JJNY : 5in1 โคราชผวา!│เปิดใจร้านค้าไม่เข้าร่วม'ดิจิทัลวอลเล็ต'│ศิริกัญญาชี้ยุ่งยาก│แก้กม.ทำโทษบุตร│มอสโกทุ่ม แจก 8 แสน

โคราชผวา! ทุนข้ามชาติเปิด ‘ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน’ กลางเมือง ยึดทำเลทองย่านเศรษฐกิจ
https://www.matichon.co.th/region/news_4697811

 
โคราชผวา! ทุนข้ามชาติเปิด ‘ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน’ กลางเมือง ยึดทำเลทองย่านเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ท่ามกลางกระแสป้ายโฆษณาภาษาจีนกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมไทย ล่าสุดพบป้ายโฆษณาภาษาจีนขนาดใหญ่ปรากฏย่านกลางเมืองนครราชสีมา ริมถนนราชดำเนิน เขตเทศบาลนคร (ทน.) นครราชสีมา ห่างจากลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ประมาณ 500 เมตร

พบป้ายไวนิลขนาดใหญ่ติดอยู่บนอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ระบุข้อความภาษาจีนที่แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน ธุรกิจหลัก อาหารจีน ขนม เครื่องปรุงรส อาหารแห้ง อาหารแช่แข็ง และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ” พร้อมเบอร์โทรศัพท์ ทั้งนี้ ป้ายดังกล่าวมีข้อความภาษาไทยสำทับว่า “ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน” ด้านในมีพนักงานเป็นนักศึกษาหญิงกำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง กำลังปฏิบัติหน้าที่พนักงานขายเพียงลำพัง

ชาวโคราชได้ถ่ายภาพป้ายโฆษณาพร้อมแชร์ในโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง พร้อมวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเข้ามาของทุนจีนในพื้นที่ อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิ่นที่อยู่ในช่วงสภาพเศรษฐกิจซบเซา นักธุรกิจท้องถิ่นเตือนผู้ประกอบการให้เตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการเปิดซุปเปอร์มาร์เก็ตจีนอาจสร้างแรงกระแทกต่อธุรกิจที่มีอยู่เดิม ซึ่งจะต้องปรับตัวและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของตนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

การเปิดซุปเปอร์มาร์เก็ตจีนครั้งนี้เป็นการยืนยันถึงการเติบโตของการลงทุนจากต่างประเทศในนครราชสีมา และยังคงเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ มีบรรดาชาวเน็ตได้แสดงความคิดเห็น อาทิ ทุนจีนมาแล้วคนไทยแย่แน่, รัฐบาลสนับสนุนจีนในการลงทุน มีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ไม่ดูแลประชาชน ประชาชนเดือดร้อนกันทั่วประเทศ, ยกประเทศให้จีนเลยง่ายดี, ยินดีต้อนรับสู่มณฑลไท่กั๋ว, เป็นทางเลือกใหม่ของผู้บริโภคค่ะ ก็ดีนะคะ, คนไทยต้องช่วยกันซื้อของไทยครับ, แล้วให้คนจีนมามีอิทธิพลในบ้านเองทำไมเล่า, คนจีนในเมืองเสร็จแน่เตรียมรองรับแรงกระแทก เป็นต้น



เปิดใจร้านค้า ไม่ขอเข้าร่วม 'ดิจิทัลวอลเล็ต' เหตุเป็นร้านขนาดเล็ก ต้องมีเงินสดหมุนรายวัน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_777777851770

เปิดใจร้านค้า ไม่ขอเข้าร่วม ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ เหตุเป็นร้านขนาดเล็ก ต้องมีเงินสดมาหมุนรายวัน อีกทั้งโครงการดังกล่าว ยังไม่มีความชัดเจนของการดำเนินงาน
 
