ก้าวไกล-กกต.ตรวจพยานหลักฐานคดียุบพรรค ฮือฮา! ชัยธวัช ยื่น สุรพล นิติไกรพจน์ เป็นพยานเพิ่ม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4671199
ก้าวไกล -กกต. ตามนัดส่งตัวแทนเข้าร่วมตรวจพยานหลักฐานคดียุบก้าวไกล “ชัยธวัช” ยื่นพยานเพิ่มอีก 1 ปากเป็นที่ปรึกษา กม.กกต. ยันไม่กังวลใจ พร้อมสู้เต็มที่ หวังศาลเปิดไต่สวนตามขอ
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญนัดตรวจพยานหลักฐานของคู่กรณีในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนายทะเบียนพรรคการเมือง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของบุคคลผู้เป็นคณะกรรมการบริหารพรรค และห้ามมิให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคและถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง เนื่องจากมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 โดยการนัดตรวจพยาน จะมีตัวแทนของพรรคก้าวไกล และ กกต.มาร่วม
จากนั้นในเวลา 13.00 น. นาย
ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล พร้อมทีมฝ่ายกฎหมายของพรรค เดินทางมายังศาลรัฐธรรมนูญ โดยนาย
ชัยธวัชให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดให้ตรวจพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในคดีที่ กกต.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องให้มีการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ยื่นพยานบุคคลทั้งหมด 10 ปาก และในวันนี้ จะมายื่นบันทึกถ้อยคำเพิ่มอีก 1 ปากคือ นาย
สุรพล นิติไกรพจน์ ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมายมหาชน และที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กกต.ด้วย วันนี้เรามั่นใจในข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่เราต่อสู้ และไม่ได้กังวลใจ แต่หลังจากยื่นพยานหลักฐานในวันนี้แล้ว คาดหวังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเปิดการไต่สวนตามพยานหลักฐานพรรคก้าวไกลได้ร้องขอ.
เผยรายชื่อจังหวัด เตือน ฝนตกหนัก เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าหลาก
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_777777823234
สทนช. เตือน มรสุมกระหน่ำ ฝนตกหนัก เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ระหว่างวันที่ 9-17 ก.ค.นี้ เปิดรายชื่อจังหวัดไหนโดนบ้าง
วันที่ 10 ก.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เตือน เฝ้าระวัง น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ช่วงวันที่ 9-17 กรกฎาคม 2567
ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านบริเวณภาคกลางตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ต้องเฝ้าระวังบริเวณพื้นที่ลาดเชิงเขา พื้นที่ลุ่มต่ำ และพื้นที่ชุมชนเมืองที่เคยเกิดน้ำท่วมขังระบายไม่ทัน ในบริเวณพื้นที่
ภาคเหนือ : จ.แม่ฮ่องสอน ตาก สุโขทัย น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ และเพชรบูรณ์
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.เลย อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม และอุบลราชธานี
ภาคตะวันออก : จ.ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
ภาคใต้ : จ.ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล ยะลา และนราธิวาส
ธปท.ห่วงอีสาน รายได้น้อยกว่ารายจ่าย 5 พันบ. ซีไอเอ็มบีชี้ไตรมาส3เศรษฐกิจฟื้น
https://www.matichon.co.th/economy/news_4672470
ธปท.ห่วงอีสาน รายได้น้อยกว่ารายจ่าย 5 พันบ. ซีไอเอ็มบีชี้ไตรมาส3เศรษฐกิจฟื้น
นาย
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวเปิดงานสัมมนาประจำปี 2567 แก้หนี้เกษตรอีสานอย่างไร ให้ยั่งยืน จัดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในหัวข้อ “
การเงินกับความกินดีอยู่ดีของคนอีสาน” ที่จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ตอนหนึ่งว่า ภาคอีสานเผชิญกับปัญหารายได้เติบโตช้า ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย มีรายได้น้อยกว่ารายจ่ายมากถึง 5,396 บาท ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีช่องว่าง สูงที่สุด เมื่อเทียบกับภาคอื่นในประเทศ และยังมีการพึ่งพาเงินช่วยเหลือมากที่สุดที่ 5,024 บาทต่อครัวเรือน รวมทั้งแรงกว่า 50% อยู่ในภาคการเกษตร ทำให้โอกาสที่รายได้จะเติบโตไม่มากนัก เนื่องจากพึ่งพารายได้เพียง 1 รอบต่อปี
นาย
