ในฐานะนักลงทุน เราเรียนรู้อะไรจาก Case หุ้น EA บ้าง



หนึ่งในข่าวที่ คนที่ลงทุนในตลาดหุ้น ช่วงนี้ได้ฟังจนชินหูคงหนีไม่พ้นหุ้น EA หรือ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)
แม้แต่ตัวผมเองที่จากไม่เคยสนใจหุ้นตัวนี้ก็ต้องหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนพูดถึงกันเยอะ?

เรียกได้ว่าตามฟีดข่าวต่างๆ เรามักจะพบเห็นข่าวหุ้น EA เต็มไปหมด

ขออนุญาตตัดประเด็นเรื่องผู้บริหารออกไป เพราะสิ่งที่อยากจะคุยวันนี้จะเน้นไปที่ตัวบริษัทเป็นหลัก
ซึ่งพอไปเปิดดูงบการเงินของ EA แล้ว คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวเลยก็คือ “ว้าว”

เนื่องจากตัวเลขทั้งรายได้และกำไรของบริษัทเติบโตมาตลอดในช่วงหลายปีหลัง

รายได้และกำไร
ปี 2563 รายได้ 17,199 ล้านบาท กำไร 5,205 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 20,588 ล้านบาท กำไร 6,100 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 27,547 ล้านบาท กำไร 7,604 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 31,598 ล้านบาท กำไร 7,606 ล้านบาท

ถ้าดูแบบนี้ต้องบอกว่า เข้าตำราหุ้นเติบโตเป๊ะ รายได้โตเกือบ 190% กำไรโตเกือบ 150%

ไม่แปลกที่หุ้น EA จะเนื้อหอม มีนักลงทุนรายเล็กรายใหญ่ สถาบันทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนกันอย่างคึกคัก ซึ่งสะท้อนมาจากจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมดกว่า 46,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มี.ค. 2567 จาก website ของ SET)

รายได้และกำไรโตระเบิดแบบนี้ ทำให้ในปี 2565 มูลค่า market cap. ของ EA นั้นพุ่งไปสูงถึง 362,000 ล้านบาท กลายเป็น 1 ใน 10 บริษัทที่มีมูลค่ากิจการมากสุดในตลาดหุ้นไทย

อย่างไรก็ตาม รายได้และกำไรที่โตอย่างต่อเนื่อง ถ้าวิเคราะห์ลงไปกลับพบว่า กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operation) กลับค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ

ปี 2563 กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 9,238 ล้านบาท
ปี 2564 กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 7,798 ล้านบาท
ปี 2565 กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 1,890 ล้านบาท
ปี 2566 กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน -457 ล้านบาท

ทำไม กำไรเพิ่มมากขึ้นแต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานกลับลดลงจนกระทั่งติดลบ?

คำตอบก็คือ กำไรที่เราเห็นกันในช่วงหลังๆ โดยเฉพาะหลังปี 2564 นั้นส่วนใหญ่เป็นกำไรที่ไม่ใช่เงินสด 
แม้ว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลม ที่ขายให้กฟภ. และกฟผ. นั้น ถือเป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดได้ดี และจริงๆ ควรจะมากกว่ากำไรในงบกำไรขาดทุนด้วย

เพราะว่า โดยธรรมชาติแล้วธุรกิจโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะโครงการพลังงานสะอาดอย่างพลังงานแสงอาทิตย์และลม (ที่ในอดีตได้รับ adder ในระดับที่สูงพอสมควร) จะมีการลงทุนหนักๆ ในช่วงแรก หลังจากนั้น กำไรแต่ละปีจะถูกหักค่าเสื่อมของโรงไฟฟ้าที่ลงทุนหนักไปรอบแรก 
แต่ในแง่ของกระแสเงินสดนั้น จะไม่โดนจ่ายหนักแล้ว เพราะลงทุนไปแล้ว

ดังนั้น กระแสเงินสดจากการดำเนินงานควรจะมากกว่ากำไร หลังจากที่มีการบวกค่าเสื่อมกลับไป

แต่ในกรณี ถ้าเราเอ๊ะสักนิด เรากลับพบความแปลกตรงที่ กำไรดันมากกว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
ลองคิดดูง่ายๆ กำไรปี 2565 กับ 2566 รวมกันประมาณ 14,000 ล้านบาท แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานรวมกันประมาณ 1,433 ล้านบาท หรือ ต่างกันเกือบ 14,000 ล้านบาท 

คำถามที่ กระแสเงินสดที่ว่านี้หายไป?

