SCMP ทำสกู๊ปข่าว เกิดอะไรขึ้นกับฟุตบอลอาชีพในจีน ซึ่งน่าสนใจมากซึ่งถ้าเราดูและถอดบทเรียนการพัฒนาฟุตบอลของจีน บทเรียนบางอย่างนำมาเป็นกรณีศึกษาสำหรับพัฒนาฟุตบอลและกีฬาอื่นๆของไทย ขอแท็กวอลเลย์บอลด้วย เพราะคิดว่าบางแง่มุมมันเกิดขึ้นในกีฬาวอลเลย์บอลไทยด้วย (รายละเอียดทั้งหมดดูในวิดีโอข่าวด้านล่างสุด)
จีนจากที่เคยเข้าร่วม world cup ในปี 2002 และอยู่ในอันดับ 63 ใน world ranking แต่ปีนี้ (2024) ตกมาอยู่อันดับ 88
ในปี 2017 จีนมีเม็ดเงินไหลเวียนในสโมสรฟุตบอลต่างๆมากกว่าอังกฤษด้วยซ้ำ
ความล้มเหลวของการพัฒนาฟุตบอลในระดับสโมสรและระดับทีมชาติ
ในปี 2021 เกิดวิกฤติในภาคอสังหา (ในตอนนั้น 10 ใน 16 สโมสรฟุตบอลของจีน เจ้าของเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์) แต่รายได้จากการลงทุนในกีฬาฟุตบอลกลับไม่สามารถชดเชยความเสียหายจากธุรกิจหลักได้ กล่าวคือรายได้ที่ขายตั๋วเข้าชมฟุตบอลเพียง 1000 หยวน ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบค่าตัวและเงินเดือนนักเตะ บริษัทเจ้าของสโมสรจึงไปไม่รอดและกลับเป็นหนี้ก้อนมหึมา กรณีที่โด่งดังเช่น Jiangsu FC, และบริษัท Evergrande เจ้าของสโมสรกว่างโจว (สนามฟุตบอล Evergrande ขนาดความจุ 100,000 ที่นั่งปัจจุบันถูกทิ้งร้างและสร้างไม่เสร็จ)

แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมด ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการโฟกัสไปที่ทีมชาติจริงๆมันไม่ก่อให้เกิดดอกผลขึ้นมา เพราะลีกจีนบางครั้งถูกหยุดโดยการเข้าค่ายฝึกของทีมชาติซึ่งบางครั้งนานกว่า 1 เดือน นอกจากนี้บางครั้งการที่นักเตะชั้นนำของสโมสรถูกเรียกเข้าแคมป์ทีมชาติส่งผลให้ผลงานของทีมย่ำแย่ลงไปด้วย
Cameron Willson บรรณาธิการผู้ก่อตั้ง Wild East Football กล่าวว่า "ทีมชาติจำเป็นต้องมีระบบที่สามารถสร้างศักยภาพให้กับผู้เล่น เมื่อคุณเล่นให้กับทีมชาติ คุณถูกฝึกในช่วงเวลาเช่น 2 สัปดาห์ แต่การฝึกมันไม่ดีเท่ากับการเล่นจริงเช่นในลีค ถ้าคุณทำให้สโมสรฟุตบอลท้องถิ่นประสบความสำเร็จ นี่ต่างหากคือหนทางในการประชาสัมพันธ์อาชีพที่มีความเป็นไปได้/ศักยภาพของฟุตบอลสำหรับเด็กจีนทุกคน"
การแพ้เวียดนามเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในรอบคัดเลือก Qatar World Cup ในปี 2022 ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความเชื่อเช่น ฟุตบอลไม่ใช่กีฬายอดนิยมของจีน คนจีนจึงเล่นฟุตบอลไม่เยอะเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น

ฟ่านจื่ออี อดีตกัปตันฟุตบอลจีนวิจารณ์อย่างรุนแรงว่า
"ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรามีประธานสมาคมฟุตบอลกี่คนแล้ว? แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ยังไงเราก็จะแพ้เวียดนาม หลังจากนั้นก็จะแพ้ไทย แพ้พม่า แล้วจะแพ้ใครอีก สมาคมฟุตบอลจีนหน้าไม่อาย"
คำสัมภาษณ์ของเขาถูกเผยแพร่แม้แต่ในทีวีของรัฐซึ่งเป็นสื่อทางการ เป็นเรื่องที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในจีน
ในปี 2016 รัฐบาลจีนเคยกำหนดพิมพ์เขียวเพื่อการพัฒนากีฬาฟุตบอล เช่น สร้างโรงเรียนฟุตบอล สนามฟุตบอล ฝึกนักฟุตบอล 50 ล้านคน และสร้างนักฟุตบอลระดับประถมและมัธยม 30 ล้านคน และตั้งเป้าหมายจะเป็นมหาอำนาจฟุตบอลในปี 2050
ภารกิจข้างต้นหลายอย่างสำเร็จไปแล้ว แต่ฟุตบอลจีนกับไม่มีการพัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าปัญหาอยู่ที่นโยบายและการปฏิรูปว่าถูกเอาไปปฏิบัติจริงยังไง
