บทความ ของ ผศ.ดร.อับดุลเลาะ หนุ่มสุข จากวารสาร มุสลิมบางกอกฉบับที่ 75 ได้เล่าถึง การประชุมที่สำคัญของโลกมุสลิม เกี่ยวกับ เรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
⦿ วันที่ 17-19 มีนาคม พ.ศ. 2567 ได้มีการจัดประชุมอิสลามนานาชาติมีชื่อเป็นภาษาอาหรับว่า “ السالمية املذاهب بني سور إ اجل بناء “ จัดโดยองค์การ สันนิบาตโลกมุสลิม (Muslim World League) ในหัวข้อ “ การสร้างสะพานเชื่อมระหว่างกลุ่มนิกายต่างๆในอิสลาม” (The Global Conferentce For Building Bridges Between Islamic Schools of Thought and Sects )
⦿ การประชุมใช้เวลา 2 วัน มีเวที5 เวทีเพื่อนำเสนอและอภิปรายในหัวข้อต ่างๆโดย นักวิชาการจากทั่วโลก มีการประกาศปฏิญญามักกะฮ์ว ่าด้วยการสร้างสะพานระหว ่างกลุ ่มนิกายในอิสลาม และการลงนาม(MOU) ระหว่างองค์การอัรรอบิเฏาะฮ์กับองค์การความร ่วมมืออิสลาม (OIC) และระหว ่างสภานิติศาสตร์อิสลามขององค์การอัรรอบเฏาะฮ์ กับสภานิติศาสตร์อิสลาม ขององค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ท่านาอาจารย์อรุณ บุญชมเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรกของประเทศไทยที่ได้รับเกียรติให้ขึ้นเวทีการประชุม ระดับนานาชาติขององค์การอัรรอบิเฏาะฮ์(อัลฮัมดุลิลลาฮ์)
⦿ปฏิญญามักกะฮ์ 28 ข้อนี้ มีข้อที่น่าสนใจเช่น
8. “การมีกลุ่มนิกายและความคิดเห็นที่หลากหลายถือเป็นกฎเกณฑ์ของโลกที่ถูกกำหนดโดยพระผู้เป็นเจ้า” … สิ่งที่ทำให้กลุ่มนิกายรวมกันเป็นหนึ่งย่อมยิ่งใหญ่ และสำคัญกว่าสิ่งที่ทำให้แตกแยก โดยเฉพาะ 2 คำปฏิญาณ (2ชะฮาดะฮ์) และสิ่งที่รวมพวกเขาในความเป็นภราดรภาพย่อมสำคัญและยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่ทำให้ทัศนะและ ความเห็นของพวกเขามีความแตกต่างกัน
15. สัญลักษณ์ของการแบ่งแยกกลุ่มนิกาย และการปฏิบัติที่กระตุ้นให้เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มนิกายเป็นต้นตอความหายนะ ในเส้นทางของประวัติศาสตร์อันเจ็บปวด ปรากฏให้เห็นเปลวไฟแห่งความคลั่งไคล้ความรุนแรง ความปั่นป่วนและผลลัพธ์ที่ตามมา เป็น โศกนาฏกรรมแห่งความเคียดแค้น ความเกลียดชัง และความหมางเมิน ทั้งหมดล้วนทำลายสายใยแห่งภราดรภาพทางศาสนา และทำลาย เจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่ของอิสลาม
17. การกล่าวหาผู้อื่นว่าเป็นกาเฟร ( ออกนอกศาสนา) เป็นผู้ทำบิดอะฮ์( อุตริกรรมทางศาสนา) เป็นผู้หลงผิด (เฏาะลาละฮ์) ถือ เป็นการตัดสินทางศาสนาที่ไม่สามารถกระทำได้เว้นแต่จะมีหลักฐานที่แน่ชัด หาไม่แล้วก็จะเกิดความเสียหาย และความพินาศ ดังนั้นจึง ไม่อนุญาตให้ชาวมุสลิม หรือนักศึกษาทั่วไปใช้การตัดสินดังกล่าวกับผู้ที่เห็นต่างจากพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นบุคคล องค์กร สถาบัน หรือที่คล้ายกัน การตัดสินดังกล่าวควรให้เป็นหน้าที่ขององค์กรที่ได้รับการยอมรับในด้านวิชาการและความยุติธรรม และมีหน้าที่รับผิดชอบเท่านั้น และ ควรใช้หลักฐานต่างๆทางศาสนา ที่นักวิชาการเห็นตรงกันไม่ขัดแย้งกัน
27. การทะเลาะวิวาทกันระหว่างมุสลิม การก่อกวนความรู้สึกทางนิกาย(มัซฮับ) การดูหมิ่นสัญลักษณ์และการดูหมิ่นคำวินิจฉัย ล้วนเป็นการกระทำที่ไม่สนองตอบต่อเป้าหมาย และไม่เป็นภัยอันตรายใดๆแก่ศัตรู แต่เป็นการผิดศีลธรรมที่นำมาซึ่งความชั่วร้ายยังตัว บุคคล หลักคำสอน ชื่อเสียง และความเศร้าโศกในจิตวิญญาณของพวกเขา และบ่อยครั้งที่สิ่งดังกล่าวกลายเป็นสิ่งที่คนอื่นหยิบยกขึ้นมา โจมตีและพาดพิงในทางที่เสียหายยังศาสนาของพวกเขา ด้วยความไม่รู้หรือด้วยเจตนา
อ้างอิง The Global Conferentce For Building Bridges Between Islamic Schools of Thought and Sects ) ,ผศ.ดร.อับดุลเลาะ หนุ่มสุข , วารสารมุสลิมบางกอก ฉบับที่ 75
บทความโดย เยาฮารี แหละตี
ที่มา
