นิด้าเผยประชาชนส่วนใหญ่หนุนมาตราการส่งดี Dee-Delivery เปิดก่อนจ่าย คุ้มครองลูกค้าจากสินค้าไม่ตรงปก
https://siamrath.co.th/n/550684
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “
Dee-Delivery เปิดก่อนจ่าย” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 9-11 กรกฎาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพและรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับมาตรการส่งดี (Dee-Delivery) เพื่อแก้ไขปัญหากลโกงหลอกเก็บเงินปลายทาง และการขายสินค้าไม่ตรงปก การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงการเคยซื้อสินค้าออนไลน์ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 70.53 ระบุว่า เคยสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ (รวมถึงการสั่งเองหรือให้ผู้อื่นช่วยสั่งแทน) และร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่เคยสั่งซื้อสินค้าออนไลน์
เมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าเคยสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ (รวมถึงการสั่งเองหรือให้ผู้อื่นช่วยสั่งแทน) (จำนวน 924 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับมาตรการส่งดี (Dee-Delivery) พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 84.20 ระบุว่า เป็นการคุ้มครองลูกค้า หากสินค้าไม่ตรงปก รองลงมา ร้อยละ 76.19 ระบุว่า เป็นการคุ้มครองลูกค้าไม่ให้โดนหลอกซื้อสินค้า ร้อยละ 60.28 ระบุว่า เป็นการคุ้มครองลูกค้าให้ได้รับเงินคืน ร้อยละ 48.70 ระบุว่า เป็นการช่วยลดข้อร้องเรียน/ข้อขัดแย้ง ระหว่างลูกค้า ไรเดอร์ และผู้จำหน่ายสินค้า ร้อยละ 34.20 ระบุว่า เป็นการคุ้มครองไรเดอร์ไม่ต้องรับผิดชอบกรณีลูกค้าขอเปิดดูสินค้าก่อน ร้อยละ 20.02 ระบุว่า ไรเดอร์ต้องเสียเวลามากขึ้น เพราะต้องรอลูกค้าตรวจสอบสินค้า ร้อยละ 17.21 ระบุว่า มาตรการนี้อาจทำให้ค่าขนส่งสินค้าสูงขึ้น ร้อยละ 16.77 ระบุว่า มาตรการนี้อาจทำให้ราคาสินค้าที่เก็บเงินปลายทางมีราคาสูงขึ้น ร้อยละ 11.36 ระบุว่า ไม่เป็นธรรมกับผู้จำหน่ายสินค้า เพราะต้องรับความเสี่ยงกับการปฏิเสธการจ่ายเงินของลูกค้า ร้อยละ 10.39 ระบุว่า ไรเดอร์/บริษัทรับส่งสินค้าต้องเสียเวลารอถึง 5 วัน จึงจะสามารถปิด order ได้ ร้อยละ 10.06 ระบุว่า ไม่เป็นธรรมกับผู้จำหน่ายสินค้า เพราะต้องรอถึง 5 วัน จึงจะได้เงิน ร้อยละ 8.98 ระบุว่า มาตรการนี้อาจทำให้การจำหน่ายสินค้าแบบเก็บเงินปลายทางมีจำนวนลดลง ร้อยละ 6.60 ระบุว่า ไม่เห็นมีบทลงโทษหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญา และร้อยละ 0.22 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลยกับมาตรการนี้ และไม่ตอบ/ไม่สนใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน
ท้ายที่สุดเมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าเคยสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ (รวมถึงการสั่งเองหรือให้ผู้อื่นช่วยสั่งแทน) (จำนวน 924 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความคิดเห็นโดยภาพรวมต่อมาตรการส่งดี (Dee-Delivery) พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 70.45 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 24.46 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 4.00 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 0.87 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.22 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.35 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง
ตัวอย่าง ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.18 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.05 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.77 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ
ตัวอย่าง ร้อยละ 36.34 สถานภาพโสด ร้อยละ 60.61 สมรส และร้อยละ 3.05 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 20.08 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 35.88 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 9.16 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 30.15 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.73 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 8.93 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 18.70 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 20.46 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 11.07 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.65 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงานร้อยละ 20.84 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 4.35 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
ตัวอย่าง ร้อยละ 21.22 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 18.32 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 31.84 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 9.69 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 5.04 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป ในสัดส่วนที่เท่ากัน และร้อยละ 8.85 ไม่ระบุรายได้
“อ.กุลทิพย์” ชี้ อย่างต่ำต้องใช้เวลานานนับ 10 ปี ขอตำแหน่ง “ศาสตราจารย์”
https://www.thairath.co.th/news/politic/2800432
“รศ.ดร.กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ” ชี้ ขอตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” ต้องใช้เวลานับสิบปี ต้องมีสังกัด ตรวจสอบจากมหาวิทยาลัยในประเทศ แนะ เช็กสถาบันต่างประเทศจากเว็บ ก.พ. และดูคุณสมบัติผู้เรียนควบด้วย ลั่น หากเป็นศาสตราจารย์แล้วตอบคำถามในศาสตร์ของตนเองไม่ได้ จะถูกตรวจสอบมากขึ้น
วันที่ 13 กรกฎาคม 2567 รศ.ดร.
กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ให้สัมภาษณ์ถึงการได้มาสำหรับตำแหน่งทางวิชาการ หลังมีกระแสข่าวเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาของสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่ง โดย อ.กุลทิพย์ สำเร็จการศึกษาปริญญาเอกจากสหรัฐอเมริกา พร้อมบอกถึงขั้นตอนในการขอตำแหน่งศาสตราจารย์ในประเทศไทยว่า ระยะเวลาที่ต้องใช้อย่างต่ำน่าจะนานนับ 10 ปี ผู้ที่ขอต้องจบปริญญาเอก ตำแหน่งแรกที่ได้รับคือ อาจารย์ด็อกเตอร์ (อ.ดร.) จากนั้นจึงดำเนินการตามลำดับ โดยขอตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) ซึ่งจะต้องมีเอกสารทางวิชาการ มีเอกสารการวิจัย หรือหนังสือที่ตนเป็นผู้สอน เมื่อได้รับตำแหน่ง ผศ.แล้ว 1-2 ปี ต้องมีบทความวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ยอมรับในสาขาอย่างน้อย 2 ฉบับ หรือหนังสือซึ่งใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี จึงจะสามารถขอตำแหน่งรองศาสตราจารย์ (รศ.) ได้ และจากนั้นอีก 2 ปีอย่างต่ำจึงจะสามารถขอตำแหน่งศาสตราจารย์ (ศ.) ได้ โดยตำแหน่งทุกตำแหน่งทั้ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ ผู้ขอจะต้องมีมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเป็นต้นสังกัด รับรอง ตรวจสอบคุณวุฒิ และยื่นขอตำแหน่งต่อกระทรวงอุดมศึกษาฯ ต่อไป หากสังกัดผู้จบการศึกษาสังกัดองค์กรธุรกิจเอกชน แม้จะจบปริญญาเอกก็ไม่สามารถขอตำแหน่งทางวิชาการที่สูงขึ้นไปได้ โดยศาสตราจารย์จะต้องมีเอกสารแสดงความเชี่ยวชาญในสาขาที่สังกัด เช่น นิเทศศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ บริหารทรัพยากรมนุษย์ ที่มีองค์ความรู้ของศาสตร์เฉพาะมากที่สุด ถือเป็นขั้นสูงสุดของทางวิชาการ และต้องได้รับโปรดเกล้าฯ อ.
กุลทิพย์ กล่าวว่า ผู้ที่ขอตำแหน่งอาจจะต้องมีบทความวิจัยตีพิมพ์ในฐานวิชาการระดับชาติและนานาชาติ
มากกว่า 10 ฉบับ ตั้งแต่ระดับ ผศ. จนถึง ศ. อีกทั้งศาสตราจารย์มีข้อกำหนดหนึ่งที่ว่า งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในฐานข้อมูลจะต้องเป็นที่ยอมรับของมหาวิทยาลัยนั้นๆ และต้องได้มาตรฐาน Scopus Q1 รวมทั้งต้องได้รับการอ้างอิง ซึ่งการจะได้มาตรฐานนี้จะต้องอาศัยการนำงานวิจัยของผู้ขอตำแหน่งไปอ้างอิงในการทำงานด้านวิชาการอื่นๆ มากพอ แม้ว่าระยะเวลา 1-2 ปี ที่ รศ. จะขอตำแหน่ง ศ.ได้ แต่ปัจจัยที่สำคัญก็ขึ้นอยู่กับการนำข้อมูลของผู้ขอไปใช้ ซึ่งอาจจะทำให้เวลายืดยาวออกไป
...
