"ไม่คัทเพราะกลัวขาดทุนหนัก สุดท้ายขาดทุนหนักกว่าเดิม" เกิดจากอะไร? มาดูกันครับ

กระทู้สนทนา
โดย Zyo: https://www.zyo71.com/


วันก่อน ผมโพสต์กระทู้นี้ในเฟสส่วนตัว ก็มี FC ท่านหนึ่งเมนต์ว่า "ไม่คัทเพราะกลัวขาดทุนหนัก สุดท้ายขาดทุนหนักกว่าเดิม" เลยได้แรงบันดาลใจทำบทความนี้ขึ้นมาครับ ว่าอาการ "ไม่คัทเพราะกลัวขาดทุนหนัก สุดท้ายหนักกว่าเดิม" ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่คราวเคราะห์  แต่เป็นพฤติกรรมที่พบนักเล่นหุ้นมือใหม่ส่วนใหญ่ของตลาด และสามารถอธิบายได้ผ่านหลายเหตุผลทางจิตวิทยา ประสบการณ์ และธรรมชาติของมนุษย์ ดังนี้:

เม่าร้องไห้
1. Loss Aversion (ความกลัวการสูญเสีย)
มนุษย์มักจะกลัวการสูญเสียมากกว่าที่จะได้รับกำไรในจำนวนเดียวกัน ความกลัวการสูญเสียทำให้ผู้คนยอมเสี่ยงที่จะขาดทุนมากขึ้นเพื่อไม่ให้เห็นการขาดทุนจริง ๆ ในปัจจุบัน

เม่าฝึกจิต
2. Confirmation Bias (อคติต่อการยืนยัน)
นักลงทุนมักจะมองหาข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อหรือการตัดสินใจของตนเอง และมองข้ามหรือไม่ยอมรับข้อมูลที่ขัดแย้งกับความเชื่อเหล่านั้น การไม่ยอมคัทขาดทุนอาจเกิดจากการเชื่อว่าหุ้นจะกลับมาฟื้นตัว

เม่าเคาะซื้อ
3. Overconfidence (ความมั่นใจเกินไป)
นักลงทุนมือใหม่อาจมีความมั่นใจในความสามารถของตนเองมากเกินไป ทำให้เชื่อว่าตนเองจะสามารถทนรอจนกว่าหุ้นจะฟื้นตัวกลับมาได้

เม่าแพนด้า
4. Sunk Cost Fallacy (ความผิดพลาดในการคิดคำนวณต้นทุนที่จม)
มนุษย์มักจะยึดติดกับการลงทุนที่เคยทำมาแล้ว แม้ว่าจะรู้ว่ามันไม่คุ้มค่าอีกต่อไป การไม่คัทขาดทุนเป็นการยึดติดกับต้นทุนที่จมไปแล้ว หวังว่าจะไม่สูญเสียไปมากกว่านี้

เม่าสงสัย
5. Emotional Attachment (การผูกพันทางอารมณ์)
นักลงทุนบางคนอาจผูกพันกับหุ้นบางตัวมากเกินไป เช่น เป็นหุ้นที่ซื้อมานาน หรือมีความรู้สึกส่วนตัวต่อบริษัทนั้น ๆ ทำให้ยากที่จะยอมรับการขาดทุน

เม่าบัลเล่ต์
6. Lack of Experience (ขาดประสบการณ์)
นักลงทุนมือใหม่อาจไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับการขาดทุน และไม่ทราบว่าการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน ความไม่รู้ทำให้เกิดความกลัวและการตัดสินใจที่ผิดพลาด

เม่านักช้อป
7. Herd Mentality (พฤติกรรมตามกลุ่ม)
บางครั้งนักลงทุนอาจตัดสินใจโดยยึดตามพฤติกรรมของคนอื่น ๆ ในตลาด เมื่อเห็นคนอื่นไม่คัทขาดทุนก็อาจคิดว่าตนเองควรทำตาม