https://www.facebook.com/arayawedding/posts/876817594481269
การกล่าวหาผู้อื่น เป็นผู้ทำบิดอะฮ์ เป็นการตัดสินทางศาสนาที่ไม่สามารถกระทำได้
⦿ วันที่ 17-19 มีนาคม พ.ศ. 2567 ได้มีการจัดประชุมอิสลามนานาชาติมีชื่อเป็นภาษาอาหรับว่า “ السالمية املذاهب بني سور إ اجل بناء “ จัดโดยองค์การ สันนิบาตโลกมุสลิม (Muslim World League) ในหัวข้อ “ การสร้างสะพานเชื่อมระหว่างกลุ่มนิกายต่างๆในอิสลาม” (The Global Conferentce For Building Bridges Between Islamic Schools of Thought and Sects )
⦿ การประชุมใช้เวลา 2 วัน มีเวที5 เวทีเพื่อนำเสนอและอภิปรายในหัวข้อต ่างๆโดย นักวิชาการจากทั่วโลก มีการประกาศปฏิญญามักกะฮ์ว ่าด้วยการสร้างสะพานระหว ่างกลุ ่มนิกายในอิสลาม และการลงนาม(MOU) ระหว่างองค์การอัรรอบิเฏาะฮ์กับองค์การความร ่วมมืออิสลาม (OIC) และระหว ่างสภานิติศาสตร์อิสลามขององค์การอัรรอบเฏาะฮ์ กับสภานิติศาสตร์อิสลาม ขององค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ท่านาอาจารย์อรุณ บุญชมเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรกของประเทศไทยที่ได้รับเกียรติให้ขึ้นเวทีการประชุม ระดับนานาชาติขององค์การอัรรอบิเฏาะฮ์(อัลฮัมดุลิลลาฮ์)
⦿ปฏิญญามักกะฮ์ 28 ข้อนี้ มีข้อที่น่าสนใจเช่น
8. “การมีกลุ่มนิกายและความคิดเห็นที่หลากหลายถือเป็นกฎเกณฑ์ของโลกที่ถูกกำหนดโดยพระผู้เป็นเจ้า” … สิ่งที่ทำให้กลุ่มนิกายรวมกันเป็นหนึ่งย่อมยิ่งใหญ่ และสำคัญกว่าสิ่งที่ทำให้แตกแยก โดยเฉพาะ 2 คำปฏิญาณ (2ชะฮาดะฮ์) และสิ่งที่รวมพวกเขาในความเป็นภราดรภาพย่อมสำคัญและยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่ทำให้ทัศนะและ ความเห็นของพวกเขามีความแตกต่างกัน
15. สัญลักษณ์ของการแบ่งแยกกลุ่มนิกาย และการปฏิบัติที่กระตุ้นให้เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มนิกายเป็นต้นตอความหายนะ ในเส้นทางของประวัติศาสตร์อันเจ็บปวด ปรากฏให้เห็นเปลวไฟแห่งความคลั่งไคล้ความรุนแรง ความปั่นป่วนและผลลัพธ์ที่ตามมา เป็น โศกนาฏกรรมแห่งความเคียดแค้น ความเกลียดชัง และความหมางเมิน ทั้งหมดล้วนทำลายสายใยแห่งภราดรภาพทางศาสนา และทำลาย เจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่ของอิสลาม
17. การกล่าวหาผู้อื่นว่าเป็นกาเฟร ( ออกนอกศาสนา) เป็นผู้ทำบิดอะฮ์( อุตริกรรมทางศาสนา) เป็นผู้หลงผิด (เฏาะลาละฮ์) ถือ เป็นการตัดสินทางศาสนาที่ไม่สามารถกระทำได้เว้นแต่จะมีหลักฐานที่แน่ชัด หาไม่แล้วก็จะเกิดความเสียหาย และความพินาศ ดังนั้นจึง ไม่อนุญาตให้ชาวมุสลิม หรือนักศึกษาทั่วไปใช้การตัดสินดังกล่าวกับผู้ที่เห็นต่างจากพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นบุคคล องค์กร สถาบัน หรือที่คล้ายกัน การตัดสินดังกล่าวควรให้เป็นหน้าที่ขององค์กรที่ได้รับการยอมรับในด้านวิชาการและความยุติธรรม และมีหน้าที่รับผิดชอบเท่านั้น และ ควรใช้หลักฐานต่างๆทางศาสนา ที่นักวิชาการเห็นตรงกันไม่ขัดแย้งกัน
27. การทะเลาะวิวาทกันระหว่างมุสลิม การก่อกวนความรู้สึกทางนิกาย(มัซฮับ) การดูหมิ่นสัญลักษณ์และการดูหมิ่นคำวินิจฉัย ล้วนเป็นการกระทำที่ไม่สนองตอบต่อเป้าหมาย และไม่เป็นภัยอันตรายใดๆแก่ศัตรู แต่เป็นการผิดศีลธรรมที่นำมาซึ่งความชั่วร้ายยังตัว บุคคล หลักคำสอน ชื่อเสียง และความเศร้าโศกในจิตวิญญาณของพวกเขา และบ่อยครั้งที่สิ่งดังกล่าวกลายเป็นสิ่งที่คนอื่นหยิบยกขึ้นมา โจมตีและพาดพิงในทางที่เสียหายยังศาสนาของพวกเขา ด้วยความไม่รู้หรือด้วยเจตนา
อ้างอิง The Global Conferentce For Building Bridges Between Islamic Schools of Thought and Sects ) ,ผศ.ดร.อับดุลเลาะ หนุ่มสุข , วารสารมุสลิมบางกอก ฉบับที่ 75
บทความโดย เยาฮารี แหละตี
ที่มา https://www.facebook.com/arayawedding/posts/876817594481269