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี เพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชน หลังกระทรวงการคลังได้ออกมาแถลงข่าวความคืบหน้า “ดิจิทัลวอลเล็ต โครงการเพื่อประชาชน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนเริ่มลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. – 15 ก.ย. 2567  และสำหรับกลุ่มร้านค้าเริ่ม 1 ต.ค. เป็นต้นไป
 
น.ส.ลภัสลดา สีสม หนึ่งในผู้ประกอบการร้านกาแฟ “กาลนาน” ตั้งอยู่ที่ ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เปิดใจว่า แม้ว่าร้านของตนจะอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้เริ่มใช้จ่ายในช่วงปลายปีนี้
 
แต่เบื้องต้น ทางร้านตัดสินใจยอมเสียโอกาสที่จะไม่เข้าร่วมโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” เนื่องจากเงื่อนไขการใช้จ่ายเงินดิจิทัลไม่สอดคล้องกับบริบทของร้าน ซึ่งเป็นร้านขนาดเล็ก ต้องใช้ระบบเงินสดหมุนเวียนรายวัน อาจทำให้เกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง ทั้งเรื่องของเงินทุน และกำไรที่ต้องนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
 
นอกจากนี้ ส่วนตัวตนมองว่าโครงการดังกล่าว ยังไม่มีความชัดเจนของการดำเนินงานทั้งระบบ



ศิริกัญญา ชี้วิธีจ่ายเงิน ดิจิทัลวอลเล็ต ยุ่งยาก ไม่กระตุ้นจีดีพี ลุ้นใช้เงินข้ามปีได้หรือไม่
https://www.khaosod.co.th/politics/news_777777851539

ศิริกัญญา ไม่คาดหวัง คลังแถลงคืบหน้า ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ชี้วิธีจ่ายเงินยุ่งยาก กระตุ้นจีดีพีได้ไม่ถึง 1% ยังต้องลุ้นใช้เงินข้ามปีได้หรือไม่
 
เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2567 ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567
 
ให้สัมภาษณ์ภายหลัง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมด้วย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง แถลงความคืบหน้าของโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน ดิจิทัลวอลเล็ต มีข้อสังเกตหรือข้อกังวลอะไรบ้างหรือไม่
 
โดยน.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า จากการติดตาม มีเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนและมีการยืนยันแล้ว มีเพียงแค่เรื่องวันในการลงทะเบียน นอกจากนั้นแล้วยังไม่มีความชัดเจนใดๆ
 
ทั้งนี้ เรื่องแรกที่อยากจะพูดถึง คือเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ ภายหลังจากเกิดพายุหมุนดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว เศรษฐกิจจะโตแค่ไหน ซึ่งนายเผ่าภูมิก็บอกว่า ไม่สามารถประเมินออกมาเป็นตัวเลขได้ เนื่องจากเป็นโครงการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก
 
แต่จากที่ตนเข้าไปสังเกตการณ์ในกมธ.วิสามัญพิจารณางบฯ หน่วยงานต่างๆ รวมทั้งกระทรวงการคลังได้มีการส่งผลที่จะเกิดขึ้นภายหลังโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเข้ามาแล้ว
 
โดยกระทรวงการคลังมีการปรับเป้าหมายจากเดิมที่คาดว่าจะเป็น 1.2% ถึง 1.8% ของจีดีพี เหลือ 0.9% ของจีดีพี ส่วนสภาพัฒน์ระบุว่า จีดีพีของ ปี 67 โตประมาณ 0.3% ในปี 68 โตขึ้นอีก 0.3% แต่ทางแบงก์ชาติ บอกว่า ปี 67 โต 0.3% ปี 68 โต 0.2% รวมตลอดโครงการ โตประมาณ 0.9%
 
ซึ่งข้อมูลทั้งหมดก็ออกมาตรงกันว่า ไม่สามารถกระตุ้นได้ถึง 1% ของจีดีพี ซึ่งอาจจะเป็นเพราะมีการปรับลดตัวเป้าหมาย หรือแหล่งที่มาของเงินกู้ พอกลับไปใช้ในเงินงบประมาณ ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่ได้มีมากเท่าที่ควร
 
