JJNY : 5in1 ศก.แย่ ข้าวของแพง│หนี้ครัวเรือนพุ่ง-แอลทีวีฉุดดัชนีอสังหาฯ│หน่อยจี้ทบทวน│วรชัยโต้หมอมิ้ง│รมต.อังกฤษให้คำมั่น

ร้านอาหาร-สถานบันเทิง รับ เศรษฐกิจแย่ ข้าวของแพง ลูกค้าหายเพียบ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_777777819857

 
ตรัง – ร้านอาหาร-สถานบันเทิง รับ เศรษฐกิจแย่ ข้าวของแพง ลูกค้าหายเพียบ ไม่ออกมากินเที่ยว 1-2 ทุ่มหลายพื้นที่ในเมืองแทบจะเงียบทั้งหมด
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร้านอาหาร-สถานบันเทิง จ.ตรัง ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า เวลานี้เศรษฐกิจสุดแย่ ลูกค้าหดหายจนกระทบธุรกิจอย่างหนัก เหตุข้าวของแพง ก๊าซขึ้นราคา จนผู้คนออกมากินมาเที่ยวไม่ไหว อีกทั้งยังมีปัญหาขึ้นค่าแรงซ้ำเติม
 
น.ส.ณัฐนพิน ลิ่มเส้ง เจ้าของร้าน “สังข์ ข้าวต้ม” เทศบาลนครตรัง เล่าว่า ตอนนี้ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 16.00 – 23.00 น. แต่เดิมคนจะคึกคักตั้งแต่ร้านเปิดไปจนถึงประมาณถึง 01.00 น. ทว่านับตั้งแต่เดือน พ.ค. เป็นต้นมา บรรยากาศค่อนข้างจะเงียบเหงา 19.00 – 20.00 น. ก็เงียบแล้ว ไม่มีคน ส่วนร้านอาหารอื่น ๆ ก็สภาพเช่นเดียวกัน ลูกค้าหายไปร้อยละ 40-50
 
ตนเคยถามลูกค้าขาจร ได้บอกว่าช่วงนี้ข้าวของแพง วัตถุดิบราคาสูง ทำกินในครัวเรือนประหยัดกว่าการออกมาทานนอกบ้าน ตรงนี้ร้านอาหารจึงกระทบหนัก ขณะเดียวกันวัตถุดิบอาหารสด อาหารทะเล พืชผัก เครื่องปรุง ราคาแพง ส่วนก๊าซหุงต้มก็ปรับราคาขึ้น แต่ราคาอาหารกลับขึ้นไม่ได้ เพราะเรากลัวกระทบต่อลูกค้า
 
ยิ่งหากรัฐบาลประกาศขึ้นค่าแรงอีก พนักงานคงต้องสลับกันหยุด เพราะหากทำทุกวันเหมือนเดิมร้านคงสู้ไม่ไหว
 
ด้าน นายประสิทธิ สำนักเหยา ผู้ประกอบการร้าน DEED CLUB สถานบันเทิงชื่อดังใน จ.ตรัง เล่าว่า ปัญหาเศรษฐกิจ ข้าวของสินค้าแพง ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทั้งร้านอาหาร สถานบันเทิง ผู้คนปรับตัวประหยัด ออกเที่ยวนอกบ้านน้อยลง ส่วนคนที่มาสถานบันเทิงจะประหยัด สั่งเฉพาะเครื่องดื่ม แม้คืนที่มีคอนเสิร์ต โต๊ะยังขายได้น้อย มีปัญหาเหมือนกันทุกร้าน
 
รัฐบาลควรมีมาตรการลดราคาสินค้า ลดค่าครองชีพประชาชน กระตุ้นการท่องเที่ยว อีกทั้งตนไม่เห็นด้วยต่อการแจกเงินดิจิทัล เพราะไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืน รวมทั้งไม่เห็นด้วยต่อการปรับขึ้นค่าแรง เพราะขณะนี้ทุกร้านก็หนักอยู่แล้ว เฉพาะสถานบันเทิงตนมีพนักงาน 150 คน ตอนนี้พยายามปรับรายจ่ายไม่จำเป็นออกเท่าที่จะทำได้ รวมทั้งขอความร่วมมือปรับฐานเงินเดือนพนักงาน 3 เดือน หากเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะปรับคืนให้ ซึ่งพนักงานก็ช่วยกันเต็มที่



หนี้ครัวเรือนพุ่ง-แอลทีวี ฉุดดัชนีอสังหาฯ Q2 ดิ่ง รายย่อยหนักสุดเหลือแค่ 34% กระทบเปิดโครงการใหม่-เชื่อมั่นอนาคต
https://www.matichon.co.th/economy/news_4669952

หนี้ครัวเรือนพุ่ง-แอลทีวี ฉุดดัชนีอสังหาฯ Q2 ดิ่ง รายย่อยหนักสุดเหลือแค่ 34% กระทบเปิดโครงการใหม่-เชื่อมั่นอนาคต 
 
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า  REIC รายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ของไตรมาส 2 ปี 2567 อยู่ที่ระดับ 45.2 จุด ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2567 (QoQ) ที่มีค่าดัชนีเท่ากับระดับ 48.3 จุด โดยลดลง -3.1 จุด และลดลง -2.3 จุด เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับระดับ 47.5 จุด โดยเห็นได้ว่าระดับความเชื่อมั่น ยังคงต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 จุด ต่อเนื่องมา 6 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2566 ถึงไตรมาส 2 ปี 2567 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังคงมีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับที่ต่ำ และลดลงจากเดิมจากความกังวลต่อสถานการณ์ธุรกิจในภาวะปัจจุบัน
 
ดร.วิชัยกล่าวว่า การที่ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการฯ ลดลงนั้น เป็นการลดลงเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะด้านการเปิดโครงการใหม่และ/หรือเฟสใหม่ลดลงมากที่สุด -9.9 จุด โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 49.1 จุด (จากระดับ 59.0 จุด) รองลงมาเป็นด้านผลประกอบการลดลง -4.0 จุด โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 39.5 จุด (จากระดับ 43.5 จุด) ด้านการจ้างงาน ลดลง -3.7 จุด โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 48.7 จุด (จากระดับ 52.4 จุด) ด้านต้นทุนการประกอบการ (ผกผัน) ลดลง-1.4 จุด โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 38.9 จุด (จากระดับ 40.3 จุด) ด้านการลงทุน ลดลง -1.0 จุด ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 47.6 จุด (จากระดับ 48.6 จุด) โดยทุกๆ ด้านมีความเชื่อมั่นต่ำกว่าในระดับ 50.0 จุด ยกเว้นด้านยอดขายที่เพิ่มขึ้น 1.4 จุด ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 47.3 จุด (จากระดับ 45.9 จุด) แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับ 50 จุด
 
เมื่อจำแนกความเชื่อมั่นตามกลุ่มผู้ประกอบการฯ พบว่า ความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันของผู้ประกอบการกลุ่ม Listed Companies (จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) ในไตรมาส 2 ปี 2567 มีค่าดัชนีระดับ 52.2 จุด ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีค่าดัชนีระดับ 52.5 จุด แต่ยังคงมากกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 จุด แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการกลุ่ม Listed Companies ยังมีความเชื่อมั่นเชิงบวกต่อธุรกิจในภาวะปัจจุบัน โดยเฉพาะในด้านยอดขายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 59.6 จุด (จากระดับ 52.5 จุด) การลงทุนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 57.7 จุด (จากระดับ 55.0 จุด) และด้านผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50.0 จุด (จากระดับ 47.5 จุด) แต่มีการปรับตัวลดลงในด้านการเปิดโครงการใหม่และ/หรือเฟสใหม่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 57.7 จุด(จากระดับ 65.0 จุด) ต้นทุนการประกอบการ (ผกผัน) ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 36.5 จุด (จากระดับ 40.0 จุด) และด้านการจ้างงานลดลงมาอยู่ที่ระดับ 51.9 จุด (จากระดับ 55.0 จุด)
 
ขณะที่ผู้ประกอบการกลุ่ม นอกตลาดหลักทรัพย์ Non-listed Companies ในไตรมาส 2 ปี 2567 มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นเพียงระดับ 34.6 จุด และลดลงอย่างมากจากไตรมาสก่อนที่อยู่ระดับ 41.9 จุด ซึ่งต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 จุด ไปมาก แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการรายย่อยกลุ่ม Non-listed Companies มีความเชื่อมั่นในระดับที่ต่ำในภาวะปัจจุบัน เนื่องจากมีปัจจัยลบต่าง ๆ หลายด้าน ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ Non-listed Companies ลดลงในเกือบทุกด้าน 

โดยเฉพาะในด้านผลประกอบการลดลงมาอยู่ที่ระดับ 23.8 จุด (จากระดับ 37.5 จุด) ขณะที่ด้านการเปิดโครงการใหม่และ/หรือเฟสใหม่ที่ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 36.3 จุด (จากระดับ 50.0 จุด) ด้านยอดขายลดลงมาอยู่ที่ระดับ 28.8 จุด (จากระดับ 35.9 จุด) ด้านการลงทุนลดลงมาอยู่ที่ระดับ 32.5 จุด (จากระดับ 39.1 จุด) และด้านการจ้างงานลดลงมาอยู่ที่ระดับ 43.8 จุด (จากระดับ 48.4 จุด) แต่ในด้านต้นทุนการประกอบการ (ผกผัน) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 42.5 จุด (จากระดับ 40.6 จุด)

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑลในภาพรวมอีก 6 เดือนข้างหน้า (Expectations Index) ที่มีค่าดัชนีระดับ 51.4 จุด ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีค่าดัชนีระดับ 57.3 จุด โดยลดลง -5.9 จุด และลดลง -10.7 จุด เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับระดับ 62.1 จุด แต่ยังคงมีค่าดัชนีสูงกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 จุด สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการฯ ยังคงมีความเชื่อมั่นในมุมมองเชิงบวกต่อสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอีก 6 เดือนข้างหน้า หากพิจารณาในแต่ละด้าน พบว่า ในด้านยอดขายปรับตัวลดลงมากที่สุด -12.0 จุด โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 54.4 จุด (จากระดับ 66.4 จุด) รองลงมาเป็นด้านผลประกอบการลดลง -9.0 จุด โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 51.0 จุด (จากระดับ 60.0 จุด) ด้านการลงทุนลดลง -6.3 จุด โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 54.1 จุด (จากระดับ 60.4 จุด) การเปิดตัวโครงการใหม่และ/หรือเฟสใหม่ลดลง -4.0 จุด โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 64.4 จุด (จากระดับ 68.4 จุด) และด้านการจ้างงานลดลง -3.8 จุด โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50.2 จุด (จากระดับ 54.0 จุด) ยกเว้นด้านต้นทุนการประกอบการ (ผกผัน) มีระดับความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น 0.2 จุด ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 34.6 จุด (จากระดับ 34.4 จุด) แต่ก็อยู่ในระดับที่ต่ำมาก
 
ความเชื่อมั่นของภาพรวมอีก 6 เดือนข้างหน้าแสดงให้เห็นว่าปัจจัยลบที่มีผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน คือ ไม่มีการผ่อนคลายมาตรการ  LTV ของ ธปท. และภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงมีอัตราส่วนที่สูงกว่าร้อยละ 90 ของ GDP ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถาบันการเงินต้องเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาการปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย – ปานกลาง รวมถึงภาวะดอกเบี้ยนโยบายยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 2.50 ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยให้ลดลงโดยตรง และการที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีรายได้เพิ่มขึ้นน้อย ในขณะที่ปัจจุบันมีค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นแต่ความสามารถในการซื้อลดลง


 
หน่อย จี้นายกฯ ทบทวนไอเดียเปิดทางต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี แนะเร่งแก้หนี้คนไทย
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_777777820000

สุดารัตน์ จี้ นายกฯ ทบทวนไอเดียเปิดทางต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี-ปล่อยถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดเพิ่มเป็น 75% ทั้งที่คนไทยถูกยึดบ้าน ยึดรถ แนะเร่งออกมาตรการด่วน ช่วยยืด-ปรับโครงสร้างหนี้
 
เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2567 จากกรณีมีการสั่งการด่วนให้ รมว.มหาดไทย ศึกษามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และเตรียมการเพื่อรองรับการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก (Thailand Vision) โดยจะปรับแก้กฎหมายให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดินได้นานขึ้นจาก 50 ปี เป็น 99 ปี และถือกรรมสิทธิ์ห้องชุด เพิ่มสัดส่วนจาก 49% เป็น 75% นั้น
 
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) กล่าวว่า แนวคิดการให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี กับการที่คนไทยต้องถูกยึดบ้าน อะไรสำคัญและต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนมากกว่ากัน โดยเฉพาะสถานการณ์ในปัจจุบัน นักธุรกิจหรือไปเดินตลาด ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเศรษฐกิจแย่ รายได้ลด แต่ของแพงทั้งแผ่นดิน
 
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจทรุดครั้งนี้ แตกต่างจากในยุคต้มยำกุ้ง เพราะยุคต้มยำกุ้งคนรวยล้ม แต่ปัจจุบันคนจนตาย และลามขึ้นมาสู่คนชั้นกลาง ซึ่งทั้งหมดคือ คนส่วนใหญ่ของประเทศที่รายได้ไม่พอรายจ่าย ต้องกู้มากิน กู้มาใช้ จึงส่งผลให้หนี้ครัวเรือนสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ สูงกว่า 91% หรือเท่ากับ 16.3 ล้านล้านบาท
 
ที่สาหัสไปกว่านั้นคือ สินเชื่อรวมภายใต้ข้อมูลของเครดิตบูโร 13.6 ล้านล้านบาท กลายเป็นหนี้เสียไปแล้วถึง 1.09 ล้านล้านบาท หากเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาที่หนี้เสียอยู่เพียง 1.05 ล้านล้านบาทเท่านั้น สะท้อนว่าหนี้เสียยังคงพุ่งต่อเนื่อง
 
หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ที่น่าห่วงที่สุดคือ คนไทยต้องเสีย หรือกำลังจะต้องเสียบ้านและรถซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต และเป็นเครื่องมือหารายได้ ดังตัวเลขที่ปรากฏคือ หนี้เช่าซื้อรถยนต์ เป็นหนี้เสียถึง 2.38 แสนล้านบาท เติบโตขึ้นต่อเนื่อง 32% และหนี้ที่อยู่อาศัยอีก 1.99 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 18.2% สินเชื่อบุคคลอีก 2.6 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 12% และบัตรเครดิต 6.3 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 14.6% ขณะที่หนี้ที่กำลังจะเสีย แต่ไม่เกิน 90 วัน หรือกลุ่ม SM เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.4 แสนล้านบาท
 
นี่คือปัญหาเร่งด่วน ที่รัฐบาลโดยเฉพาะนายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้คนไทยสามารถรักษา บ้านและรถของตัวเองไว้ได้ ด้วยมาตรการเร่งด่วน ช่วยยืดหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ และเร่งสร้างรายได้ให้กับคนไทย ไม่ใช่เร่งมาตรการให้ต่างชาติ เช่าที่ดินได้ 99 ปี หรือการเพิ่มอัตราส่วนถือครองคอนโดจาก49% เป็น 75% โดยอ้างว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่