วิธีที่จีนทำคือ ทำตาม KPI เช่น บอกให้สร้างสนามก็สร้างแล้วไง บอกให้สร้างโรงเรียนก็สร้างแล้วไง แต่ระบบศึกษาที่มีการสอบแข่งขันกันแบบดุเดือดของจีนส่งผลให้การเข้าร่วมในการพัฒนาฟุตบอลเหมือนเป็นกิจกรรมนันทนาการเช่น เต้นถือลูกฟุตบอล (เหมือนทำส่งๆให้ครบตาม KPI)
วัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญ เพราะในจีนการศึกษาถูกให้ความสำคัญมาก่อนอย่างอื่น เด็กหลายคนออกจากโครงการนักฟุตบอลเยาวชนเพราะความกดดันด้านการเรียน ผู้ปกครองจึงไม่อยากให้เด็กไปเสี่ยงกับการเป็นนักกีฬาฟุตบอลซึ่งไม่มีเส้นทาางความก้าวหน้าที่ชัดเจน โดยเฉพาะสำหรับยุวชน/เยาวชน และท้ายที่สุดการลงทุนของจีนก็ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนานักกีฬาเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง
ความหวังของกีฬาฟุตบอลจีนบางทีอาจจะอยู่ที่เมืองเล็กๆในจังหวัดทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนอย่างกุ้ยโจวซึ่งมีลีกหมู่บ้านที่เกิดจากกระชับมิตรระหว่างทีมหมู่บ้านกับอีเวนท์ระดับชาติซึ่งมีนักแสดงภาพยนตร์และนักกีฬาที่เกษียณแล้วระดับโลกอย่างกาก้าเข้าร่วมแข่งขัน ปัจจุบันเป็นลีคที่เต็มไปด้วยความสุข อารมณ์ร่วม (passion) และความตื่นเต้น
"มันมีหลายทางที่จะส่งเสริมการมีส่วนร่วมในระดับรากหญ้า โดยไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในระดับโรงเรียนหรืออคาเดมี่ฟุตบอล และมีความสำคัญถ้าเราสามารถใช้ประโยชน์จากฟุตบอลในการสนับสนุนภาคส่วนอื่นๆ เช่น การท่องเที่ยวและการการศึกษา เพื่อให้เราสามารถดึงผู้มีส่วนได้สูญเสียเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในการพัฒนากีฬาร่วมกัน" ผศ. Pu Haozhaou ภาควิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและการกีฬา มหาวิทยาลัยเดย์ตัน กล่าว
source:
อดีตกัปตันทีมชาติจีนพ้อ "แพ้เวียดนาม..ไทย..แล้วจะแพ้ใครอีก?": ถอดบทเรียนการพัฒนากีฬา(ฟุตบอล)ที่ล้มเหลวของจีน
จีนจากที่เคยเข้าร่วม world cup ในปี 2002 และอยู่ในอันดับ 63 ใน world ranking แต่ปีนี้ (2024) ตกมาอยู่อันดับ 88
ในปี 2017 จีนมีเม็ดเงินไหลเวียนในสโมสรฟุตบอลต่างๆมากกว่าอังกฤษด้วยซ้ำ
ความล้มเหลวของการพัฒนาฟุตบอลในระดับสโมสรและระดับทีมชาติ
ในปี 2021 เกิดวิกฤติในภาคอสังหา (ในตอนนั้น 10 ใน 16 สโมสรฟุตบอลของจีน เจ้าของเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์) แต่รายได้จากการลงทุนในกีฬาฟุตบอลกลับไม่สามารถชดเชยความเสียหายจากธุรกิจหลักได้ กล่าวคือรายได้ที่ขายตั๋วเข้าชมฟุตบอลเพียง 1000 หยวน ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบค่าตัวและเงินเดือนนักเตะ บริษัทเจ้าของสโมสรจึงไปไม่รอดและกลับเป็นหนี้ก้อนมหึมา กรณีที่โด่งดังเช่น Jiangsu FC, และบริษัท Evergrande เจ้าของสโมสรกว่างโจว (สนามฟุตบอล Evergrande ขนาดความจุ 100,000 ที่นั่งปัจจุบันถูกทิ้งร้างและสร้างไม่เสร็จ)
แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมด ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการโฟกัสไปที่ทีมชาติจริงๆมันไม่ก่อให้เกิดดอกผลขึ้นมา เพราะลีกจีนบางครั้งถูกหยุดโดยการเข้าค่ายฝึกของทีมชาติซึ่งบางครั้งนานกว่า 1 เดือน นอกจากนี้บางครั้งการที่นักเตะชั้นนำของสโมสรถูกเรียกเข้าแคมป์ทีมชาติส่งผลให้ผลงานของทีมย่ำแย่ลงไปด้วย
