JJNY : 5in1 “ธนาธร”พอใจผลการเลือก│‘ก้าวไกล’เตรียม 10ขุนพล│“โรม”เตรียมถามปม ธ.ไทย│“อังคณา”แฉยับ“สว.”│รัสเซียเตือนยุโรป

“ธนาธร” พอใจผลการเลือกวุฒิสภา เปิดใจอยากให้กลับมาตั้งมั่นบนหลัก “ความเป็นธรรม”
https://ch3plus.com/news/political/morning/408393
 
 
วันนี้ (14 ก.ค. 2567) ที่สนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงความพอใจในการได้มาของ สว. ชุดใหม่ ว่า ประการแรกตนอยากจะใช้โอกาสนี้ขอบคุณผู้ที่ลงสมัคร สว. ทุกคนที่มาทำหน้าที่เป็นพลเมืองที่กระตือรือร้น ทำหน้าที่เป็นโหวตเตอร์ เพื่อลงคะแนนให้เหมาะสม

ตนขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนร่วมทุกคน ส่วนจะพอใจกับผลการเลือกหรือไม่ เท่าที่ดู ตนก็เห็นผู้ที่ได้รับการไว้วางใจให้เป็น สว. ที่มีความสนใจวาระประชาธิปไตย ฝักใฝ่ประชาธิปไตยหลายคน ถือว่าผลเป็นที่น่าพอใจ

ส่วนความคาดหวังจาก สว. ชุดนี้ นายธนาธร กล่าวว่า มีหลายเรื่อง ประการแรกเป็นเรื่องของการแต่งตั้งบุคลากรที่จะไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่าง ๆ ซึ่งทาง สว. ชุดนี้จะแต่งตั้งทั้ง กสทช. ป.ป.ช. กกต. อัยการสูงสุด ศาลรัฐธรรมนูญ โดยตำแหน่งต่าง ๆ เหล่านี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาประชาธิปไตย มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศทั้งนั้น

เราไม่ต้องการเห็น สว. ที่แต่งตั้งคนของสีส้มสีน้ำเงิน สีนู้นสีนี้เข้าไป เราอยากเห็นการแต่งตั้งคนที่มีจิตใจรักความเป็นธรรม รักความยุติธรรมเข้าไปดำรงตำแหน่งสำคัญ การที่บุคลากรสำคัญเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่าง ๆ กลับมาตั้งมั่นบนหลักการที่ถูกต้อง กลับมาตั้งมั่นบนหลักการของความเป็นธรรม จะเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ ถ้าเกิดว่ายังมีการตัดสินใจที่ทำให้ประชาชนกังขาเรื่อง 2 มาตรฐาน ก็ไม่รู้ว่าเราจะเริ่มต้นหาทางออกจากความขัดแย้งได้อย่างไร จำได้หรือไม่ครับ ว่ายุคหนึ่งเราเคยพูดว่าประเทศไทยไม่ 2 มาตรฐานทางการเมือง คนกลุ่มหนึ่งทำอะไรก็ผิดตลอด คนอีกกลุ่มทำเหมือนกันกลับไม่ผิด ไม่มีความเป็นธรรม ไม่มีความสมานฉันท์ของคนในชาติ

นายธนาธร ย้ำว่า ตนอยากฝาก สว.ชุดใหม่ เรื่องการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ อยากจะเสนอว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจุดเริ่มต้นจะต้องมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนทั้งหมด เป็นการยืนยันจุดยืนที่สำคัญว่าอำนาจสูงสุดในประเทศนี้เป็นของประชาชน ถือเป็นประเด็นสำคัญที่จะยืนยันว่าประเทศนี้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนจริงหรือไม่

เมื่อถามว่า คุณสมบัติประธานวุฒิสภาต้องเป็นอย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า ต้องเป็นธรรม เป็นกลาง เป็นการเปิดพื้นที่ให้กับทุกฝ่ายได้นำเสนอความเห็นอย่างเท่าเทียมกัน

ส่วนดรามาเรื่องวุฒิการศึกษาของ ศ.พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย หรือหมอเกศ สว.ที่ได้คะแนนสูงที่สุดนั้น นายธนาธร กล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ในกระบวนการแล้ว ก็คงต้องว่าไปตามกระบวนการ
 