ขณะที่ ศาสตราจารย์ในต่างประเทศนั้นก็มีความยากเช่นเดียวกัน ส่วนที่นักวิชาการจะกล่าวกันว่า ในต่างประเทศเป็นผู้สอน 5-10 ปี ก็จะได้ตำแหน่งศาสตราจารย์นั้น อ.
กุลทิพย์ กล่าวว่า เป็นตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านการสอน เพราะมีแยกย่อยออกเป็น ศาสตราจารย์ด้านการสอนและวิจัย หรือศาสตราจารย์ด้านการวิจัยโดยเฉพาะ ซึ่งศาสตราจารย์ด้านการสอนก็จะมีเทคนิคในการสอนที่ดี แตกต่างจากศาสตราจารย์ด้านวิจัย ที่อาจจะสอนหรือถ่ายทอดได้ไม่ดีเท่า แต่มีความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้ง
สำหรับการตรวจสอบมหาวิทยาลัยว่ามีมีอยู่จริง ได้รับการรับรองหรือไม่นั้น อ.
กุลทิพย์ แนะนำว่า ตรวจสอบอย่างง่าย คือดูจากการรับรองในเว็บไซต์ของ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) หากไม่รับรอง ก็ถือว่าคุณวุฒินั้นไม่สามารถใช้ได้ในประเทศไทย นอกจากนี้ยังตรวจสอบได้จากการแนะนำของสถานทูตประเทศนั้นๆ หรือสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยต่างประเทศในไทย ซึ่งมหาวิทยาลัยในต่างประเทศมีหลายระดับ ทั้งมหาวิทยาลัยชื่อดังทั่วไป หรือมหาวิทยาลัยประจำรัฐ (State University) ซึ่งผู้เรียนต้องดูคุณสมบัติของตนเองว่าจะผ่านในคณะของมหาวิทยาลัยนั้นๆ หรือไม่
อ.
กุลทิพย์ ยังกล่าวถึงผู้ที่อยากมีตำแหน่งศาสตราจารย์ ว่า การเป็นตำแหน่งศาสตราจารย์จะต้องมีหลากหลายองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน บุคคลในสังคมก็ตั้งคำถามสูงกับคนเหล่านี้ อีกทั้งโลกปัจจุบันมีการตรวจสอบได้ง่าย หากเป็นศาสตราจารย์แล้วตอบคำถามในศาสตร์ตนเองไม่ได้ ก็จะทำให้ถูกตรวจสอบมากขึ้น และยังเป็นตำแหน่งที่วัดกันด้วยผลงานวิชาการ หากไม่มีผลงาน เป็นศาสตราจารย์มานาน แต่ไม่มีงานวิจัยเลยก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้สร้างองค์ความรู้ใหม่อะไรให้สังคม.
โรงแรมหาดใหญ่ กระอัก ค่าไฟขึ้น ชี้เป็นต้นทุนหลัก ขอรัฐบาลชะลอ ลดภาระผู้ประกอบการ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4679188
โรงแรมหาดใหญ่-สงขลา กระอัก ค่าไฟเตรียมปรับขึ้นในขณะที่ต้องอั้นไม่สามารถปรับค่าโรงแรมและบริการได้ วอนรัฐบาลยับยั้งทั้งค่าไฟฟ้าและค่าแรงขั้นต่ำ ลดภาระผู้ประกอบการและประชาชน
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม กรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เตรียมปรับค่าไฟฟ้างวดปลายปีเพิ่มขึ้นเป็น 4.65-6.01 บาทต่อหน่วย จากค่าไฟงวดก่อนหน้าอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยนั้น ทางผู้ประกอบการโรงแรมในจังหวัดสงขลา ต่างก็มีความกังวล ต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าไฟฟ้า และค่าแรงงาน ถือเป็นต้นทุนหลักของผู้ประกอบการโรงแรม ทำให้ต้องร้องขอไปยังรัฐบาลพิจารณาตรึงค่าไฟฟ้าเอาไว้ที่อัตราเดิมก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้นั้น ไม่เฉพาะแต่ผู้ประกอบการ ประชาชนทั่วไปก็กำลังได้รับความเดือดร้อน
JJNY : ปชช.ส่วนใหญ่หนุนส่งดี Dee-Delivery│อย่างต่ำ10ปี ขอตำแหน่ง“ศาสตราจารย์”│รร.หาดใหญ่กระอัก│ไบเดน“ประณาม”ลอบยิงทรัมป์
https://siamrath.co.th/n/550684
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “Dee-Delivery เปิดก่อนจ่าย” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 9-11 กรกฎาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพและรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับมาตรการส่งดี (Dee-Delivery) เพื่อแก้ไขปัญหากลโกงหลอกเก็บเงินปลายทาง และการขายสินค้าไม่ตรงปก การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงการเคยซื้อสินค้าออนไลน์ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 70.53 ระบุว่า เคยสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ (รวมถึงการสั่งเองหรือให้ผู้อื่นช่วยสั่งแทน) และร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่เคยสั่งซื้อสินค้าออนไลน์
เมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าเคยสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ (รวมถึงการสั่งเองหรือให้ผู้อื่นช่วยสั่งแทน) (จำนวน 924 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับมาตรการส่งดี (Dee-Delivery) พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 84.20 ระบุว่า เป็นการคุ้มครองลูกค้า หากสินค้าไม่ตรงปก รองลงมา ร้อยละ 76.19 ระบุว่า เป็นการคุ้มครองลูกค้าไม่ให้โดนหลอกซื้อสินค้า ร้อยละ 60.28 ระบุว่า เป็นการคุ้มครองลูกค้าให้ได้รับเงินคืน ร้อยละ 48.70 ระบุว่า เป็นการช่วยลดข้อร้องเรียน/ข้อขัดแย้ง ระหว่างลูกค้า ไรเดอร์ และผู้จำหน่ายสินค้า ร้อยละ 34.20 ระบุว่า เป็นการคุ้มครองไรเดอร์ไม่ต้องรับผิดชอบกรณีลูกค้าขอเปิดดูสินค้าก่อน ร้อยละ 20.02 ระบุว่า ไรเดอร์ต้องเสียเวลามากขึ้น เพราะต้องรอลูกค้าตรวจสอบสินค้า ร้อยละ 17.21 ระบุว่า มาตรการนี้อาจทำให้ค่าขนส่งสินค้าสูงขึ้น ร้อยละ 16.77 ระบุว่า มาตรการนี้อาจทำให้ราคาสินค้าที่เก็บเงินปลายทางมีราคาสูงขึ้น ร้อยละ 11.36 ระบุว่า ไม่เป็นธรรมกับผู้จำหน่ายสินค้า เพราะต้องรับความเสี่ยงกับการปฏิเสธการจ่ายเงินของลูกค้า ร้อยละ 10.39 ระบุว่า ไรเดอร์/บริษัทรับส่งสินค้าต้องเสียเวลารอถึง 5 วัน จึงจะสามารถปิด order ได้ ร้อยละ 10.06 ระบุว่า ไม่เป็นธรรมกับผู้จำหน่ายสินค้า เพราะต้องรอถึง 5 วัน จึงจะได้เงิน ร้อยละ 8.98 ระบุว่า มาตรการนี้อาจทำให้การจำหน่ายสินค้าแบบเก็บเงินปลายทางมีจำนวนลดลง ร้อยละ 6.60 ระบุว่า ไม่เห็นมีบทลงโทษหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญา และร้อยละ 0.22 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลยกับมาตรการนี้ และไม่ตอบ/ไม่สนใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน
ท้ายที่สุดเมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าเคยสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ (รวมถึงการสั่งเองหรือให้ผู้อื่นช่วยสั่งแทน) (จำนวน 924 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความคิดเห็นโดยภาพรวมต่อมาตรการส่งดี (Dee-Delivery) พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 70.45 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 24.46 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 4.00 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 0.87 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.22 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.35 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง
ตัวอย่าง ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.18 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.05 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.77 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ
ตัวอย่าง ร้อยละ 36.34 สถานภาพโสด ร้อยละ 60.61 สมรส และร้อยละ 3.05 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 20.08 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 35.88 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 9.16 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 30.15 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.73 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 8.93 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 18.70 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 20.46 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 11.07 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.65 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงานร้อยละ 20.84 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 4.35 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