ส่วนประเด็นความไม่ชัดเจนของแหล่งที่มาของเงินนั้น ก็มีการถามย้ำว่าการบริหารงบประมาณคืออะไรกันแน่ ทั้งที่มีการบริหารงบปี 67 และปี 68 ด้วย แต่นายจุลพันธ์ก็ไม่ได้ให้ความชัดเจน
 
สำหรับเรื่องปัญหาในข้อกฎหมาย ในส่วนงบเพิ่มเติมที่จะต้องใช้ภายในปีงบประมาณ ก็มีการถกกันว่าจะต้องใช้เป็นงบรายจ่ายประจำปีทั่วไป กันเงินเอาไว้เบิกเหลื่อมปี ถ้าปี 67 ใช้ไม่หมด ได้หรือไม่ ซึ่งตัวแทนจากสำนักงานกฤษฎีกาให้ความเห็นว่า สามารถกระทำได้ เนื่องจากได้เกิดนิติสัมพันธ์ ถือว่าผูกพันสัญญาแล้ว
 
แต่เมื่อกมธ.ในสัดส่วนพรรคก้าวไกลแย้งไปว่า จะเรียกว่าเป็นสัญญาได้อย่างไร ในเมื่อผูกพันลักษณะการตอบแทน ไม่ใช่สัญญาที่ต้องเซ็นยินยอมทั้งสองฝั่ง ซึ่งก็ไม่มีหน่วยงานใดสามารถตอบได้เลยว่าเป็นสัญญาประเภทใด เหมือนคิดขึ้นมาใหม่ แบบไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศนี้มาก่อน
 
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องติดตามกันต่อ คือ สรุปแล้วจะสามารถใช้เงินข้ามปีได้หรือไม่ หากไม่ได้งบเพิ่มเติมที่จะต้องมีการอนุมัติกันในวาระสองและวาระสาม ก็คงต้องใช้ให้หมดภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้ หากใช้ไม่ทันก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ไม่ได้ข้ามปี และต้องใช้วิธีการอื่นในการทำ
 
ซึ่งก็มี 2 ทาง คือแจกเลยเป็นเงินสดภายใน 30 ก.ย.นี้ โดยที่ระบบยังไม่เสร็จ หรือจะแจกพร้อมกันหมด ก็อาจจะต้องพับเงินก้อนนี้ไป เพราะใช้ไม่ได้แล้ว ต้องหาเงินก้อนอื่น ซึ่งทางปลัดกระทรวงฯ ก็ออกมาบอกว่า อาจจะกลับไปใช้มาตรา 28 ก็เป็นได้ เท่ากับว่าทุกอย่างยังคงลื่นไหลไม่นิ่งไม่แน่ไม่นอน
กรณีการถกเถียงกันเรื่องรายจ่ายการลงทุนว่าจะเป็น 80% ได้อย่างไร ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังอธิบายว่า เป็นรายจ่ายลงทุนจริงๆ แต่เท่าที่เราดูแล้ว กลับมาจากสมมติฐานเสียมาก ไม่ได้มาจากข้อเท็จจริงหรือผลสำรวจแต่อย่างใด หากจะตั้งเป้าหมายแบบนั้น ก็เป็นรายจ่ายลงทุนได้อย่างมาก 50% เท่านั้น อย่างไรก็ต้องดูเรื่องสัดส่วนอีกทีว่าจะเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่
 
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวถึงระบบลงทะเบียนว่า ไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากมีการจัดซื้อจัดจ้างไปแล้วตั้งแต่วันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่ปัญหาคือระบบจ่ายเงินมีความซับซ้อนมาก เพราะต้องสร้างกระเป๋าเงินอีกหนึ่งอัน เพื่ออยู่ในแอพพลิเคชั่นของธนาคารต่างๆ แล้วจึงให้เรามาใช้
 