เศรษฐพุฒิ กล่าวต่อว่าสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับสูงคือ มีสัดส่วน 90.8% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) อย่างที่ภาคอีสานนั้น ช่องว่างรายได้กับรายจ่ายมีการถ่างมากขึ้น โดยปี 2556 รายได้น้อยกว่ารายจ่ายที่ 2,338 บาท ส่วนปี 2566 รายได้น้อยกว่ารายจ่ายมากขึ้นที่ 5,396 บาท สะท้อนเมื่อรายได้น้อยกว่ารายจ่ายมากๆ ก็หนีไม่พ้นการก่อหนี้ใหม่ ถึงแม้จะแก้หนี้เก่าได้ แต่ถ้าไม่แก้เรื่องของความเพียงพอของรายได้ ปัญหาเรื่องหนี้สินก็ไม่จบ เพราะก็จะมีหนี้ก้อนใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ดังนั้นต้องแก้ให้ครบวงจร สำหรับแนวทางการเงิน สู่ความกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1. ดูแลรายจ่ายไม่ให้สูงและเสถียรภาพราคา โดยหน้าที่ของธปท. ก็คือดูแลเรื่องเสถียรภาพของราคา เงินเฟ้อ และค่าครองชีพให้ไม่สูงเกินไป2. ดูแลให้รายได้โตอย่างยั่งยืน และ 3.แก้ปัญหาหนี้สิน ซึ่งหนี้เป็นเรื่องที่อยู่กับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมากนาน โดยควรปรับลดลงไปอยู่ไม่เกิน 80% ของจีดีพี แต่จะทำให้ลดเร็วแรงไปก็ไม่ดี เพราะจะทำให้ทุกอย่างสะดุด ดังนั้น ก็ต้องทำให้สินเชื่อเติบโตอย่างเหมาะสม ด้วยมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม พร้อมทั้งมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน โดยในส่วนของภาคอีสานคือ เรื่องการแก้ไขหนี้เกษตรกร
ด้าน นาย
อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังของปี 2567 และ ปี 2568 คาดการณ์การขยายตัวจีดีพีปี 2567 อยู่ที่ 2.3% และให้แนวโน้มสำหรับปี 2568 ที่ 3.2% โดยคาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะเร่งตัวขึ้น โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวของอุปสงค์จากต่างประเทศ ส่วนภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป รวมถึงการส่งออกที่จะฟื้นตัวได้ดีขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการค้าโลกและความต้องการสินค้าไทย ทั้งนี้ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนน่ามีผลให้ไทยได้ประโยชน์จากการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐมากขึ้น จะช่วยสนับสนุนภาคการผลิตและการจ้างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอาหารแปรรูป
“
เชื่อว่ารัฐบาลไทยมีงบประมาณและดำเนินมาตรการการคลังที่มุ่งเป้าเพื่อกระตุ้นการลงทุนและเพิ่มการบริโภคภายในประเทศโดยไม่เพิ่มภาระหนี้ของรัฐบาล นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานที่กำลังเร่งตัวขึ้น ทำให้การเชื่อมต่อดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างโอกาสในการจ้างงาน” นาย
อมรเทพ กล่าว
JJNY : ฮือฮา! ชัยธวัชยื่น สุรพลเป็นพยาน│เตือนฝนตกหนัก เฝ้าระวังน้ำท่วม│ธปท.ห่วงอีสาน│ญี่ปุ่นเผชิญสภาพอากาศร้อนจัด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4671199
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญนัดตรวจพยานหลักฐานของคู่กรณีในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนายทะเบียนพรรคการเมือง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของบุคคลผู้เป็นคณะกรรมการบริหารพรรค และห้ามมิให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคและถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง เนื่องจากมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 โดยการนัดตรวจพยาน จะมีตัวแทนของพรรคก้าวไกล และ กกต.มาร่วม
จากนั้นในเวลา 13.00 น. นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล พร้อมทีมฝ่ายกฎหมายของพรรค เดินทางมายังศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายชัยธวัชให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดให้ตรวจพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในคดีที่ กกต.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องให้มีการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ยื่นพยานบุคคลทั้งหมด 10 ปาก และในวันนี้ จะมายื่นบันทึกถ้อยคำเพิ่มอีก 1 ปากคือ นายสุรพล นิติไกรพจน์ ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมายมหาชน และที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กกต.ด้วย วันนี้เรามั่นใจในข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่เราต่อสู้ และไม่ได้กังวลใจ แต่หลังจากยื่นพยานหลักฐานในวันนี้แล้ว คาดหวังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเปิดการไต่สวนตามพยานหลักฐานพรรคก้าวไกลได้ร้องขอ.
