บริษัทวิเคราะห์ประเมินจะมีบริษัทรถยนต์ 'อีวีจีน' เป็นผู้เหลือรอดทำกำไรได้ไม่ถึง 20 ราย จากทั้งหมด 137 รายทั่วประเทศภายในปี 2030 เหตุการแข่งขันดุเดือด ไม่แกร่งจริง-สายป่านสั้น อยู่ไม่ไหว
.
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างบริษัทที่ปรึกษาเอลิกซ์พาร์ทเนอร์สว่า จะมีบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในจีนเพียง 19 ราย จากทั้งหมด 137 รายเท่านั้น ที่สามารถทำกำไรและอยู่รอดได้ภายในสิ้นทศวรรษนี้ หรือภายใน 6 ปีข้างหน้า โดยที่เหลืออาจจะต้องออกจากอุตสาหกรรมนี้ไป หรือหาทางออกด้วยการควบรวมกิจการ หรือหันไปแข่งขันในตลาดอื่นที่เล็กกว่าแทน
.
"สงครามราคา" ในตลาดรถยนต์อีวีที่รุนแรงและดำเนินมานานเกือบ 2 ปีแล้ว เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันกำไรของบริษัทรถอีวีบางรายและคาดว่าจะยังดำเนินไปอีกอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด เช่น บีวายดี (BYD) และเทสลา (Tesla) ยังมีแผนที่จะเดินหน้ากลยุทธ์ครองส่วนแบ่งการตลาดต่อ
.
"ตราบใดที่ผู้เล่นรายใหญ่เช่น BYD ยังทำกำไรได้ สงครามราคาก็ยังมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป" สตีเฟน ไดเออร์ กรรมการผู้จัดการบริษัทที่ปรึกษาเอลิกซ์พาร์ทเนอร์สในเซี่ยงไฮ้กล่าว
.
ทั้งนี้ แม้ว่าราคาขายรถยนต์โดยเฉลี่ยในจีนจะปรับตัวลงถึง 13.4% เมื่อปีที่แล้ว แต่บริษัทรถยนต์จีนกลับยังทำกำไรเฉลี่ยเพิ่มถึง 7.8% ในปี 2566 หรือเพิ่มขึ้นจาก 6.3% เมื่อปีก่อน ในขณะที่บรรดาค่ายรถยนต์ต่างพากันลดต้นทุนด้วยการกดราคาซัพพลายเออร์และปรับกลยุทธ์ด้วยการเร่งออกรถรุ่นใหม่ๆ วางตลาดให้เร็วขึ้น
.
รายงานระบุว่า ภายในปี 2573 บริษัทรถยนต์สัญชาติจีนจะครองส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์โลกเพิ่มขึ้นเป็น 33% สำหรับตลาดรถยนต์ทั้งหมด และ 45% สำหรับตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) อย่างไรก็ตาม สำหรับส่วนแบ่งการตลาดในยุโรปนั้นจะลดลงเหลือเพียง 12% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 15% เนื่องจากผลกระทบของมาตรการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์อีวีจากจีนล่าสุด
.
.
อ่านต่อ:
https://www.bangkokbiznews.com/world/1135515?anm=
.
ที่มา :
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจBusiness #กรุงเทพธุรกิจAuto
คาด 'อีวีจีน' เจ๊งยับนับร้อยภายใน 2030 แข่งเดือดเหลือบริษัทรอดไม่ถึง 20 ราย
.
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างบริษัทที่ปรึกษาเอลิกซ์พาร์ทเนอร์สว่า จะมีบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในจีนเพียง 19 ราย จากทั้งหมด 137 รายเท่านั้น ที่สามารถทำกำไรและอยู่รอดได้ภายในสิ้นทศวรรษนี้ หรือภายใน 6 ปีข้างหน้า โดยที่เหลืออาจจะต้องออกจากอุตสาหกรรมนี้ไป หรือหาทางออกด้วยการควบรวมกิจการ หรือหันไปแข่งขันในตลาดอื่นที่เล็กกว่าแทน
.
"สงครามราคา" ในตลาดรถยนต์อีวีที่รุนแรงและดำเนินมานานเกือบ 2 ปีแล้ว เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันกำไรของบริษัทรถอีวีบางรายและคาดว่าจะยังดำเนินไปอีกอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด เช่น บีวายดี (BYD) และเทสลา (Tesla) ยังมีแผนที่จะเดินหน้ากลยุทธ์ครองส่วนแบ่งการตลาดต่อ
.
"ตราบใดที่ผู้เล่นรายใหญ่เช่น BYD ยังทำกำไรได้ สงครามราคาก็ยังมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป" สตีเฟน ไดเออร์ กรรมการผู้จัดการบริษัทที่ปรึกษาเอลิกซ์พาร์ทเนอร์สในเซี่ยงไฮ้กล่าว
.
ทั้งนี้ แม้ว่าราคาขายรถยนต์โดยเฉลี่ยในจีนจะปรับตัวลงถึง 13.4% เมื่อปีที่แล้ว แต่บริษัทรถยนต์จีนกลับยังทำกำไรเฉลี่ยเพิ่มถึง 7.8% ในปี 2566 หรือเพิ่มขึ้นจาก 6.3% เมื่อปีก่อน ในขณะที่บรรดาค่ายรถยนต์ต่างพากันลดต้นทุนด้วยการกดราคาซัพพลายเออร์และปรับกลยุทธ์ด้วยการเร่งออกรถรุ่นใหม่ๆ วางตลาดให้เร็วขึ้น
.
รายงานระบุว่า ภายในปี 2573 บริษัทรถยนต์สัญชาติจีนจะครองส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์โลกเพิ่มขึ้นเป็น 33% สำหรับตลาดรถยนต์ทั้งหมด และ 45% สำหรับตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) อย่างไรก็ตาม สำหรับส่วนแบ่งการตลาดในยุโรปนั้นจะลดลงเหลือเพียง 12% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 15% เนื่องจากผลกระทบของมาตรการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์อีวีจากจีนล่าสุด
.
.
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/world/1135515?anm=
.
ที่มา :
#กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจBusiness #กรุงเทพธุรกิจAuto