ตัวอย่าง ร้อยละ 21.22 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 18.32 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 31.84 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 9.69 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 5.04 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป ในสัดส่วนที่เท่ากัน และร้อยละ 8.85 ไม่ระบุรายได้
“อ.กุลทิพย์” ชี้ อย่างต่ำต้องใช้เวลานานนับ 10 ปี ขอตำแหน่ง “ศาสตราจารย์”
https://www.thairath.co.th/news/politic/2800432
“รศ.ดร.กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ” ชี้ ขอตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” ต้องใช้เวลานับสิบปี ต้องมีสังกัด ตรวจสอบจากมหาวิทยาลัยในประเทศ แนะ เช็กสถาบันต่างประเทศจากเว็บ ก.พ. และดูคุณสมบัติผู้เรียนควบด้วย ลั่น หากเป็นศาสตราจารย์แล้วตอบคำถามในศาสตร์ของตนเองไม่ได้ จะถูกตรวจสอบมากขึ้น
วันที่ 13 กรกฎาคม 2567 รศ.ดร.กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ให้สัมภาษณ์ถึงการได้มาสำหรับตำแหน่งทางวิชาการ หลังมีกระแสข่าวเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาของสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่ง โดย อ.กุลทิพย์ สำเร็จการศึกษาปริญญาเอกจากสหรัฐอเมริกา พร้อมบอกถึงขั้นตอนในการขอตำแหน่งศาสตราจารย์ในประเทศไทยว่า ระยะเวลาที่ต้องใช้อย่างต่ำน่าจะนานนับ 10 ปี ผู้ที่ขอต้องจบปริญญาเอก ตำแหน่งแรกที่ได้รับคือ อาจารย์ด็อกเตอร์ (อ.ดร.) จากนั้นจึงดำเนินการตามลำดับ โดยขอตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) ซึ่งจะต้องมีเอกสารทางวิชาการ มีเอกสารการวิจัย หรือหนังสือที่ตนเป็นผู้สอน เมื่อได้รับตำแหน่ง ผศ.แล้ว 1-2 ปี ต้องมีบทความวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ยอมรับในสาขาอย่างน้อย 2 ฉบับ หรือหนังสือซึ่งใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี จึงจะสามารถขอตำแหน่งรองศาสตราจารย์ (รศ.) ได้ และจากนั้นอีก 2 ปีอย่างต่ำจึงจะสามารถขอตำแหน่งศาสตราจารย์ (ศ.) ได้ โดยตำแหน่งทุกตำแหน่งทั้ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ ผู้ขอจะต้องมีมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเป็นต้นสังกัด รับรอง ตรวจสอบคุณวุฒิ และยื่นขอตำแหน่งต่อกระทรวงอุดมศึกษาฯ ต่อไป หากสังกัดผู้จบการศึกษาสังกัดองค์กรธุรกิจเอกชน แม้จะจบปริญญาเอกก็ไม่สามารถขอตำแหน่งทางวิชาการที่สูงขึ้นไปได้ โดยศาสตราจารย์จะต้องมีเอกสารแสดงความเชี่ยวชาญในสาขาที่สังกัด เช่น นิเทศศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ บริหารทรัพยากรมนุษย์ ที่มีองค์ความรู้ของศาสตร์เฉพาะมากที่สุด ถือเป็นขั้นสูงสุดของทางวิชาการ และต้องได้รับโปรดเกล้าฯ อ.กุลทิพย์ กล่าวว่า ผู้ที่ขอตำแหน่งอาจจะต้องมีบทความวิจัยตีพิมพ์ในฐานวิชาการระดับชาติและนานาชาติ
มากกว่า 10 ฉบับ ตั้งแต่ระดับ ผศ. จนถึง ศ. อีกทั้งศาสตราจารย์มีข้อกำหนดหนึ่งที่ว่า งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในฐานข้อมูลจะต้องเป็นที่ยอมรับของมหาวิทยาลัยนั้นๆ และต้องได้มาตรฐาน Scopus Q1 รวมทั้งต้องได้รับการอ้างอิง ซึ่งการจะได้มาตรฐานนี้จะต้องอาศัยการนำงานวิจัยของผู้ขอตำแหน่งไปอ้างอิงในการทำงานด้านวิชาการอื่นๆ มากพอ แม้ว่าระยะเวลา 1-2 ปี ที่ รศ. จะขอตำแหน่ง ศ.ได้ แต่ปัจจัยที่สำคัญก็ขึ้นอยู่กับการนำข้อมูลของผู้ขอไปใช้ ซึ่งอาจจะทำให้เวลายืดยาวออกไป
...