คำตอบคือ ไปอยู่ในลูกหนี้การค้า ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าเงินทุน และสินค้าคงเหลือ

ลูกหนี้การค้า
ปี 2564 ลูกหนี้การค้า 3,960 ล้านบาท 
ปี 2565 ลูกหนี้การค้า 6,329 ล้านบาท บาท
ปี 2566 ลูกหนี้การค้า 8,800 ล้านบาท 

ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าเงินทุน
ปี 2564 ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าเงินทุน 504 ล้านบาท 
ปี 2565 ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าเงินทุน 4,206 ล้านบาท 
ปี 2566 ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าเงินทุน 7,526 ล้านบาท 

สินค้าคงเหลือ
ปี 2564 สินค้าคงเหลือ 1,483 ล้านบาท
ปี 2565 สินค้าคงเหลือ 5,516 ล้านบาท
ปี 2566 สินค้าคงเหลือ 7,412 ล้านบาท

การเพิ่มขึ้นของลูกหนี้การค้า ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าเงินทุนและสินค้าคงเหลือ คือ เหตุผลสำคัญที่บอกว่า ทำไมกระแสเงินสดจากการดำเนินงานถึงค่อยๆ ลดลงจนติดลบ เพราะมีเงินสดไหลออกจากบริษัทไป

อย่างกรณีของสินค้าคงเหลือ ภายในระยะเวลาแต่ 3 ปี สินค้าคงเหลือเพิ่มเกือบ 6,000 ล้านบาท ด้วยมูลค่าขนาดนี้ มันจำเป็นและสำคัญมากที่เราต้องเข้าใจว่า สินค้าที่ว่าคืออะไร ทำไมมูลค่าถึงมากขนาดนั้น

หรือลูกหนี้ตามสัญญาเช่าเงินทุน ในช่วงเวลาเดียวกัน ทำไมถึงเพิ่มกว่า 7,000 ล้านบาท เหตุผลคือ EA ได้เข้าทำสัญญาเช่าซื้อรถบัสไฟฟ้ากับลูกค้า (ภายในกลุ่มกิจการเอง) 

ตรงนี้ถือเป็น point สำคัญ เนื่องจากกลุ่ม Thai Smile Bus ที่เอารถไปบัสไฟฟ้าไปวิ่งนั้น ก็ไม่มีเงินทุนมากพอที่จะซื้อรถจาก EA
ดังนั้น จึงใช้วิธีให้บริษัทในเครือปล่อยเงินกู้แก่กลุ่ม Thai Smile Bus ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ BYD เพื่อปล่อยให้แก่กลุ่ม Thai Smile Bus อีกที สำหรับนำเงินมาลงทุนในรถบัสไฟฟ้า ซึ่งนี่คือ เงินสดก้อนใหญ่ของ EA ที่ไหลออกไปเพื่อ support ธุรกิจรถบัสไฟฟ้าในเครือกิจการ 

แม้ว่า ธุรกิจรถบัสไฟฟ้าในประเทศไทยจะถือว่า barrier to entry ในระดับหนึ่ง เนื่องจากมีกำแพงภาษีนำเข้ารถบัสไฟฟ้าจากต่างประเทศในระดับ 30%
ซึ่งแตกต่างจากรถยนต์ส่วนบุคคลที่ถูกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเข้ามาตีตลาดกระเจิง จนทำให้ค่ายรถญี่ปุ่นหลายแห่งต้องเริ่มยกธงขาว

แต่ในอนาคตก็ไม่มีอะไรรับประกันว่า barrier to entry ด้านภาษีตรงนี้จะยั่งยืนไปได้นานแค่ไหน หรือถ้าวันหนึ่งรถบัสไฟฟ้าจากจีนสามารถผลิตด้วยต้นทุนต่ำมาก จนถึงขนาดที่แม้จะมีกำแพงภาษีนำเข้า ก็ยังถูกว่ารถบัสไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ 

ถ้าเป็นแบบนั้น ผู้ประกอบการธุรกิจรถบัสไฟฟ้าหรือรถบรรทุกไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศ รวมทั้งกลุ่ม EA ก็คงจะเหนื่อยไม่มากก็น้อย
ขณะที่ธุรกิจ EV Battery ที่ดำเนินการโดย AMITA บริษัทในเครืออีกแห่ง ยังมีผลประกอบการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญคือ Battery ของ AMITA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของไต้หวันนั้น คงไม่ต้องบอกว่า วันนี้ยังห่างไกลเทคโนโลยี Battery จากจีนมากแค่ไหน 

ที่พูดมาทั้งหมด เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ถ้าผมมองจุดมองข้ามไปหรือขาดตกบกพร่องตรงไหน ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยละกันครับ
จากนักลงทุนตัวเล็กๆ คนหนึ่งในตลาดหุ้น

credit: page คนชอบเล่า
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่