‘ก้าวไกล’ เตรียม 10 ขุนพล ถล่มร่างกม.ของบฯ 1.22 แสนล้าน ทำดิจิทัลวอลเล็ต
https://www.matichon.co.th/politics/news_4680356

‘ก้าวไกล’ เตรียม 10 ขุนพลถล่มร่าง กม.ของบ 1.22 แสนล้าน ทำดิจิทัลวอลเล็ต แต่ยังไม่เคาะใครเปิด-ปิด ระหว่าง ‘ชัยธวัช-ศิริกัญญา’ ชวน จับตาเร่งถกห้อง กมธ.แค่ 1 สัปดาห์ เหตุใกล้หมดปีงบประมาณ

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 17 กรกฎาคม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พ.ศ. … วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ว่า ในวันที่ 17 กรกฎาคม จะเริ่มประชุมตั้งแต่เวลา 09.00 น. อาจจะจบประมาณ 21.00-22.00 น. จากนั้นจะเป็นการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) 32 คน ซึ่งส่วนของพรรค ก.ก.เตรียมผู้อภิปรายไว้ประมาณ 10 คน แต่ยังไม่เคาะว่าใครจะเป็นผู้อภิปรายเปิดและปิดระหว่างนายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ก.ก. กับ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค แต่คาดว่าวันพรุ่งนี้ (15 กรกฎาคม) ในส่วนของพรรค ก.ก. คงจะเคาะบุคคลที่จะอภิปรายไฟนัลได้

นายปกรณ์วุฒิกล่าวต่อว่า สำหรับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวชัดเจนว่าเป็น พ.ร.บ.ที่ทำมาเพื่อดิจิทัลวอลเล็ต ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แต่ตนคิดว่าในชั้นของ กมธ.คงจะต้องมีการสอบถามเรื่องรายละเอียดต่างๆ แต่ในการอภิปรายเราจะแสดงถึงข้อห่วงใยว่าเรากังวลในเรื่องใดบ้าง และอยากให้จับตาว่ากรอบระยะเวลาในการพิจารณาในชั้น กมธ.นั้น ที่เขาวางไว้สั้นมากคือคาดประมาณหนึ่งสัปดาห์ เนื่องจากอยากให้นำกลับเข้ามาพิจารณาวาระ 2-3 ได้ภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งตนก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องด่วนเพราะใกล้จะหมดปีงบประมาณ 2567 แล้ว อย่างไรก็ตาม แม้เวลาจะน้อย แต่ก็อยากให้ กมธ.ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน

เมื่อถามว่า หากคนที่นั่งเป็น กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ต้องมานั่ง กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง  พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จะกระทบต่อการทำงานในห้อง กมธ.งบ 68 หรือไม่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีชื่อซ้ำกันบ้าง แต่คงไม่มาก รวมทั้งอาจจะใช้เวลาพิจารณาแค่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งคงไม่กระทบมากและคงสามารถที่จะแบ่งหรือตามงานกันได้
 


“โรม” เตรียมตั้งกระทู้สดถามนายกฯ ปมธนาคารไทยถูกใช้หนุนสงครามในเมียนมา
https://www.thairath.co.th/news/politic/2800603

“โรม” เตรียมตั้งกระทู้ถามสด “เศรษฐา” ปมแบงก์ไทยถูกใช้ทำธุรกรรมจัดซื้ออาวุธไปทำสงครามในเมียนมา หวังนายกฯ มาตอบด้วยตัวเอง ชี้ เป็นการแสดงบทบาทผู้นำในการแก้ปัญหา สร้างความยอมรับในระดับนานาชาติ
 
วันที่ 14 กรกฎาคม 2567 นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 18 กรกฎาคมนี้ ตนจะตั้งกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรี กรณีมีรายงานของสหประชาชาติ ระบุว่า สถาบันการเงินของประเทศไทยกำลังถูกใช้เป็นทางผ่านเงินของรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อนำไปสนับสนุนการจัดซื้ออาวุธสำหรับทำสงครามปราบปรามประชาชนในประเทศ โดยมีข้อมูลว่าในปี 2566 ยอดธุรกรรมมีมูลค่ารวมถึง 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
 