เผยรายชื่อจังหวัด เตือน ฝนตกหนัก เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าหลาก
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_777777823234
สทนช. เตือน มรสุมกระหน่ำ ฝนตกหนัก เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ระหว่างวันที่ 9-17 ก.ค.นี้ เปิดรายชื่อจังหวัดไหนโดนบ้าง
วันที่ 10 ก.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เตือน เฝ้าระวัง น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ช่วงวันที่ 9-17 กรกฎาคม 2567
ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านบริเวณภาคกลางตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ต้องเฝ้าระวังบริเวณพื้นที่ลาดเชิงเขา พื้นที่ลุ่มต่ำ และพื้นที่ชุมชนเมืองที่เคยเกิดน้ำท่วมขังระบายไม่ทัน ในบริเวณพื้นที่
ภาคเหนือ : จ.แม่ฮ่องสอน ตาก สุโขทัย น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ และเพชรบูรณ์
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.เลย อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม และอุบลราชธานี
ภาคตะวันออก : จ.ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
ภาคใต้ : จ.ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล ยะลา และนราธิวาส
ธปท.ห่วงอีสาน รายได้น้อยกว่ารายจ่าย 5 พันบ. ซีไอเอ็มบีชี้ไตรมาส3เศรษฐกิจฟื้น
https://www.matichon.co.th/economy/news_4672470
ธปท.ห่วงอีสาน รายได้น้อยกว่ารายจ่าย 5 พันบ. ซีไอเอ็มบีชี้ไตรมาส3เศรษฐกิจฟื้น
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวเปิดงานสัมมนาประจำปี 2567 แก้หนี้เกษตรอีสานอย่างไร ให้ยั่งยืน จัดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในหัวข้อ “การเงินกับความกินดีอยู่ดีของคนอีสาน” ที่จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ตอนหนึ่งว่า ภาคอีสานเผชิญกับปัญหารายได้เติบโตช้า ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย มีรายได้น้อยกว่ารายจ่ายมากถึง 5,396 บาท ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีช่องว่าง สูงที่สุด เมื่อเทียบกับภาคอื่นในประเทศ และยังมีการพึ่งพาเงินช่วยเหลือมากที่สุดที่ 5,024 บาทต่อครัวเรือน รวมทั้งแรงกว่า 50% อยู่ในภาคการเกษตร ทำให้โอกาสที่รายได้จะเติบโตไม่มากนัก เนื่องจากพึ่งพารายได้เพียง 1 รอบต่อปี
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวต่อว่าสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับสูงคือ มีสัดส่วน 90.8% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) อย่างที่ภาคอีสานนั้น ช่องว่างรายได้กับรายจ่ายมีการถ่างมากขึ้น โดยปี 2556 รายได้น้อยกว่ารายจ่ายที่ 2,338 บาท ส่วนปี 2566 รายได้น้อยกว่ารายจ่ายมากขึ้นที่ 5,396 บาท สะท้อนเมื่อรายได้น้อยกว่ารายจ่ายมากๆ ก็หนีไม่พ้นการก่อหนี้ใหม่ ถึงแม้จะแก้หนี้เก่าได้ แต่ถ้าไม่แก้เรื่องของความเพียงพอของรายได้ ปัญหาเรื่องหนี้สินก็ไม่จบ เพราะก็จะมีหนี้ก้อนใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ดังนั้นต้องแก้ให้ครบวงจร สำหรับแนวทางการเงิน สู่ความกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1. ดูแลรายจ่ายไม่ให้สูงและเสถียรภาพราคา โดยหน้าที่ของธปท. ก็คือดูแลเรื่องเสถียรภาพของราคา เงินเฟ้อ และค่าครองชีพให้ไม่สูงเกินไป2. ดูแลให้รายได้โตอย่างยั่งยืน และ 3.แก้ปัญหาหนี้สิน ซึ่งหนี้เป็นเรื่องที่อยู่กับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมากนาน โดยควรปรับลดลงไปอยู่ไม่เกิน 80% ของจีดีพี แต่จะทำให้ลดเร็วแรงไปก็ไม่ดี เพราะจะทำให้ทุกอย่างสะดุด ดังนั้น ก็ต้องทำให้สินเชื่อเติบโตอย่างเหมาะสม ด้วยมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม พร้อมทั้งมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน โดยในส่วนของภาคอีสานคือ เรื่องการแก้ไขหนี้เกษตรกร
ด้าน นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังของปี 2567 และ ปี 2568 คาดการณ์การขยายตัวจีดีพีปี 2567 อยู่ที่ 2.3% และให้แนวโน้มสำหรับปี 2568 ที่ 3.2% โดยคาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะเร่งตัวขึ้น โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวของอุปสงค์จากต่างประเทศ ส่วนภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป รวมถึงการส่งออกที่จะฟื้นตัวได้ดีขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการค้าโลกและความต้องการสินค้าไทย ทั้งนี้ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนน่ามีผลให้ไทยได้ประโยชน์จากการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐมากขึ้น จะช่วยสนับสนุนภาคการผลิตและการจ้างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอาหารแปรรูป
“เชื่อว่ารัฐบาลไทยมีงบประมาณและดำเนินมาตรการการคลังที่มุ่งเป้าเพื่อกระตุ้นการลงทุนและเพิ่มการบริโภคภายในประเทศโดยไม่เพิ่มภาระหนี้ของรัฐบาล นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานที่กำลังเร่งตัวขึ้น ทำให้การเชื่อมต่อดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างโอกาสในการจ้างงาน” นายอมรเทพ กล่าว