ขณะที่ ศาสตราจารย์ในต่างประเทศนั้นก็มีความยากเช่นเดียวกัน ส่วนที่นักวิชาการจะกล่าวกันว่า ในต่างประเทศเป็นผู้สอน 5-10 ปี ก็จะได้ตำแหน่งศาสตราจารย์นั้น อ.กุลทิพย์ กล่าวว่า เป็นตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านการสอน เพราะมีแยกย่อยออกเป็น ศาสตราจารย์ด้านการสอนและวิจัย หรือศาสตราจารย์ด้านการวิจัยโดยเฉพาะ ซึ่งศาสตราจารย์ด้านการสอนก็จะมีเทคนิคในการสอนที่ดี แตกต่างจากศาสตราจารย์ด้านวิจัย ที่อาจจะสอนหรือถ่ายทอดได้ไม่ดีเท่า แต่มีความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้ง
สำหรับการตรวจสอบมหาวิทยาลัยว่ามีมีอยู่จริง ได้รับการรับรองหรือไม่นั้น อ.กุลทิพย์ แนะนำว่า ตรวจสอบอย่างง่าย คือดูจากการรับรองในเว็บไซต์ของ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) หากไม่รับรอง ก็ถือว่าคุณวุฒินั้นไม่สามารถใช้ได้ในประเทศไทย นอกจากนี้ยังตรวจสอบได้จากการแนะนำของสถานทูตประเทศนั้นๆ หรือสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยต่างประเทศในไทย ซึ่งมหาวิทยาลัยในต่างประเทศมีหลายระดับ ทั้งมหาวิทยาลัยชื่อดังทั่วไป หรือมหาวิทยาลัยประจำรัฐ (State University) ซึ่งผู้เรียนต้องดูคุณสมบัติของตนเองว่าจะผ่านในคณะของมหาวิทยาลัยนั้นๆ หรือไม่
อ.กุลทิพย์ ยังกล่าวถึงผู้ที่อยากมีตำแหน่งศาสตราจารย์ ว่า การเป็นตำแหน่งศาสตราจารย์จะต้องมีหลากหลายองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน บุคคลในสังคมก็ตั้งคำถามสูงกับคนเหล่านี้ อีกทั้งโลกปัจจุบันมีการตรวจสอบได้ง่าย หากเป็นศาสตราจารย์แล้วตอบคำถามในศาสตร์ตนเองไม่ได้ ก็จะทำให้ถูกตรวจสอบมากขึ้น และยังเป็นตำแหน่งที่วัดกันด้วยผลงานวิชาการ หากไม่มีผลงาน เป็นศาสตราจารย์มานาน แต่ไม่มีงานวิจัยเลยก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้สร้างองค์ความรู้ใหม่อะไรให้สังคม.
โรงแรมหาดใหญ่ กระอัก ค่าไฟขึ้น ชี้เป็นต้นทุนหลัก ขอรัฐบาลชะลอ ลดภาระผู้ประกอบการ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4679188
โรงแรมหาดใหญ่-สงขลา กระอัก ค่าไฟเตรียมปรับขึ้นในขณะที่ต้องอั้นไม่สามารถปรับค่าโรงแรมและบริการได้ วอนรัฐบาลยับยั้งทั้งค่าไฟฟ้าและค่าแรงขั้นต่ำ ลดภาระผู้ประกอบการและประชาชน
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม กรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เตรียมปรับค่าไฟฟ้างวดปลายปีเพิ่มขึ้นเป็น 4.65-6.01 บาทต่อหน่วย จากค่าไฟงวดก่อนหน้าอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยนั้น ทางผู้ประกอบการโรงแรมในจังหวัดสงขลา ต่างก็มีความกังวล ต่ออัตราค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าไฟฟ้า และค่าแรงงาน ถือเป็นต้นทุนหลักของผู้ประกอบการโรงแรม ทำให้ต้องร้องขอไปยังรัฐบาลพิจารณาตรึงค่าไฟฟ้าเอาไว้ที่อัตราเดิมก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้นั้น ไม่เฉพาะแต่ผู้ประกอบการ ประชาชนทั่วไปก็กำลังได้รับความเดือดร้อน