นายรังสิมันต์ เผยต่อไปว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ระดับโลก แม้ในรายงานยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่ารัฐบาลไทยสนับสนุน หรือมีส่วนร่วมกับธุรกรรมดังกล่าว แต่ในฐานะที่ไทยเป็นชาติสมาชิกของสหประชาชาติ ซึ่งมีจุดยืนคือไม่ให้การสนับสนุนหรือช่วยเหลือให้เกิดการจัดซื้ออาวุธให้รัฐบาลทหารเมียนมา รัฐบาลไทยควรแสดงออก และมีมาตรการที่ชัดเจนออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาตามที่ปรากฏในรายงาน ยกตัวอย่างรัฐบาลสิงคโปร์ หลังจากทราบว่ามีบริษัทสัญชาติสิงคโปร์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการจัดซื้ออาวุธให้รัฐบาลทหารเมียนมา รัฐบาลสิงคโปร์ก็ตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบอย่างจริงจังทันที จนสามารถลดธุรธรรมทางการเงินลงได้ถึงร้อยละ 90
 
...
 
ล่าสุด ตนได้ใช้ช่องทาง คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ที่ตนเป็นประธานกรรมาธิการ เรียกหน่วยงานต่างๆ เข้ามาพูดคุย ทุกฝ่ายเห็นตรงกันในเนื้อหาสาระของรายงาน และพร้อมให้ความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องถือธงนำเรื่องนี้ และนายกรัฐมนตรีควรมาตอบกระทู้นี้ด้วยตัวเองในฐานะผู้นำประเทศ ไม่ควรมอบใครมาตอบแทน 
 
เนื่องจากที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีพูดเสมอถึงความสำคัญของการเดินทางไปต่างประเทศ ว่าต้องการแนะนำตัว เรียกความเชื่อมั่นจากต่างชาติเข้ามาลงทุน ประเด็นเมียนมานี้เอง จะเป็นโอกาสสำคัญให้นายกรัฐมนตรีแสดงบทบาท สร้างความยอมรับในระดับนานาชาติ รวมถึงแก้ไขปัญหาซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่ไทยติดกับเมียนมากว่า 2,000 กิโลเมตร อีกทั้งเป็นการยืนยันการให้ความสำคัญต่อประเด็นสิทธิมนุษยชน ในช่วงเวลาที่รัฐบาลไทยเสนอตัวเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาติ 
 
นายรังสิมันต์ ระบุในช่วงท้ายว่า ดังนั้น หากนายกรัฐมนตรีถือธงนำเรื่องนี้ แก้ปัญหาในบ้านและข้างบ้านอย่างใส่ใจ นายกรัฐมนตรีจะไปเป็นเซลส์แมนขายของนอกบ้าน ก็จะไปอย่างสง่าผ่าเผยมากขึ้น ประเทศไทยจะมีที่ยืนบนเวทีโลก.



งานเข้าแน่! “อังคณา” แฉยับ “สว.” ตั้งกลุ่มต่อรองตำแหน่ง เสนอเงื่อนไขดูแลรายเดือน
https://siamrath.co.th/n/550761

เมื่อวันที่ 14 ก.ค.2567 นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา(สว.) เปิดเผยถึงกรณ๊มีกระแสข่าวมีการล็อบบี้ สว.ว่า ส่วนตัวไม่มีเลย แต่ว่าได้คุยกับบางคนที่อายุยังไม่มาก เขาก็เล่าให้ฟังว่ามีคนโทรศัพท์มา ก็มีแบบสัญญาว่าจะให้อะไรแบบนี้  ตัวเลขอาจจะเป็นแบบเงินเดือนเพิ่มเติม มีอะไรให้แบบนี้ เขาก็มีพูดให้ฟัง อันนี้เท็จจริงก็แล้วแต่ แต่เราก็รับฟัง แล้วก็คนที่แบบบอกว่าผมก็อยู่กับพวกคุณ แล้วเราจะเสนอคนนี้เป็นรองประธานวุฒิสภา เราก็แบบอ้าวมาจากไหน คนนี้เราไม่เคยรู้จักเลยด้วยซ้ำไป ที่เข้าใจก็คือ จะมีคนที่แบบพยายามจะรวมกลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นกลุ่มก้อนใหญ่ เพื่อที่จะไปต่อรองขอรับตำแหน่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะมาเอาชื่อเราไปรวมอยู่ด้วย เพราะรู้สึกมีความพยายามรวบรวม และเท่าที่ทราบก็มีบางคนที่เขาติดเข้าไปอยู่ในหลายกลุ่ม แล้วบอกว่ากลุ่มตัวเองมีอยู่ 30 คน เพราะฉะนั้นต้องได้หนึ่งตำแหน่ง อะไรแบบนี้ ตรงนี้ก็ได้ยินอยู่ แต่ว่าจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ
 
นางอังคณากล่าวว่า ที่ได้ยินกับตัวเอง ก็คือมีคนมาพูดว่า มีคนที่อยากจะมาอยู่กลุ่มกับเรา แล้วเราจะเสนอเขาเป็นรองประธานวุฒิสภา พอได้ยิน เราก็คิดว่า เขาเป็นใครหรือ ไม่เคยเห็นหน้าเลย ไม่เคยได้ยินเสียง แล้วอยู่ดีๆ จะมาอะไรได้ยังไง ก็มีอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีใครมาคุยกับเรา คิดว่าทุกคนก็ระมัดระวัง เพราะหากว่าพบมีการไปปรากฏตัวอยู่ด้วยกัน ทุกคนก็ระมัดระวัง แต่ก็จะเหมือนมีแบบ มีตัวแทนที่คอยเข้ามา แล้วก็บอกว่า ผมมีพวกอยู่อีก 2-3 คน แล้วมาพูดว่า คนนี้เหมาะสมมากเลยควรได้เป็นรองประธานวุฒิสภา ควรเสนอชื่อ อะไรแบบนี้ ก็ลักษณะแบบนี้มีอยู่
 
นางอังคณา ยังกล่าวถึงบุคคลที่จะมาเป็นประธานวุฒิสภา ควรมีคุณสมบัติอย่างไรว่า คนที่จะมาทำหน้าที่เป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ควรเป็นพลเรือน ซึ่งบางทีวิสัยทัศน์ของคนที่เคยอยู่ในหน่วยงานด้านความมั่นคง อาจจะเคยชินกับการออกคำสั่ง เพราะฉะนั้น ส่วนตัวมองว่าประธานวุฒิสภาควรเป็นพลเรือน มีความยืดหยุ่น และเมื่อนั่งในตำแหน่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว  มีความเป็นกลาง เป็นธรรม ไม่ลำเอียงและโดยส่วนตัว ก็ตั้งใจว่า หนึ่งในสามตำแหน่งที่จะเลือกกัน มีความจำเป็นที่ต้องมีผู้หญิงเข้าไปด้วย เพราะเรื่องของสัดส่วนทางเพศมีความสำคัญมาก
 
ในอดีตก็เคยมีรองประธานสภาฯ ที่เป็นผู้หญิงอยู่ แล้วก็หายไปนาน อย่างล่าสุดตอนที่มีการเลือกรองประธานสภาฯ ครั้งล่าสุด เราก็ลุ้นอยู่ว่าจะมีเสนอผู้หญิงหรือไม่ แต่สุดท้าย ก็ไม่มี สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะในเวทีโลก เวทีต่างประเทศ ทุกคนจะถามหาสัดส่วนของนักการเมืองหญิงในประเทศไทย ซึ่งตัวเลขยังต่ำอยู่สำหรับผู้หญิงที่เข้าไปสู่แวดวงการเมือง ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าจะเป็นความสง่างาม ความเท่าเทียม เป็นการเปิดโอกาสที่ดี ถ้าหากว่าหนึ่งในสามตำแหน่งจะเป็นผู้หญิง ที่เสนอไม่ใช่ว่าจะเสนอตัวเอง แต่เป็นสว.ผู้หญิงคนใดก็ได้ ที่มีความสามารถจะทำหน้าที่ประธานหรือรองประธานวุฒิสภาได้ เพราะคนที่ผ่านมา จนถึงตรงนี้ได้ ทุกคนต้องมีความสามารถเท่าๆกัน รวมถึงประสบการณ์ที่เป็นเรื่องสำคัญ ส่วนวุฒิการศึกษา ก็สำคัญแต่วุฒิการศึกษาไม่ใช่ข้อจำกัดที่จะทำให้ความสามารถของคนน้อยกว่ากัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่