JJNY : ร้านทองตู้แดงเซ่นราคาทองพุ่ง│เกศกมล ชิ่งหนีสื่ออ้างป่วย│ก้าวไกลชี้ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ผิดฝาผิดตัว│ส่งออกจีนเกินดุล

ร้านทองตู้แดง ทยอยปิดตัว เซ่นราคาทองพุ่ง สมาคมฟันธงราคาพุ่งต่อถึงปีหน้าแตะครึ่งแสน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4678157

 
ร้านทองตู้แดง ทยอยปิดตัว เซ่นราคาทองพุ่ง สมาคมฟันธงราคาพุ่งต่อถึงปีหน้าแตะครึ่งแสน
 
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า สถานการณ์ค้าขายทองคำในปัจจุบันบรรยากาศค่อนข้างเงียบและกำลังซื้อลดลงประมาณ 20-30% ตามภาวะเศรษฐกิจ และราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุน ทั้งทองคำรูปพรรณยอดขายไม่ค่อยดี ขณะที่ทองคำแท่งการซื้อขายขึ้นๆ ลงๆ ตามคำเงินบาท จึงส่งผลกระทบต่อร้านค้าทองคำรายเล็กกำลังแบกรับภาระต้นทุนการขายที่เพิ่มขึ้นไม่ไหว เริ่มเห็นการปิดกิจการแล้วในช่วงที่ผ่านมา แม้เป็นจำนวนส่วนน้อยเท่านั้น แต่หากต้นทุนทองคำคงสูงขึ้นอีก อาจเห็นร้านขายทองปิดตัวเพิ่มขึ้น

แนวโน้มราคาทองคำยังเป็นขาขึ้น เพราะราคาปรับตัวสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คาดว่าสิ้นปี 2567 ราคาอยู่ที่ 45,000 บาทต่อบาททองคำ จากปัจจุบันประมาณกว่า 40,000 บาท และในปี 2568 คาดว่าอาจได้เห็นราคาแตะ 50,000 บาท ปัจจัยหนุนจากต้นทุนสูงต่อเนื่อง ทำให้ราคาขายต้องสูงขึ้นตาม” นายจิตติกล่าว
 
ด้าน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ปัจจุบันธุรกิจค้าทองในประเทศไทยมีจำนวนผู้ประกอบการราว 9,700 ร้านค้า ทั้งขนาดรายใหญ่ กลาง และเล็ก ซึ่งรายเล็กและรายกลางยังเผชิญกับความท้าทายของจำนวนฐานลูกค้าและความสามารถในการแข่งขันต่ำกว่ารายใหญ่ โดยเริ่มเห็นทยอยปิดกิจการ พบว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 จำนวนธุรกิจค้าทองจดทะเบียนเลิกกิจการเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ค้าทองขนาดเล็ก ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 3 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี จากรายได้โดยรวมของธุรกิจค้าทองในไทยที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธุรกิจค้าทองยังได้รับความสนใจในการประกอบกิจการ สะท้อนจากจำนวนธุรกิจค้าทองจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ที่ขยายตัวในปี 2566 และช่วง 4 เดือนของปี 2567 ยังขยายตัวต่อเนื่องที่ 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
 


หมอเกศกมล ชิ่งหนีสื่ออ้างป่วย ส่งทนาย-อาจารย์ แจงปมวุฒิ ป.เอก
https://www.matichon.co.th/politics/thai-senate-2024/news_4678264

‘หมอเกศกมล’ หอบหลักฐานเข้าพบ ‘ทนายเดชา’ แต่ชิ่งหนีสื่ออ้างป่วยกะทันหัน มอบทนาย-อาจารย์ที่ปรึกษา แจงปมที่มาวุฒิ ป.เอก จ่อฟ้องหมิ่นทุกกรณี
 
จากกรณี ศาสตราจารย์ ดร.พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย หรือหมอเกศ สว.กลุ่มวิชาชีพอิสระ ที่ได้คะแนนสูงสุดอันดับหนึ่ง ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องเรื่องวุฒิการศึกษา จบ ดร. จาก California University FCE ว่าเป็นมหาวิทยาลัยห้องแถวหรือไม่ ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าเรื่องวุฒิการศึกษาที่ได้มาทั้งหมดเป็นของจริง เรียนจริง จบจริง ไม่มีการซื้อใบปริญญา นอกจากนี้ยังถูกตั้งข้อสังเกตทักษะการพูดภาษาอังกฤษ

ล่าสุดเมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 12 ก.ค.67 ที่สำนักงานทนายเดชา หมอเกศ ได้หอบหลักฐานสำคัญเข้าพบทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ตอบทุกประเด็นคำถามปมที่มาวุฒิการศึกษาปริญญาเอก จ่อฟ้องหมิ่นทุกกรณีเอาผิดทุกคนที่บิดเบือน แต่เมื่อถึงเวลาแถลงข่าว หมอเกศ ซึ่งเดินทางมาถึงสำนักงานทนายเดชาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ทนายเดชาแจ้งสื่อข่าวหมอเกศมีอาการป่วยและเครียดจึงนั่งรออยู่บนชั้น 3 ของสำนักงานฯ ไม่ไหวจึงไม่ได้มาร่วมแถลงด้วย ก่อนจะเดินทางกลับในเวลาต่อมา
 
โดย ดร.สุขุมพงษ์ ชาญนุวงศ์ อาจารย์ที่ปรึกษาทำวิจัยปริญญาเอกของหมอเกศ ที่ California University FCE ได้แจ้งว่าวันนี้ หมอเกศไม่สามารถมาแถลงข่าวได้เนื่องจากป่วยหนัก ตนเองจึงมาทำหน้าที่ตอบคำถามและนำหลักฐานที่มีข้อสงสัยมาแสดงต่อสื่อมวลชน

ทั้งนี้ตนได้นำหนังสือจดทะเบียน มหาวิทยาลัย California University FCE กับกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐอเมริกา มาแสดงให้สื่อมวลชนดู เพื่อยืนยันว่าเป็นสถาบันประเมินวุฒิการศึกษาเพื่อที่จะมอบปริญญาเทียบเท่าของประเทศสหรัฐอเมริกาและเพื่อมอบตำแหน่งทางวิชาการให้กับบุคคลที่มาขอเทียบวุฒิการศึกษา ไม่ใช่อยู่ที่วานูอาตู อย่างที่เป็นข่าว และได้รับการรับรองโดยถูกต้อง หากคนค้นถูกที่ ก็จะเจอชื่อมหาวิทยาลัย เพราะเปิดมาแล้ว 30 ปี และหากไม่มีการรับรอง ก็ไม่สามารถที่จะเขียนคำว่า ‘University’ ได้
 
ส่วนเอกสารอีก 1 ใบ คือหนังสือรับรองความถูกต้องตามกฏหมาย ในการออกปริญญาบัตร ซึ่งเซ็นโดยเทศมณฑลนครลอสแองเจลีส เพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ประทับตรา เพื่อเป็นการยืนยันในการออกหนังสือถูกต้องในการออกหนังสือรับรองเทียบวุฒิของหมอเกศ
 
ส่วนในใบวุฒิการศึกษาก็มีการเซ็นอนุมัติ โดยบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจเต็มในมหาวิทยาลัย ส่วนที่หมอเกศ ไม่เอาใบปริญญาที่จบจากประเทศไทยไปเทียบเพื่อขอวุฒิการศึกษา แต่เลือกที่จะทำวิจัย 5 หัวข้อ เพราะหัวข้อที่จะขอเทียบวุฒิไม่มีอยู่ในหลักสูตรของมหาวิทยาลัย ส่วนหัวข้อวิจัยทั้ง 5 ข้อยืนยันว่า มีการศึกษาวิจัยค้นคว้าจริงด้วยตัวของหมอเกศเอง แต่บางหัวข้อเป็นการศึกษาบทความร่วมกับผู้อื่น มีทั้งแบบตีพิมพ์และเพื่อเป็นผลงานทางวิชาการ
 
โดยวันนี้สื่อมวลชนได้ขอให้ ดร.สุขุมพงษ์ ค้นหาหัวข้องานวิจัยของหมอเกศ ใน Google ให้สื่อมวลชนดูสัก 1 หัวข้อ แต่เจ้าตัวเลือกค้นหาหัวข้อบทความที่เพิ่งตีพิมพ์ไปเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา และบทความนี้ไม่ได้นำไปใช้เทียบเพื่อขอวุฒิการศึกษา ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวขอให้หยิบเอาหัวข้อที่หมอเกศ ทำส่งเพื่อขอเทียบวุฒิ นำมาให้ดูแต่เจ้าตัวบอกจำไม่ได้ ต้องไปถามหมอเกศ เอง

ดร.สุขุมพงษ์ ยอมรับว่าตนเองเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของหมอเกศ ทำหน้าที่ตรวจทานวิจัยของหมอเกศ และปรับภาษาให้เท่านั้น ยืนยันไม่ได้รับทำวิจัย ส่วนเรื่องเงินค่าธรรมเนียมกว่า 200,000 บาท ทำไมไม่โอนให้มหาวิทยาลัยโดยตรง แต่กลับโอนเข้าบัญชีของ ดร.สุขุมพงษ์ เอง เนื่องจากเป็นระบบของทางมหาวิทยาลัย ที่จะต้องให้ทางตัวแทนเป็นคนประสานและดูแล ซึ่งก็คือตนเอง
 
ที่ผ่านมาตนเองเคยเป็นที่ปรึกษาให้กับนักการเมือง 2 คนแต่ไม่ขอเปิดเผยชื่อเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว รวมถึงหมอเกศ ด้วย/ยืนยันว่าคำว่า “ศาสตราจารย์” ยังใช้ได้ในประเทศไทย แม้ California University FCE ไม่ได้รับรองจาก กพ. หรือ อว.ก็ตาม และ “ศาสตราจารย์” ที่จบจากต่างประเทศไม่จำเป็นต้องขอโปรดเกล้า หรือเป็นตำแหน่งของมหาวิทยาลัยนั้น ๆ
 
ดร.สุขุมพงษ์ ยังบอกอีกว่า หมอเกศเพิ่ง ส่งหัวข้อวิจัยและได้รับการอนุมัติจากมหาวิทยาลัยเมื่อเดือน เมษายน ที่ผ่านมา จึงเป็นไปได้ว่าหัวข้อวิจัยที่ได้ทำไปทั้ง 5 หัวข้อ ยังไม่ถูกบรรจุข้อมูลลงในระบบ จึงทำให้ค้นหาไม่เจอ ขณะเดียวกันหมอเกศ เริ่มเข้าสู่ระบบการขอเทียบวุฒิเมื่อปี 2021
 
นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวขอให้ ดร.สุขุมพงษ์ ประเมินการใช้ภาษาอังกฤษของหมอเกศ หลังได้ไปออกรายการหนึ่ง แต่ถูกโจมตีระดับการใช้ภาษาอังกฤษไม่เหมาะกับการจบเมืองนอก ซึ่งอาจเป็นเพราะหมอเกศ ตื่นเต้นและภาษาอังกฤษไม่ได้ใช้ทุกวันและไม่ได้เตรียมตัว แต่ยืนยันว่าภาษาอังกฤษของหมอเกศอยู่ในระดับใช้ได้ เพราะเคยไปพรีเซนต์งานออกซฟอร์ด ส่วนตัว ดร.สุขุมพงษ์ นั่น เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของหมอเกศ เคยสอนหลายมหาวิทยาลัย อยู่สหรัฐอเมริกามา 15 ปี จึงมีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกา
 
ส่วนที่ชาวเน็ตต่างข้อสงสัยเป็นมหาวิทยาลัยห้องแถว นั้น ดร.สุขุมพงษ์ ระบุว่า ที่นี่เป็นสำนักงานให้การประสานสารเท่านั้น แต่อาคารสำนักงานใหญ่อยู่ที่เออร์ไวน์ ห่างออกไปประมาณ 67 กิโลเมตร และคนที่จะขอเทียบวุฒิไม่จำเป็นต้องมาเรียนแต่ทำการบ้านและหัวข้อวิจัยผ่านระบบออนไลน์ได้
 
ด้าน ดร.ณัฐวัชร จันทโรธรณ์ อาจารย์ประจำหลักสูตรคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริก เคยเป็นอาจารย์ของหมอเกศและที่ปรึกษาของหมอเกศ กล่าวว่า ตนเองได้ให้คำปรึกษากับหมอเกศ ไปแล้วว่าในการสมัคร สว.ไม่จำเป็นใช้วุฒิการศึกษาที่จบจากต่างประเทศ แต่เจ้าตัวยังยืนยันว่าจะใส่ลงไปในใบสมัคร จึงได้เขียนหนังสือปรึกษาไปยัง กกต.
 
ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากรองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งปฎิบัติหน้าที่แทนเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าให้นำวุฒิการศึกษาไปใส่ในข้อ 3 คือประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครได้ แต่ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจและถูกตรวจสอบ หมอเกศยอมรับว่าเครียดเพราะมีผลกระทบกับความรู้สึกและครอบครัว แต่ยังไม่ถอดใจออกจากการเป็น สว.
 
ขณะที่ทนายเดชา กล่าวว่า ได้รับการแต่งตั้งจากหมอเกศ ให้เป็นทนายความในการฟ้องร้องเอาผิด บุคคลที่หมิ่นประมาททำให้เสียชื่อเสียง โดยเฉพาะนักวิชาการ พี่ออกสื่อวิพากษ์วิจารณ์รวมถึงนักเคลื่อนไหว ทางการเมืองที่ยื่นให้ตรวจสอบตนเอง ให้คนเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของศาล หากใครยืนยันว่าการศึกษาของหมอเกศ นำมาใช้เป็นของปลอม ให้ไปพิสูจน์กันในชั้นศาล ส่วนสื่อมวลชนถือว่าทำตามหน้าที่จะไม่มีการเอาผิดหรือฟ้องร้องแน่นอน
 

 
“ณรงเดช-ก้าวไกล” ชี้ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ผิดฝาผิดตัว
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_745264/

“ณรงเดช-ก้าวไกล” ชี้ “ปุ๋ยคนละครึ่ง”ผิดฝาผิดตัว ลดต้นทุน-เพิ่มผลผลิตข้าวไม่ได้จริง ทำชาวนายากลำบากกว่าเดิม สะท้อนรัฐบาลออกแบบนโยบายโดยไม่เข้าใจ-ไม่ฟังเสียงประชาชน
 
นายณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นถึงโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวหรือโครงการ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ของรัฐบาล โดยกล่าวว่า ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา โครงการนี้ถูกตั้งคำถามมากมายทั้งจากชาวนาและ สส.ในสภาฯ เพราะมีความยุ่งยากซับซ้อน และมีเงื่อนไขหลายประการที่ไม่ตอบโจทย์พี่น้องชาวนา จนกลายเป็นประเด็นสำคัญที่คณะกรรมาธิการการเกษตรฯ ต้องเชิญหน่วยงานต่างๆ มาชี้แจงถึง 2 ครั้ง ในวันที่ 3 และ 11 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา
 
โครงการปุ๋ยคนละครึ่งเป็นโครงการภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/2568 ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567 โดยรัฐบาลจะสมทบค่าปุ๋ย (เคมีและอินทรีย์) และชีวภัณฑ์ให้กับชาวนาแบบซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ภายในวงเงิน 500 บาทต่อไร่ ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือคิดเป็นมูลค่าการสนับสนุนสูงสุด 10,000 บาทต่อครัวเรือน โดยมีเงื่อนไขว่า ชาวนาต้องสั่งซื้อปุ๋ยผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เท่านั้น เลือกสูตรปุ๋ยที่ต้องการใช้ในการทำนาจากทั้งหมด 16 สูตร จ่ายเงินจากบัญชีของ ธ.ก.ส.ที่ตนมีอยู่ไปก่อน (สำหรับมูลค่าปุ๋ยที่ตนซื้อเอง) แล้วไปรับปุ๋ย (ทั้งส่วนที่ตนซื้อและรัฐบาลสมทบ) ผ่านสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกหรืออยู่ใกล้เคียง ตามที่ชาวนาแจ้งไว้ในแอปพลิเคชัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่