Cameron Willson บรรณาธิการผู้ก่อตั้ง Wild East Football กล่าวว่า "ทีมชาติจำเป็นต้องมีระบบที่สามารถสร้างศักยภาพให้กับผู้เล่น เมื่อคุณเล่นให้กับทีมชาติ คุณถูกฝึกในช่วงเวลาเช่น 2 สัปดาห์ แต่การฝึกมันไม่ดีเท่ากับการเล่นจริงเช่นในลีค ถ้าคุณทำให้สโมสรฟุตบอลท้องถิ่นประสบความสำเร็จ นี่ต่างหากคือหนทางในการประชาสัมพันธ์อาชีพที่มีความเป็นไปได้/ศักยภาพของฟุตบอลสำหรับเด็กจีนทุกคน"
การแพ้เวียดนามเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในรอบคัดเลือก Qatar World Cup ในปี 2022 ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความเชื่อเช่น ฟุตบอลไม่ใช่กีฬายอดนิยมของจีน คนจีนจึงเล่นฟุตบอลไม่เยอะเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น
ฟ่านจื่ออี อดีตกัปตันฟุตบอลจีนวิจารณ์อย่างรุนแรงว่า
"ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรามีประธานสมาคมฟุตบอลกี่คนแล้ว? แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ยังไงเราก็จะแพ้เวียดนาม หลังจากนั้นก็จะแพ้ไทย แพ้พม่า แล้วจะแพ้ใครอีก สมาคมฟุตบอลจีนหน้าไม่อาย"
คำสัมภาษณ์ของเขาถูกเผยแพร่แม้แต่ในทีวีของรัฐซึ่งเป็นสื่อทางการ เป็นเรื่องที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในจีน
ในปี 2016 รัฐบาลจีนเคยกำหนดพิมพ์เขียวเพื่อการพัฒนากีฬาฟุตบอล เช่น สร้างโรงเรียนฟุตบอล สนามฟุตบอล ฝึกนักฟุตบอล 50 ล้านคน และสร้างนักฟุตบอลระดับประถมและมัธยม 30 ล้านคน และตั้งเป้าหมายจะเป็นมหาอำนาจฟุตบอลในปี 2050
ภารกิจข้างต้นหลายอย่างสำเร็จไปแล้ว แต่ฟุตบอลจีนกับไม่มีการพัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าปัญหาอยู่ที่นโยบายและการปฏิรูปว่าถูกเอาไปปฏิบัติจริงยังไง
วิธีที่จีนทำคือ ทำตาม KPI เช่น บอกให้สร้างสนามก็สร้างแล้วไง บอกให้สร้างโรงเรียนก็สร้างแล้วไง แต่ระบบศึกษาที่มีการสอบแข่งขันกันแบบดุเดือดของจีนส่งผลให้การเข้าร่วมในการพัฒนาฟุตบอลเหมือนเป็นกิจกรรมนันทนาการเช่น เต้นถือลูกฟุตบอล (เหมือนทำส่งๆให้ครบตาม KPI)
วัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญ เพราะในจีนการศึกษาถูกให้ความสำคัญมาก่อนอย่างอื่น เด็กหลายคนออกจากโครงการนักฟุตบอลเยาวชนเพราะความกดดันด้านการเรียน ผู้ปกครองจึงไม่อยากให้เด็กไปเสี่ยงกับการเป็นนักกีฬาฟุตบอลซึ่งไม่มีเส้นทาางความก้าวหน้าที่ชัดเจน โดยเฉพาะสำหรับยุวชน/เยาวชน และท้ายที่สุดการลงทุนของจีนก็ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนานักกีฬาเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง
ความหวังของกีฬาฟุตบอลจีนบางทีอาจจะอยู่ที่เมืองเล็กๆในจังหวัดทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนอย่างกุ้ยโจวซึ่งมีลีกหมู่บ้านที่เกิดจากกระชับมิตรระหว่างทีมหมู่บ้านกับอีเวนท์ระดับชาติซึ่งมีนักแสดงภาพยนตร์และนักกีฬาที่เกษียณแล้วระดับโลกอย่างกาก้าเข้าร่วมแข่งขัน ปัจจุบันเป็นลีคที่เต็มไปด้วยความสุข อารมณ์ร่วม (passion) และความตื่นเต้น
"มันมีหลายทางที่จะส่งเสริมการมีส่วนร่วมในระดับรากหญ้า โดยไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในระดับโรงเรียนหรืออคาเดมี่ฟุตบอล และมีความสำคัญถ้าเราสามารถใช้ประโยชน์จากฟุตบอลในการสนับสนุนภาคส่วนอื่นๆ เช่น การท่องเที่ยวและการการศึกษา เพื่อให้เราสามารถดึงผู้มีส่วนได้สูญเสียเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในการพัฒนากีฬาร่วมกัน" ผศ. Pu Haozhaou ภาควิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและการกีฬา มหาวิทยาลัยเดย์ตัน กล่าว
source: