บทวิจารณ์จากเพจ นักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง
ประเด็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของบทละคร #ในวันที่ฝนพร่างพราย ep8 ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดให้สังคมเกี่ยวกับเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว
คือซีนนี้ที่เตย อดีตเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวบุกเข้ามาหาปลายฝนในห้องพักส่วนตัวพร้อมแฟนที่เคยทำร้ายร่างกาย
ซีนนี้มีความคลาดเคลื่อนของความถูกต้องในหลักการและจรรยาบรรณการทำงานหลายประการ
แต่สำหรับแอดมินแล้ว สิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้เลยคือสิ่งที่ซีนนี้สื่อสารออกมา ที่ทำให้ความรุนแรงระหว่างคู่รัก ( intimate partner violence) ดูเป็นเรื่องน่าขบขัน เป็นเรื่องที่คนทะเลาะกันแล้วก็หาย เป็นเรื่องที่ไม่ควรจริงจัง
เพราะภาพจำแบบนี้อาจส่งผลเชิงลบอย่างมหาศาลกับอคติที่มีอยู่เดิมของผู้ปฏิบัติงานและสังคมที่เข้าใจว่าเรื่องความรุนแรงในครอบครัวหรือความรุนแรงระหว่างคู่รักเป็นเรื่องของคนสองคน หรือเป็นเรื่องของผัวเมียทะเลาะกัน ที่คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งหรือถ้าเข้าไปยุ่งแล้วหากเขาคืนดีกันเราจะกลายเป็นหมา
คืองี้ ฝนอาจจะไม่ได้จบตรง หรือไม่มีความรู้ แต่เราจะแจ้งให้ฝนทราบว่า ในฐานะนักสังคมสงเคราะห์ที่ทำงานกับเคสความรุนแรงในครอบครัว ฝนจะต้องรู้จักวัฎจักรความรุนแรงระหว่างคู่รัก ถ้าฝนรู้สิ่งนี้ ฝนจะต้องรู้ว่า เตยกำลังอยู่ในช่วง honey moon phase ซึ่งเป็นช่วงของการขอโทษคืนดี ที่ผู้กระทำจะสัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้วจะแฝงมาด้วยการโทษเหยื่อว่าเพราะเหยื่อทำแบบนี้ ตัวเองเลยเผลอลงไม้ลงมือ
วัฎจักรนี้อาจนำไปสู่ช่วงสงบ แล้วเริ่มสร้างความอัดอั้น ที่จะนำไปสู่การปะทุความรุนแรงครั้งใหม่ เวียนไปเป็นวงรอบ ถ้าวงจรนี้วนไปเรื่อย ๆ โดยไม่ถูกแทรกแซง ผ่านการเพิ่มปัจจัยบวกต่าง ๆ เข้าไปแล้ว ก็มีแนวโน้มที่ความรุนแรงในแต่ละรอบจะดำเนินไปหรือร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ
โดยหลักแล้ว การทำงานกับเคสที่เลือกที่จะกลับคืนสู่ความสัมพันธ์กับผู้ที่เคยกระทำเขา สิ่งแรกที่ฝนต้องหลีกเลี่ยงและไม่ทำเลยนะคะ คือการตำหนิผู้ใช้บริการค่ะ
ประโยคประเภท “เตยยย แต่เขาทำร้ายเตยนะ เตยยังจะเชื่อเขาอยู่อีกเหรอ” หรือ “แต่เตยเป็นคนขอให้มูลนิธิฟ้องเองนะ ” ไม่ควรหลุดออกมาจากฝนที่เคลมตัวเองว่าเป็นนักสังคมสงเคราะห์นะคะ เพราะมันทั้งตำหนิ และโยนความผิดให้เคสโดยปราศจากความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในการทำงานกับเคสความรุนแรงระหว่างคู่รักเลย
ep แรก ๆ ยังพอเข้าใจค่ะว่าเพิ่งเริ่มงาน แต่นี่ ep 8 ที่ฝนทำงานมาหลายปีแล้วแสดงว่าถ้าฝนไม่ใฝ่รู้เลย องค์กรก็ไม่ได้ลงทุนกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร
แล้วอีความเห็นที่ว่า สงสัยเราคงเป็น “คู่เวรคู่กรรมกัน” นั้นมันไม่ได้เลยค่ะ ไม่ด๊ายย…….. การมองมนุษย์และสถานการณ์ของเคสที่ใช้หลักบุญธรรมกรรมแต่ง หรือตอนเรียนเราจะเรียกว่าการมองแบบ “นิยัตินิยม” นั้น เป็นสิ่งที่นักสังคมสงเคราะห์ปฏิเสธ เพราะถ้าโทษเวรโทษกรรม ก็ไม่ต้องมีค่ะ นักสังคมสงเคราะห์ ไม่ต้องมีสวัสดิการอะไรค่ะ ให้อยู่กันตามเวรตามกรรมไป
ปลายฝน เธอไม่เริ่ดอ่ะ เนี่ยวิชานี้เค้าเรียนกันตั้งแต่ปี 1 นะฝน เธอนี่คือ ผลลัพธ์ของการรับนักสังคมสงเคราะห์วุฒิเปิดจริง ๆ ด้วย
บทละครเรื่องในวันที่ฝนพร่างพราย โดนนักสังคมสงเคราะห์วิจารณ์ยับ
คือซีนนี้ที่เตย อดีตเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวบุกเข้ามาหาปลายฝนในห้องพักส่วนตัวพร้อมแฟนที่เคยทำร้ายร่างกาย
ซีนนี้มีความคลาดเคลื่อนของความถูกต้องในหลักการและจรรยาบรรณการทำงานหลายประการ
แต่สำหรับแอดมินแล้ว สิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้เลยคือสิ่งที่ซีนนี้สื่อสารออกมา ที่ทำให้ความรุนแรงระหว่างคู่รัก ( intimate partner violence) ดูเป็นเรื่องน่าขบขัน เป็นเรื่องที่คนทะเลาะกันแล้วก็หาย เป็นเรื่องที่ไม่ควรจริงจัง
เพราะภาพจำแบบนี้อาจส่งผลเชิงลบอย่างมหาศาลกับอคติที่มีอยู่เดิมของผู้ปฏิบัติงานและสังคมที่เข้าใจว่าเรื่องความรุนแรงในครอบครัวหรือความรุนแรงระหว่างคู่รักเป็นเรื่องของคนสองคน หรือเป็นเรื่องของผัวเมียทะเลาะกัน ที่คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งหรือถ้าเข้าไปยุ่งแล้วหากเขาคืนดีกันเราจะกลายเป็นหมา
คืองี้ ฝนอาจจะไม่ได้จบตรง หรือไม่มีความรู้ แต่เราจะแจ้งให้ฝนทราบว่า ในฐานะนักสังคมสงเคราะห์ที่ทำงานกับเคสความรุนแรงในครอบครัว ฝนจะต้องรู้จักวัฎจักรความรุนแรงระหว่างคู่รัก ถ้าฝนรู้สิ่งนี้ ฝนจะต้องรู้ว่า เตยกำลังอยู่ในช่วง honey moon phase ซึ่งเป็นช่วงของการขอโทษคืนดี ที่ผู้กระทำจะสัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้วจะแฝงมาด้วยการโทษเหยื่อว่าเพราะเหยื่อทำแบบนี้ ตัวเองเลยเผลอลงไม้ลงมือ
วัฎจักรนี้อาจนำไปสู่ช่วงสงบ แล้วเริ่มสร้างความอัดอั้น ที่จะนำไปสู่การปะทุความรุนแรงครั้งใหม่ เวียนไปเป็นวงรอบ ถ้าวงจรนี้วนไปเรื่อย ๆ โดยไม่ถูกแทรกแซง ผ่านการเพิ่มปัจจัยบวกต่าง ๆ เข้าไปแล้ว ก็มีแนวโน้มที่ความรุนแรงในแต่ละรอบจะดำเนินไปหรือร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ
โดยหลักแล้ว การทำงานกับเคสที่เลือกที่จะกลับคืนสู่ความสัมพันธ์กับผู้ที่เคยกระทำเขา สิ่งแรกที่ฝนต้องหลีกเลี่ยงและไม่ทำเลยนะคะ คือการตำหนิผู้ใช้บริการค่ะ
ประโยคประเภท “เตยยย แต่เขาทำร้ายเตยนะ เตยยังจะเชื่อเขาอยู่อีกเหรอ” หรือ “แต่เตยเป็นคนขอให้มูลนิธิฟ้องเองนะ ” ไม่ควรหลุดออกมาจากฝนที่เคลมตัวเองว่าเป็นนักสังคมสงเคราะห์นะคะ เพราะมันทั้งตำหนิ และโยนความผิดให้เคสโดยปราศจากความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในการทำงานกับเคสความรุนแรงระหว่างคู่รักเลย
ep แรก ๆ ยังพอเข้าใจค่ะว่าเพิ่งเริ่มงาน แต่นี่ ep 8 ที่ฝนทำงานมาหลายปีแล้วแสดงว่าถ้าฝนไม่ใฝ่รู้เลย องค์กรก็ไม่ได้ลงทุนกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร
แล้วอีความเห็นที่ว่า สงสัยเราคงเป็น “คู่เวรคู่กรรมกัน” นั้นมันไม่ได้เลยค่ะ ไม่ด๊ายย…….. การมองมนุษย์และสถานการณ์ของเคสที่ใช้หลักบุญธรรมกรรมแต่ง หรือตอนเรียนเราจะเรียกว่าการมองแบบ “นิยัตินิยม” นั้น เป็นสิ่งที่นักสังคมสงเคราะห์ปฏิเสธ เพราะถ้าโทษเวรโทษกรรม ก็ไม่ต้องมีค่ะ นักสังคมสงเคราะห์ ไม่ต้องมีสวัสดิการอะไรค่ะ ให้อยู่กันตามเวรตามกรรมไป
ปลายฝน เธอไม่เริ่ดอ่ะ เนี่ยวิชานี้เค้าเรียนกันตั้งแต่ปี 1 นะฝน เธอนี่คือ ผลลัพธ์ของการรับนักสังคมสงเคราะห์วุฒิเปิดจริง ๆ ด้วย