านขวามือนั้นมีประตูลูกกรง๑บาน แลประตูที่เชื่อมกับห้างทองอีก๑บาน หากว่าเข้าทางห้างทองจักใช้ประตูห้างทองเดินเข้ามาที่นี่ก็ย่อมได้ แลบ่อยครั้งที่ข้าพเจ้ามักเลือกใช้เส้นทางนี้
สำหรับประตูลูกกรง๑ บานที่อยู่ทางขวามือเมื่อเปิดประตูลูกกรงหน้าพื้นที่สำนักงานเข้าไปนั้น ภายในถูกจัดไว้ให้เป็นห้องนอน มีเตียงขนาด ๖ ฟุต ถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวอย่างเรียบร้อย มีหมอนแลหมอนข้างที่ถูกคลุมด้วยปลอกหมอนสีเดียวกันนั้นด้วย หนำซ้ำภายในห้องยังมีประตูเหล็กบานหนึ่ง อันเป็น “ทางหนีไฟ” อนิจจาที่ประตูนี้มิได้ ล็อกแต่อย่างใด เพราะเมื่อเปิดประตูบานนี้ออกไปนั้นจักเป็นตรอกแคบๆ ลักษณะมืดๆแลอึมครึม มีพนักงานรักษาความปลอดภัยสวมเครื่องแบบสีน้ำเงินเฝ้าอยู่ ๒ คน ฉะนั้นหากมีใครประสงค์จักเข้าประตูบานนี้ล่ะก็ บุคคลนั้นต้องฝ่ายามเหล่านี้ไปเสียก่อนจึงจักเข้าห้องนอนภาพในพื้นที่สำนักงานแลทะลุเข้าพื้นที่ในห้างได้
ด้านขวาของห้องนอนแห่งนี้มีหน้าต่างมองเห็นไปยังภายนอก หน้าต่างไม่ใช่หน้าต่างบานเลื่อนแต่เป็นหน้าต่างบานไม้ชนิดผลักออก-ดึงเข้า ตัวหน้าต่างบานไม้นี้กอปรด้วยกระจกที่มีลักษณะเป็นกรอบสี่เหลี่ยมสี่อัน เพื่อสามารถที่จักมองออกข้างนอก แลเพื่อให้แสงแดดเข้ามา อย่างไรก็ตามบริเวณหน้าต่างนี้มีการติดม่านสีขาว เป็นลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆเรียงกันเป็นแนวตั้ง ปลายม่านปลิวสยายคล้ายปลายผมยามต้องพระพายพัด
ปกติคนที่นอนห้องนี้ควรเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ก็เป็นเวรของเจ้าหน้าที่ห้าง เนื่องจากพื้นที่ในห้างมีทรัพย์สินมีค่ามากมาย รวมถึงสถานที่ๆอุดมไปด้วยของมีค่าอย่างธนาคารแลห้างทอง ทั้งนี้เนื่องจากพื้นที่โดยรอบของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นพื้นที่เปิด ๒๔ ชั่วโมง มีบุคคลมากหน้าหลายตาเข้ามาในหลายเพลา ทั้งมาเปิดห้องพัก มาส่งลูกส่งแฟนที่พักอยู่ภายในหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ฯลฯ ทำให้อาจเกิดเหตุการณ์มีผู้ไม่หวังดีขโมยทรัพย์สินภายในมหาวิทยาลัยได้ ซึ่งคงเคยเกิดขึ้นมาแล้วกระมัง เพียงแต่ข้าพเจ้าไม่ทราบ
วันนี้เป็นวันที่แปลก เนื่องจากมารดาของข้าพเจ้าคงต้องการให้ข้าพเจ้าดูแลมหาวิทยาลัยต่อจากท่าน จึงมอบหมายให้ข้าพเจ้านอนเฝ้าห้างสรรพสินค้าภายในมหาวิทยาลัย สถานที่นอนก็ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นแล
มันเป็นเพลาเย็น ราว ๑๖ นาฬิกาเห็นจักได้ ข้าพเจ้าเดินตามหลังมารดาของข้าพเจ้าในคราบเจ้าของมหาวิทยาลัยอย่างต้อยๆ ในขณะนี้มารดาของข้าพเจ้ากำลังเดินตรวจตราคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัย
ข้าพเจ้ากำลังเห็นนักศึกษากำลังทำกิจกรรมต่างๆของคณะ นักศึกษาแพทย์เกาะกันเป็นกลุ่มๆ ลางคณะกำลังทำกิจกรรมสำหรับกีฬาของมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าเห็นนักศึกษาเหล่านี้กำลังเป่าลูกโป่งลูกใหญ่ๆสีน้ำเงิน คงเอาไว้ประดับอัฒจันทร์กระมัง นักศึกษาลางกลุ่มก็กำลังประชุมกันเรื่องงานกลุ่มที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์หมอ นักศึกษาลางกลุ่มก็นั่งฟังอาจารย์หมอแล็กเชอร์สดๆที่บริเวณม้านั่ง อย่างไรก็ตามคณะอาจจักชื่อคณะแพทยศาสตร์ แต่ก็มีหลักสูตรพยาบาลแลสาธารณสุขพ่วงอยู่ด้วย ข้าพเจ้าจึงเห็นนักศึกษากลุ่มหนึ่งซึ่งใส่หมวก “นางพยาบาล” กำลังคุยกันเรื่องการบ้านที่อาจารย์พยาบาลท่านมอบหมาย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งดูจักสบายสุดในหลายกลุ่มที่ข้าพเจ้าเห็นมา คือกลุ่มนักศึกษาสาขาสาธารณสุข กลุ่มนี้ไม่เคร่งครัดเรื่องเครื่องแบบเท่าหมอแลพยาบาล (หรือแม้แต่พวกที่เรียนครู) ข้าพเจ้าจึงเห็นนักศึกษาของสาขานี้แต่งตัวยังกับเรียนสาขาทางศิลปะก็ไม่ปาน กลุ่มศิลปินในคราบนักศึกษาสาขาสาธารณสุขเหล่านี้กำลังคุยกันเรื่อง “โรคติดต่อ” กับ “โรคไม่ติดต่อ” กันอยู่
ความจริงข้าพเจ้ามิได้รังเกียจดอกว่านักศึกษาควรจักแต่งตัวเช่นไรในมหาวิทยาลัย แลนักศึกษาควรจักแต่งตัวแบบให้เกียรติมหาวิทยาลัยหรือไม่ ข้าพเจ้ามองว่าระยะเวลา ๔-๖ ปีในมหาวิทยาลัยนั้น เป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาควรจักมีอิสระบ้าง หลังจากอยู่ในกรอบสิบกว่าปีตั้งแต่ชั้นอนุบาลจวบจนมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ข้าพเจ้ามองว่านักศึกษาควรแต่งตัวในแบบของตนเองได้ กล่าวคือ ไว้ผมยาว แต่งชุดยีนส์ ใส่รองเท้าแตะไปเรียน ใส่กางเกงสีสันสดใส ฯลฯ เพียงแต่นักศึกษาอย่าแต่งตัวโป๊ หรืออย่าให้คนด่าตามหลังว่าอ้ายนี่อีนี่ “แก้ผ้า”ไปเรียน นักศึกษาจักแต่งตัวเยี่ยงไรนั้น ก็ควรแต่งเพื่อปกปิดของสงวนของตนเองให้เรียบร้อย สตรีเพศก็ไม่ควรใส่เสื้อคอกว้างจนเห็นหน้าอก หรือบุรุษเพศก็ไม่ควรใส่กางเกงที่ทำให้ “เป้าตุง” แล้วออกมาเดินในที่สาธารณะ
สายตาของใครหลายคนต่างจดจ่อมาที่มารดาของข้าพเจ้า ท่านแต่งกายไม่เหมือนมารดาในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ในความฝันนั้นแต่งตัวเหมือนเหล่าสตรีไฮโซ หรือผู้มีอันจะกิน ที่สามารถพบเห็นได้ในรายการ “บางกอกกระซิบ โว้ว มายา” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3ทั้งนี้ ชุดที่มารดาข้าพเจ้าใส่นั้นเป็นเสื้อคอเต่าสีดำที่แขนเป็นซีทรูลายลูกไม้ ทับด้วยชุดเดรสกระโปรงยาวผ้าทวีตสีขาว สวมถุงน่องสีดำ แลรองเท้าส้นสูงสีแดง เดินถือกระเป๋าสตางค์ใบยาวสีดำยี่ห้อชาแนล รุ่น Trifold wallet caviar
ทุกคนต่างสวัสดีมารดาของข้าพเจ้าอย่างนอบน้อม บางคนแม้นไม่ได้สวัสดีมารดาข้าพเจ้าโดยตรง แต่ข้าพเจ้าก็สังเกตได้ว่าสายตาของพวกเขาเหล่านั้น มองมารดาข้าพเจ้าด้วยความยำเกรงมิใช่น้อย” ขณะเดียวกันที่อาจารย์หมอพูนพงษ์ อาจารย์หมอของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัชนี ก็เดินมาพบกับมารดาของข้าพเจ้าพอดิบพอดี ทั้งสองจึงได้สนทนาพาทีกันอยู่พักใหญ่เกี่ยวกับการเรียนการสอนภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งข้าพเจ้าเองก็จับใจความไม่ได้ เพราะเต็มไปด้วย “ศัพท์เฉพาะ” มากมายที่คนในวงการแพทย์มักจักใช้กัน
คงเพราะมารดาของข้าพเจ้าเคยเป็นพยาบาลมาก่อนกระมัง จึงมีความรู้ทางการแพทย์สูง รู้จักบุคลากรทางการแพทย์มากมาย ข้าพเจ้าอนุมานว่าน้อยน้องชายของข้าพเจ้าในความฝันก็คงอยู่ในวงการแพทย์เช่นเดียวกัน
ความจริง มารดาของข้าพเจ้าเป็นคนพูดมาก ไม่ว่าจักโลกแห่งความจริงหรือโลกแห่งความฝันมารดาของข้าพเจ้าก็เป็นคนพูดมาก บางครั้งมารดาพูดอะไรเกี่ยวกับตัวข้าพเจ้าให้คนอื่นฟังแล้วไซร้ ข้าพเจ้าฟังแล้วก็รู้สึกเสียหน้าเช่นเคย
หลังมารดาคุยกับอาจารย์พยาบาลวัณฑนีย์ไปแล้วครึ่งชั่วโมง ท่านก็ยื่นกุญแจสำนักงานที่ตั้งอยู่ภายในห้างของมหาวิทยาลัยแก่ข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าไปนอนเฝ้าสถานที่แห่งนั้น
“เอา...นี่กุญแจ”
ข้าพเจ้ารับกุญแจที่มารดาให้ไว้
“อืม”
“ดูแลตัวเองให้ดีงัน”[1]
“เออ”
“อย่าเออตะ หัดพูดครับบ้างถี้[2]
“เออ”
“เออแล้วหลาว...คันนั้นก็นั่งกะป๊อไปที่ห้างเองก็แล้วกัน แม่ไปล่ะ”[3]
“เออ”