หอค้าไทย-จีน 75% กังวลเศรษฐกิจ ปี67 ธุรกิจปิดตัวแล้ว 2 พันที่ กระทบงาน 4 หมื่นตำแหน่ง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4689164
หอการค้าไทย-จีน 75% กังวลภาวะเศรษฐกิจ แนะรัฐแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เร่งรัด 4 เรื่อง เคาะมาตรการเพิ่มรายได้-ลดต้นทุน
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม นาย
ณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยจีนประจำไตรมาสที่สามปี 2567 ระหว่างวันที่ 20-28 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยมีผู้ให้ข้อมูลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นฯ ประกอบด้วย สาม กลุ่ม คือ 1. ประธาน คณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และกรรมการหอการค้าไทยจีน 2. ประธาน และกรรมการสมาชิกสมาคมต่าง ๆ ของสหพันธ์หอการค้าไทยจีน และ 3. กลุ่มนักธุรกิจ รุ่นใหม่ของหอการค้าไทยจีน เป็นจำนวนทั้งหมด 431 คน
ในภาพรวมการสำรวจครั้งนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและจีน และผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2567 และความพร้อมของเศรษฐกิจไทยที่จะรองรับเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ
กลุ่มหอการค้าไทยจีน กลุ่มสหพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ของหอการค้าไทยจีน มีความเห็นสอดคล้องกันว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสงครามทางการค้า เป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ความไม่สงบทางการทหาร และปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
“
ในภาพรวม มากถึงร้อยละ 75 ของผู้ให้ข้อมูลการสำรวจทั้งหมด มีความกังวลที่สุดจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่จะเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย”
ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง และทำให้ผู้ประกอบการในจีนมีสินค้าคงเหลือจำนวนมาก ทางออกหนึ่งคือ การส่งสินค้าออกสู่ตลาดโลกในราคาที่ถูกกว่าปกติ อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าครัวเรือน จากที่ผู้ให้ข้อมูลการสำรวจเป็นผู้ประกอบการ ร้อยละ 35.1 และ 27.6 มีความกังวลมาก และมีความกังวลบ้างตามลำดับ ของการที่สินค้าจีนจะเข้ามาตีตลาดไทย
ในขณะที่ปัญหาการกีดกันทางการค้าและสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่มีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้น ผู้ให้ข้อมูลจำนวนร้อยละ 52.1 คาดการณ์ว่าธุรกิจของจีนจะมาค้าขายและย้ายฐานการผลิตกับประเทศสมาชิกอาเซียนเพิ่มมาก
ขณะที่ร้อยละ 28.1 ลงความเห็นว่า ธุรกิจของจีนจะมาค้าขายและย้ายฐานการผลิตกับประเทศสมาชิกอาเซียนเพิ่มมากที่สุด หากพิจารณา ความเห็นถึงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศ ร้อยละ 33.9 ของผู้ให้ข้อมูลการสำรวจ มีความเห็นว่าควรลดการลงทุนในทุกๆตลาดจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ขณะที่ ร้อยละ 33.4 มีความเห็นว่าอาเซียนน่าลงทุนมากที่สุด เมื่อเทียบกับจีนและสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้พอจะสรุปเป็นสังเขปได้ว่า บทบาทของจีนในอาเซียนน่าจะมีมากขึ้น และอาเซียนยังเป็นกลุ่มประเทศที่น่าลงทุนอยู่
จากข้อคิดเห็นที่ว่าจีนให้ความสนใจลงทุนในอาเซียนนั้น และหากจีนจะขยายฐานการลงทุนมายังประเทศไทยแล้วนั้น ไทยต้องมีความพร้อมทางด้านใด ผู้ให้ข้อมูลการสำรวจทั้งสามกลุ่มมีความเห็นตรงกัน ในความพร้อม สอง ประเด็น คือ 1.สถานการณ์การเมืองในประเทศที่มีเสถียรภาพ และ 2.กฎหมายที่อำนวยความสะดวกและโปร่งใส มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม มีอัตราการคอรับชั่นต่ำ และมีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำ นั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่จะดึงดูดนักลงทุนชาวจีนมาวางฐานธุรกิจ และการลงทุนในประเทศไทย
คำตอบที่เป็นลำดับรองลงมาคือ 3.ไทยต้องรักษาบทบาทความเป็นกลางเพื่อความสมดุลทางการเมืองระหว่างประเทศทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา และ 4.การมีความพร้อมของระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้าและน้ำ และมีแรงงานที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพ
ในส่วนของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ในระยะเวลาห้าเดือนแรกของปี 2567 อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องมาจากราคาของพลังงาน อาหารสดและสำเร็จรูป เครื่องดื่ม ค่าเดินทางและค่าเช่าบ้าน ร้อยละ 47.9 ของผู้ให้ข้อมูลการสำรวจ คาดว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อจนถึงสิ้นปี จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างเล็กน้อย แต่ร้อยละ 44.1 ที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากปัญหาของเงินเฟ้อแล้ว ตั้งแต่ต้นปี 2567 มีกิจการที่ปิดตัวลงไปแล้วเกือบ 2,000 แห่ง และมีผลกระทบต่อจำนวนแรงงานมากกว่า 40,000 ตำแหน่ง
โดยมีอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสูง กล่าวคือ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องนุ่งห่ม การพิมพ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องหนังและรองเท้า เกษตรขั้นพื้นฐาน และยางพารา ผู้ให้ข้อมูลการสำรวจมีความเห็นสอดคล้องกันว่า คือ 1.อุตสาหกรรมภาคบริการ ที่ประกอบด้วย การท่องเที่ยว โรงแรม และอาหารและเครื่องดื่ม และ 2.อุตสาหกรรมการเกษตรและเกษตรแปรรูป ยังที่สามารถเติบโตต่อไปได้ดีในปี 2567
ผลการสำรวจความคิดเห็นในครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า โดยที่ได้มีการจัดเรียงลำดับความสำคัญดังต่อไปนี้ มาตรการกระตุ้นให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น ถูกเลือกมาเป็นอันดับแรกสุด ซึ่งมีอีกสี่มาตรการที่ให้ความสำคัญในระดับรองลงมา โดยทั้งสี่มาตรการที่มีน้ำหนักความสำคัญใกล้เคียงกัน กล่าวคือ
1.การสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ทันสมัย และหาตลาดใหม่เพื่อการส่งออก 2.เร่งลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และสนับสนุนให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง 3.เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ และ 4.เร่งฟื้นฟูภาคการเกษตรพร้อมกับส่งเสริมให้เกิดการผลิตสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่ม
สำหรับการค้าระหว่างประเทศจีนและไทย ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 นี้ ขยายตัว 2.6% มีมูลค่า 65,032 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยนำเข้าจากจีน มูลค่า 41,423 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 9.2% ส่วนการส่งออกของไทยไปจีน มีมูลค่า 23,608 ล่านเหรียญสหรัฐ หดตัว 7.2% โดยประเทศไทยเป็นประเทศคู่ค้าอันดับสามของจีนในอาเซียน รองจากเวียดนาม อันดับ 1 และมาเลเซีย อันดับ 2
บะหมี่ซอง 2 หมื่นล้านแข่งเดือด ‘มาม่า-ยำยำ’ ถล่มราคา ฝ่าวิกฤตกำลังซื้อ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4685904
บะหมี่ซอง 2 หมื่นล้านแข่งเดือด
‘มาม่า-ยำยำ’ถล่มราคา ฝ่าวิกฤตกำลังซื้อ
ในยุคที่ข้าวยากหมากแพง รายได้ตามไม่ทันรายจ่าย เพื่อนพึ่งพายามยาก คงจะหนีไม่พ้น ‘
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป’ หรือที่คนไทยเรียกติดปากกันว่า ‘