การเข้าใจเหตุผลเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนมือใหม่สามารถพัฒนากลยุทธ์ในการรับมือกับการขาดทุนได้ดียิ่งขึ้น การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับจิตวิทยาการลงทุนและการจัดการความเสี่ยงจะช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น


แต่ทั้งนี้ ผมต้องบอกความจริงให้ท่านทราบว่า ไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรอกนะครับ
ธรรมชาติของนักเทรด ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ มันมี Stage ของมันครับ
Stage 1 : เล่นหุ้นขาดทุนซ้ำซาก
มือใหม่ - ด้วยความใสซื่อ(มาด้วยจิตนักพนันแบบเพียว ๆ อยากรวยแบบง่าย ๆ ลัด ๆ)  แต่ไม่รู้ว่าดงนี้เต็มไปด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด การเทรดขาดทุนซ้ำซาก ขาดทุนแล้วขาดทุนอีก จึงเป็นเรื่องปกติครับ 
Stage 2 : นักเทรดรอดแต่ไม่รวย
ถ้าคุณไม่ถูกทำลายล้าง(หรือหมดใจ หมดไฟ) ใน Stage 1 คุณเริ่มรู้อะไรเป็นอะไรแล้ว คุณก็จะมีแผนการเทรด มีหน้าเทรดที่ดีกว่า ซึ่งช่วยให้คุณสามารถทำเงินได้มากในช่วงตลาดดี แต่พอตลาดแย่คุณก็จะคืนกำไรกลับไปหมดเกลี้ยง
Stage 3 : นักเทรดรวย
ถ้าคุณไม่หมดใจหมดไฟ ใน Stage 2 แล้วคุณให้ความสำคัญกับการจัดการ Drawdown ได้ดี คุณก็จะได้กำไรสม่ำเสมอ ไม่ขาดทุนคืนกำไรไปหมดในช่วงตลาดแย่เหมือน Stage 2 ครับ Key สำคัญคือ "การบริหารความเสี่ยง" ซึ่งมันก็เป็นเรื่อง่าย ๆ ที่เราได้ยินกันมาโดยตลาดว่า "Cut your losses short and let's your profit run" นั่นเองครับ มันเป็นเรื่องเบสิคมาก ๆ ---- แต่มือใหม่ ทำกันไม่ได้เลย เมื่อทำไม่ได้ ก็เลยต้องขาดทุนซ้ำซากอยู่ร่ำไปครับ
เม่าเนิร์ด
พูดแบบสรุปคือ การเล่นหุ้นขาดทุนหนัก จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็นธรรมดาของวงการนี้ครับ มือใหม่ก็ต้องเป็นแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ
ความท้าทายก็คือ "คุณจะก้าวข้ามไปสู่ Stage ที่สูงกว่าได้ยังไง?" นี่คือสิ่งที่คุณต้องตั้งคำถามกับตัวเองครับ
ถามตัวเองว่า "จะเอาจริงแน่ ใช่มั้ย?" "จะต้องเป้นผู้ชนะให้ได้ใช่มั้ย?" ถ้าใช่ก็ลุยต่อครับ ตั้งใจหาความรู้เพิ่มเติม หาคนสอนดี ๆ หาหนังสืออ่านดี ๆ ที่ให้แรงบันดาลใจ ในการบริหารความเสี่ยง แล้วคุณจะรู้วิธีเอาตัวรอด จากนั้นเมื่อรอดแล้ว โอกาสยกระดับเป็นนักเทรดรวยก็มีแน่นอนครับ
เม่าอ่านหนังสือพิมพ์
ปล. ผมคิดว่าหนังสือเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงในบ้านเรานั้น ไม่มีใครเขียนเยอะเท่าผมอีกแล้วครับ ผมจริงจังเรื่องนี้มาก
ถ้าในใจอยากหาอ่าน ก็ไปสอบถามที่ https://www.facebook.com/zyobooks/ ได้ครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่