ซึ่งเราก็ได้ขอดูทีโออาร์ไปแล้วว่า มีการกำหนดไว้อย่างไรบ้าง แต่ปรากฏว่าทีโออาร์ไม่สามารถให้ได้ เพราะเป็นการจัดซื้อจัดจ้างแบบคัดเลือก ส่วนหนังสือเชิญชวนก็ยังร่างไม่เสร็จ จึงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรให้เสร็จทัน เพราะยังต้องส่งต่อให้กับหน่วยงานอื่นอีก แล้วเงินที่จ่ายไปจะปรากฏอยู่ในกระเป๋าเงินดิจิทัลจริงใช่หรือไม่ ไม่มีการตกหล่นหายระหว่างทางใช่หรือไม่
 
ระยะเวลากว่าเดือนครึ่งในการลงทะเบียนสำหรับผู้ที่มีสมาร์ตโฟน อาจจะเป็นเพราะอยากให้คนมีการลงทะเบียนแบบออฟไลน์น้อยที่สุด แต่ก็ยังไม่มีการบอกรายละเอียดการลงทะเบียนแบบที่ไม่มีสมาร์ตโฟน ซึ่งก็คิดว่าคงไม่มีผลต่อการกระตุ้นให้เกิดการใช้สมาร์ตโฟน
 
น.ส.ศิริกัญญา ปฏิเสธที่จะให้คะแนนในการแถลงข่าวครั้งนี้ เพราะรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่า จะมีการแบ่งแถลง 3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นการแถลงโดยรัฐมนตรี ซึ่งจะให้นายกรัฐมนตรีมาแถลงภายหลัง เท่ากับว่ายังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก แต่มีอะไรที่พูดได้ก็พูดไปก่อน ดังนั้น เมื่อไม่คาดหวัง จึงไม่ผิดหวัง



สภาฯ รับหลักการแก้กฎหมายทำโทษบุตร
https://tna.mcot.net/politics-1396507

รัฐสภา 24 ก.ค. – สภาฯ รับหลักการร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดสิทธิของผู้ใช้อำนาจปกครองในการทำโทษบุตร ต้องไม่กระทำทารุณกรรม ทำร้ายร่างกาย หรือจิตใจ
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันนี้ (24 ก.ค.) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กับคณะ เป็นผู้เสนอ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ใช้อำนาจปกครองในการทำโทษบุตร ต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ
 
โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ปัจจุบันประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่กำหนดสิทธิของผู้ใช้อำนาจปกครองว่า มีสิทธิทำโทษบุตรตามสมควร เพื่อว่ากล่าวสั่งสอน มีการบังคับใช้มาเป็นระยะเวลานาน และพบว่าการลงโทษนั้น หลายกรณีกลับกลายเป็นการกระทำในลักษณะทารุณกรรมหรือทำร้าย ส่งผลกระทบต่อร่างกายหรือจิตใจของบุตร พร้อมย้ำว่า การทำร้ายร่างกายและจิตใจของเด็กจะนำไปสู่การเกิดความกลัว วิตกกังวล และสภาวะเจ็บป่วยทางร่างกายและสภาวะซึมเศร้า จนนำไปสู่การต่อต้านสังคม จึงจำเป็นต้องทบทวนเจตนารมณ์ว่า การลงโทษเพื่อว่ากล่าวตักเตือนนั้น จำเป็นต้องใช้การเฆี่ยนตี หรือวิธีการอื่นใดที่อาจส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็กหรือไม่ เพื่อตอกย้ำว่าประเทศไทยคุ้มครองเด็กทุกคนอย่างแท้จริง
  
ทั้งนี้ ภายหลังการอภิปรายสรุปหลักการและเหตุผลเสร็จสิ้นแล้ว ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติรับหลักการด้วยคะแนนเสียง 400 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการฯ 42 คน ขึ้นมาศึกษาและกำหนดแปรญัตติใน 15 วัน.-315-สำนักข่าวไทย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่