มาม่า’ ที่มักจะเป็นอาหารยอดนิยม จนมีการนำยอดขายในแต่ละปีมาเป็นตัวชี้วัดถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับปี 2567 หลังหันหลัง แลหน้า มีแต่เสียงสะท้อน “
เศรษฐกิจไทยโตต่ำ กำลังซื้อทรุดหนัก” จึงประเมินกันว่าปี 2567 กราฟยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปน่าจะเติบโตสูงขึ้น แม้ว่าตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทยเริ่มเห็นสัญญาณถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็ตาม
พันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา “
มาม่า” กล่าวว่า ถึงแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้กำลังซื้อชะลอตัว แต่ภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทยในรอบ 6 เดือนของปี 2567 ถือว่าดีกว่าที่คาด โต 8% โดยมาม่ามียอดขายประมาณ 5,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 6% ได้แรงกระตุ้นจากการส่งเสริมการตลาด เนื่องจากตลาดบะหมี่มีการแข่งขันดุเดือด ทุกยี่ห้อแข่งจัดโปรโมชั่นและออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อแย่งชิงแชร์ในตลาด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากต้นทุนเริ่มนิ่ง ทำให้แต่ละยี่ห้อกลับมาทำการตลาดมากขึ้น แต่เป็นผลดีต่อผู้บริโภคเพราะมีทางเลือกมากขึ้น
“
อย่างไรก็ตาม ยอดขายของมาม่าที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้สะท้อนถึงกำลังซื้อหรือเศรษฐกิจโดยภาพรวมว่าดีหรือไม่ดี เนื่องจากไม่ว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี มาม่าก็ยังขายได้ เพราะเป็นสินค้าที่คนยังต้องเลือกซื้อติดไว้ในบ้าน มันไม่ได้สะท้อนว่าคนไม่มีเงินแล้วมากิน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมผู้บริโภคมากกว่า ตอนนี้เงินในกระเป๋าคนน้อยลงเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะคนมีค่าใช้จ่ายเยอะขึ้น จากแรงจูงใจใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุขของตัวเองเยอะขึ้น คาดว่าครึ่งปีหลังนี้ กำลังซื้อในตลาดน่าจะทรงตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก มองว่าตลอดทั้งปีนี้จะเติบโต 4-5% และคงรอดูผลจากเงินดิจิทัลวอลเล็ตด้วย”
พันธ์กล่าว
“
พันธ์” กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีมูลค่าอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท ซึ่งมาม่ายังครองส่วนแบ่งการตลาดมากสุดประมาณ 48-49% รองลงมาเป็นยำยำกับไวไว จากนั้นเป็นนิชชิน และบะหมี่นำเข้า ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2567 เรามองว่าตลาดน่าจะทรงตัว แต่พอเข้าเดือนเมษายน มีการบริโภคมากขึ้น ผลจากการที่แต่ละยี่ห้อแข่งจัดแคมเปญ ลดราคา เลยทำให้ตลาดคึกคักขึ้น
“
ช่วงครึ่งปีหลังมาม่าจะมีออกสินค้าใหม่ ทำแคมเปญ สนับสนุนการขาย จัดโปรโมชั่นลดราคาอย่างต่อเนื่อง โดยสินค้าใหม่ที่จะออกมีทั้งสินค้าราคาปกติและสินค้าพรีเมียม ซึ่งตอนนี้ในส่วนของมาม่าโอเค เติบโตค่อนข้างดี มียอดขายอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10% ของตลาด” พันธ์กล่าว
ยังขยายความว่า ก่อนหน้านี้มาม่าออกสินค้าใหม่ มี “
มาม่าคัพ” ซีรีส์ FUSION ในถ้วยเดียวมี 2 รสชาติ ได้แก่ รสเป็ดพะโล้และรสต้มแซ่บ กับรสต้มแซ่บและรสกะเพราแซ่บ แบบแห้ง สไตล์อีสาน ด้าน “
มาม่าโอเค” ล่าสุดออก 2 รสชาติใหม่ “ทาโกะยากิ” และ “พะแนงเนื้อ” ซึ่งการเปิดตัว 2 รสชาติใหม่ ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท จัดแคมเปญการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขาย รวมถึงนำศิลปินอย่าง “อิ้งค์-วรันธร เปานิล” เป็นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด
สำหรับสถานการณ์การส่งออก “
พันธ์” อัพเดตในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ตลาดส่งออกมียอดขายเติบโตประมาณ 5-6% เนื่องจากติดเรื่องการขนส่งทางเรือที่ต้องรอรอบนาน ขณะเดียวกันยังมีแผนขยายตลาดต่างประเทศใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าที่ยุโรปจะขยายกำลังการผลิตเพิ่ม หลังตลาดมีดีมานด์รองรับค่อนข้างมาก รวมถึงจะขยายตลาดไปยังประเทศจีนโดยจะร่วมกับพาร์ตเนอร์ในประเทศจีน ค่อยๆ เจาะตลาดในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากตลาดบะหมี่ในจีนเป็นตลาดใหญ่และกว้างมาก นอกจากนี้การบริโภคของคนจีนในปัจจุบัน เทรนด์ไม่ค่อยชอบอาหารไทยมีจำนวนมากขึ้น จึงต้องขายความเป็นไทยเข้าไป ถึงเราจะเป็นตลาดเล็กในจีน ปัจจุบันมาม่าทำตลาดในประเทศ 70% และตลาดต่างประเทศ 30%
ฝั่ง “
ยำยำ” ซึ่งเป็นสินค้าในเครืออายิโนะโมะโต๊ะ ล่าสุด “
อิชิโระ ซะกะกุระ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศชัด “
ยังไปได้ดี และมีการออกสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2567 นี้ ยำยำยังครองส่วนแบ่งในตลาดเป็นอันดับ 2 ในสัดส่วน 21% ของมูลค่าตลาดรวม 20,000 ล้านบาท”
ขณะที่
กิตติพศ ชาญภาวรกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท วันไทย อุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย “
ยำยำ” กล่าวว่า ปัจจุบันกำลังซื้อค่อนข้างทรงตัว ไม่หวือหวา ทำให้ยอดขายค่อนข้างช้า ต้องมีการจัดทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยร่วมกับห้างและไฮเปอร์มาร์เก็ตในการทำโปรโมชั่นต่างๆ เช่น ลดราคา เป็นต้น ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายให้ดีขึ้นมากบ้างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยปี 2567 นี้ ยำยำตั้งเป้ามียอดขายเติบโตประมาณ 3-5% แต่ยังกังวลว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ เนื่องจากกำลังซื้อไม่ค่อยดีและตลาดมีการแข่งขันที่ดุเดือด
JJNY : หอค้าไทย-จีน 75% กังวลศก.67│บะหมี่ซองแข่งเดือด ฝ่าวิกฤตกำลังซื้อ│วิเคราะห์ 3 แนวทาง│หลายปท.ในยุโรปเผชิญร้อนจัด
https://www.matichon.co.th/economy/news_4689164
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยจีนประจำไตรมาสที่สามปี 2567 ระหว่างวันที่ 20-28 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยมีผู้ให้ข้อมูลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นฯ ประกอบด้วย สาม กลุ่ม คือ 1. ประธาน คณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และกรรมการหอการค้าไทยจีน 2. ประธาน และกรรมการสมาชิกสมาคมต่าง ๆ ของสหพันธ์หอการค้าไทยจีน และ 3. กลุ่มนักธุรกิจ รุ่นใหม่ของหอการค้าไทยจีน เป็นจำนวนทั้งหมด 431 คน
ในภาพรวมการสำรวจครั้งนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและจีน และผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2567 และความพร้อมของเศรษฐกิจไทยที่จะรองรับเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ
กลุ่มหอการค้าไทยจีน กลุ่มสหพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ของหอการค้าไทยจีน มีความเห็นสอดคล้องกันว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสงครามทางการค้า เป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ความไม่สงบทางการทหาร และปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก
“ในภาพรวม มากถึงร้อยละ 75 ของผู้ให้ข้อมูลการสำรวจทั้งหมด มีความกังวลที่สุดจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่จะเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย”
ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง และทำให้ผู้ประกอบการในจีนมีสินค้าคงเหลือจำนวนมาก ทางออกหนึ่งคือ การส่งสินค้าออกสู่ตลาดโลกในราคาที่ถูกกว่าปกติ อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าครัวเรือน จากที่ผู้ให้ข้อมูลการสำรวจเป็นผู้ประกอบการ ร้อยละ 35.1 และ 27.6 มีความกังวลมาก และมีความกังวลบ้างตามลำดับ ของการที่สินค้าจีนจะเข้ามาตีตลาดไทย
ในขณะที่ปัญหาการกีดกันทางการค้าและสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่มีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้น ผู้ให้ข้อมูลจำนวนร้อยละ 52.1 คาดการณ์ว่าธุรกิจของจีนจะมาค้าขายและย้ายฐานการผลิตกับประเทศสมาชิกอาเซียนเพิ่มมาก
ขณะที่ร้อยละ 28.1 ลงความเห็นว่า ธุรกิจของจีนจะมาค้าขายและย้ายฐานการผลิตกับประเทศสมาชิกอาเซียนเพิ่มมากที่สุด หากพิจารณา ความเห็นถึงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศ ร้อยละ 33.9 ของผู้ให้ข้อมูลการสำรวจ มีความเห็นว่าควรลดการลงทุนในทุกๆตลาดจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ขณะที่ ร้อยละ 33.4 มีความเห็นว่าอาเซียนน่าลงทุนมากที่สุด เมื่อเทียบกับจีนและสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้พอจะสรุปเป็นสังเขปได้ว่า บทบาทของจีนในอาเซียนน่าจะมีมากขึ้น และอาเซียนยังเป็นกลุ่มประเทศที่น่าลงทุนอยู่
จากข้อคิดเห็นที่ว่าจีนให้ความสนใจลงทุนในอาเซียนนั้น และหากจีนจะขยายฐานการลงทุนมายังประเทศไทยแล้วนั้น ไทยต้องมีความพร้อมทางด้านใด ผู้ให้ข้อมูลการสำรวจทั้งสามกลุ่มมีความเห็นตรงกัน ในความพร้อม สอง ประเด็น คือ 1.สถานการณ์การเมืองในประเทศที่มีเสถียรภาพ และ 2.กฎหมายที่อำนวยความสะดวกและโปร่งใส มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม มีอัตราการคอรับชั่นต่ำ และมีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำ นั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่จะดึงดูดนักลงทุนชาวจีนมาวางฐานธุรกิจ และการลงทุนในประเทศไทย
คำตอบที่เป็นลำดับรองลงมาคือ 3.ไทยต้องรักษาบทบาทความเป็นกลางเพื่อความสมดุลทางการเมืองระหว่างประเทศทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา และ 4.การมีความพร้อมของระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้าและน้ำ และมีแรงงานที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพ
ในส่วนของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ในระยะเวลาห้าเดือนแรกของปี 2567 อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องมาจากราคาของพลังงาน อาหารสดและสำเร็จรูป เครื่องดื่ม ค่าเดินทางและค่าเช่าบ้าน ร้อยละ 47.9 ของผู้ให้ข้อมูลการสำรวจ คาดว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อจนถึงสิ้นปี จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างเล็กน้อย แต่ร้อยละ 44.1 ที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากปัญหาของเงินเฟ้อแล้ว ตั้งแต่ต้นปี 2567 มีกิจการที่ปิดตัวลงไปแล้วเกือบ 2,000 แห่ง และมีผลกระทบต่อจำนวนแรงงานมากกว่า 40,000 ตำแหน่ง
โดยมีอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสูง กล่าวคือ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องนุ่งห่ม การพิมพ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องหนังและรองเท้า เกษตรขั้นพื้นฐาน และยางพารา ผู้ให้ข้อมูลการสำรวจมีความเห็นสอดคล้องกันว่า คือ 1.อุตสาหกรรมภาคบริการ ที่ประกอบด้วย การท่องเที่ยว โรงแรม และอาหารและเครื่องดื่ม และ 2.อุตสาหกรรมการเกษตรและเกษตรแปรรูป ยังที่สามารถเติบโตต่อไปได้ดีในปี 2567
ผลการสำรวจความคิดเห็นในครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า โดยที่ได้มีการจัดเรียงลำดับความสำคัญดังต่อไปนี้ มาตรการกระตุ้นให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น ถูกเลือกมาเป็นอันดับแรกสุด ซึ่งมีอีกสี่มาตรการที่ให้ความสำคัญในระดับรองลงมา โดยทั้งสี่มาตรการที่มีน้ำหนักความสำคัญใกล้เคียงกัน กล่าวคือ
1.การสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ทันสมัย และหาตลาดใหม่เพื่อการส่งออก 2.เร่งลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และสนับสนุนให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง 3.เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ และ 4.เร่งฟื้นฟูภาคการเกษตรพร้อมกับส่งเสริมให้เกิดการผลิตสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่ม
สำหรับการค้าระหว่างประเทศจีนและไทย ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 นี้ ขยายตัว 2.6% มีมูลค่า 65,032 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยนำเข้าจากจีน มูลค่า 41,423 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 9.2% ส่วนการส่งออกของไทยไปจีน มีมูลค่า 23,608 ล่านเหรียญสหรัฐ หดตัว 7.2% โดยประเทศไทยเป็นประเทศคู่ค้าอันดับสามของจีนในอาเซียน รองจากเวียดนาม อันดับ 1 และมาเลเซีย อันดับ 2
บะหมี่ซอง 2 หมื่นล้านแข่งเดือด ‘มาม่า-ยำยำ’ ถล่มราคา ฝ่าวิกฤตกำลังซื้อ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4685904
บะหมี่ซอง 2 หมื่นล้านแข่งเดือด
‘มาม่า-ยำยำ’ถล่มราคา ฝ่าวิกฤตกำลังซื้อ
ในยุคที่ข้าวยากหมากแพง รายได้ตามไม่ทันรายจ่าย เพื่อนพึ่งพายามยาก คงจะหนีไม่พ้น ‘บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป’ หรือที่คนไทยเรียกติดปากกันว่า ‘มาม่า’ ที่มักจะเป็นอาหารยอดนิยม จนมีการนำยอดขายในแต่ละปีมาเป็นตัวชี้วัดถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับปี 2567 หลังหันหลัง แลหน้า มีแต่เสียงสะท้อน “เศรษฐกิจไทยโตต่ำ กำลังซื้อทรุดหนัก” จึงประเมินกันว่าปี 2567 กราฟยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปน่าจะเติบโตสูงขึ้น แม้ว่าตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทยเริ่มเห็นสัญญาณถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็ตาม
พันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา “มาม่า” กล่าวว่า ถึงแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้กำลังซื้อชะลอตัว แต่ภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทยในรอบ 6 เดือนของปี 2567 ถือว่าดีกว่าที่คาด โต 8% โดยมาม่ามียอดขายประมาณ 5,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 6% ได้แรงกระตุ้นจากการส่งเสริมการตลาด เนื่องจากตลาดบะหมี่มีการแข่งขันดุเดือด ทุกยี่ห้อแข่งจัดโปรโมชั่นและออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อแย่งชิงแชร์ในตลาด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากต้นทุนเริ่มนิ่ง ทำให้แต่ละยี่ห้อกลับมาทำการตลาดมากขึ้น แต่เป็นผลดีต่อผู้บริโภคเพราะมีทางเลือกมากขึ้น
“อย่างไรก็ตาม ยอดขายของมาม่าที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้สะท้อนถึงกำลังซื้อหรือเศรษฐกิจโดยภาพรวมว่าดีหรือไม่ดี เนื่องจากไม่ว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี มาม่าก็ยังขายได้ เพราะเป็นสินค้าที่คนยังต้องเลือกซื้อติดไว้ในบ้าน มันไม่ได้สะท้อนว่าคนไม่มีเงินแล้วมากิน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมผู้บริโภคมากกว่า ตอนนี้เงินในกระเป๋าคนน้อยลงเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะคนมีค่าใช้จ่ายเยอะขึ้น จากแรงจูงใจใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุขของตัวเองเยอะขึ้น คาดว่าครึ่งปีหลังนี้ กำลังซื้อในตลาดน่าจะทรงตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก มองว่าตลอดทั้งปีนี้จะเติบโต 4-5% และคงรอดูผลจากเงินดิจิทัลวอลเล็ตด้วย” พันธ์กล่าว
“พันธ์” กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีมูลค่าอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท ซึ่งมาม่ายังครองส่วนแบ่งการตลาดมากสุดประมาณ 48-49% รองลงมาเป็นยำยำกับไวไว จากนั้นเป็นนิชชิน และบะหมี่นำเข้า ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2567 เรามองว่าตลาดน่าจะทรงตัว แต่พอเข้าเดือนเมษายน มีการบริโภคมากขึ้น ผลจากการที่แต่ละยี่ห้อแข่งจัดแคมเปญ ลดราคา เลยทำให้ตลาดคึกคักขึ้น
“ช่วงครึ่งปีหลังมาม่าจะมีออกสินค้าใหม่ ทำแคมเปญ สนับสนุนการขาย จัดโปรโมชั่นลดราคาอย่างต่อเนื่อง โดยสินค้าใหม่ที่จะออกมีทั้งสินค้าราคาปกติและสินค้าพรีเมียม ซึ่งตอนนี้ในส่วนของมาม่าโอเค เติบโตค่อนข้างดี มียอดขายอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10% ของตลาด” พันธ์กล่าว
ยังขยายความว่า ก่อนหน้านี้มาม่าออกสินค้าใหม่ มี “มาม่าคัพ” ซีรีส์ FUSION ในถ้วยเดียวมี 2 รสชาติ ได้แก่ รสเป็ดพะโล้และรสต้มแซ่บ กับรสต้มแซ่บและรสกะเพราแซ่บ แบบแห้ง สไตล์อีสาน ด้าน “มาม่าโอเค” ล่าสุดออก 2 รสชาติใหม่ “ทาโกะยากิ” และ “พะแนงเนื้อ” ซึ่งการเปิดตัว 2 รสชาติใหม่ ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท จัดแคมเปญการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขาย รวมถึงนำศิลปินอย่าง “อิ้งค์-วรันธร เปานิล” เป็นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด
สำหรับสถานการณ์การส่งออก “พันธ์” อัพเดตในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ตลาดส่งออกมียอดขายเติบโตประมาณ 5-6% เนื่องจากติดเรื่องการขนส่งทางเรือที่ต้องรอรอบนาน ขณะเดียวกันยังมีแผนขยายตลาดต่างประเทศใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าที่ยุโรปจะขยายกำลังการผลิตเพิ่ม หลังตลาดมีดีมานด์รองรับค่อนข้างมาก รวมถึงจะขยายตลาดไปยังประเทศจีนโดยจะร่วมกับพาร์ตเนอร์ในประเทศจีน ค่อยๆ เจาะตลาดในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากตลาดบะหมี่ในจีนเป็นตลาดใหญ่และกว้างมาก นอกจากนี้การบริโภคของคนจีนในปัจจุบัน เทรนด์ไม่ค่อยชอบอาหารไทยมีจำนวนมากขึ้น จึงต้องขายความเป็นไทยเข้าไป ถึงเราจะเป็นตลาดเล็กในจีน ปัจจุบันมาม่าทำตลาดในประเทศ 70% และตลาดต่างประเทศ 30%
ฝั่ง “ยำยำ” ซึ่งเป็นสินค้าในเครืออายิโนะโมะโต๊ะ ล่าสุด “อิชิโระ ซะกะกุระ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศชัด “ยังไปได้ดี และมีการออกสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2567 นี้ ยำยำยังครองส่วนแบ่งในตลาดเป็นอันดับ 2 ในสัดส่วน 21% ของมูลค่าตลาดรวม 20,000 ล้านบาท”
ขณะที่ กิตติพศ ชาญภาวรกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท วันไทย อุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย “ยำยำ” กล่าวว่า ปัจจุบันกำลังซื้อค่อนข้างทรงตัว ไม่หวือหวา ทำให้ยอดขายค่อนข้างช้า ต้องมีการจัดทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยร่วมกับห้างและไฮเปอร์มาร์เก็ตในการทำโปรโมชั่นต่างๆ เช่น ลดราคา เป็นต้น ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายให้ดีขึ้นมากบ้างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยปี 2567 นี้ ยำยำตั้งเป้ามียอดขายเติบโตประมาณ 3-5% แต่ยังกังวลว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ เนื่องจากกำลังซื้อไม่ค่อยดีและตลาดมีการแข่งขันที่ดุเดือด