อยู่ดีๆ ก็อยากกลับมาอ่านกระทู้ที่เขียนเมื่อสัก 11 ปีที่แล้ว (
https://pantip.com/topic/31215718)
จำได้ว่าเป็นการขึ้นกระทู้แนะนำตอนนั้น เป็นการเขียนระบายความในใจเกี่ยวกับธุรกิจที่ทำตอนนั้น มันไม่ไหว
ประมาณทุ่มทั้งตัว สู้สุดทางแต่ก็พังจนได้
แต่กลับทำให้ผมได้งานที่ใช้เลี้ยงชีพตอนนี้
นั่นคืองานเขียน !!
.
.
1
เริ่มแบบนี้
จำได้ว่าตอนนั้นเขียนกระทู้ นี้ขึ้นมาด้วยอัดอั้นจากะุรกิจที่ล้มเหลว มีอะไรอยากใส่ให้หมด อย่างน้อยก็ได้ระบาย เขียนผิด เขียนถูก แก้ไข วนไปอยู่นานก็ออกมา หลายคนเข้ามาอ่านก็สนุก เพราะความตั้งใจจริงไม่ได้อยากดราม่าอะไร ซึ่งเมื่อกี้กลับไปอ่านก็ยังสนุกและความรู้สึกที่จับได้คือมัน Real มาก สนุกมาก
.
(ในกระทู้ก็มีหลายอย่างที่เป็นการโทษหลายๆ สิ่ง แต่เมื่อตกตะกอนแล้วช้อนขึ้นมาดูก็เห็นว่า "มันมึแต่ตัวเอ็งนั่นแหละที่เป็นคนทำ คนตัดสินใจ)
.
ตัดแบบไวๆ หลักจากนั้นก็กลับตัวโดยกลับไปทำงานบริษัท หาเงินใช้หนี้เก็บประสบการณ์ ระหว่างทำงานคือได้แรงบันดาลใจจากการเขียนกระทู้นั้น เลยรู้สึกว่า ตัวเองน่าจะถาสยทอดอะไรได้บ้าง เลยเริ่มต้นหัดเขียน ซึ่งก็เหมือนทั่วๆ ไปคือเขียนไอการีธรรมดา บ้านๆ เลย ควบคู่กับทำงานบริษัท
.
ทำงานได้อยู่ 4 ปี ก็ออกมาทำธุรกิจตัวเองอีกครั้ง (ราวๆ ปี 2560) จริงๆ แฟนขายของ แล้วเราออกมาช่วยกันขายแบบเต็มตัว ไม่ได้ลงทุนมากเหมือนคราวก่อน แต่ก็ใช้แรงพอสมควร รายได้ต้องบอกว่าพอได้
.
พอทำไปสักพักก็ตระหนักได้ว่า การขายของตลาดนัดรายได้พอไปได้ แต่นานไปสังขารมันจะไม่ไหว จึงเริ่มหางานเสริมรายได้ทุกอย่างเท่าที่จะรู้จัก พยายามเข็นตัวเองไปข้างหน้า จนกระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนอีกครั้ง
ผมประสบอุบัติเหตุ ขยับไม่ได้นานกว่า 6 เดือน
.
.
2
ขอย้อนกลับไปช่วงทำงานบริษัท
ตอนนั้นถ้ามองจากรายได้ ก็ตอ้งบอกว่าดีพอสมควร ครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้ เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ ระหว่างนั้นก็อ่านหนังสือ และฝึกเขียน ถ้าไปกดดูโปรไฟล์กระทู้ จะเห้นหลายกระทู้ที่ผมใช้ในการฝึกเขียน ทั้งเรื่องสั้น บทความ กวีบลาๆ วันหนึ่งได้ไปรู้จักเว็บการเขียนที่ดีมากอย่างเว็บหนึ่ง เราก็ไปหัดเขียน เขียนทุกวัน อ่านทุกวัน จนเจ้าของเว็บสงสารในความบ้าบอจึงดันให้เป็นนักเขียนแนะนำปประจำเว็บ ซึ่งก็ยิ่งทำให้เราบ้าเขียนมากกว่าเดิม
.
แต่ตอนหัดเขียนที่เว็บไซต์นั้น ก็ได้รู้จักกับพี่คนหนึ่ง หลายคนที่รู้จักเขาก็ต้องบอกว่าเขาเป็นเก่งในสายงานที่ทำ เพจเขามีคนติดตามกว่า 5 แสนคน แต่สำหรับผม เขาคือที่เขียนเก่งมากๆ เราก็เลยได้รู้จักกัน พูดคุยกัน ก็รู้สึกว่าถูกคอกัน
.
มีครั้งหนึ่งพี่เขาเล่าให้เราฟังว่า ตอนที่เราบ้าบอเขียนลงเว็บรัวๆ พี่เขาก็น่าจะอยู่หลังบ้านกับทีม เจ้าของเว็บสะกิดให้ดูแอคเคาท์ผม แล้วบอกประมาณว่า ดูคนนี้สิ บ้า

เขียน อ่าน ตอบเร็วกว่าแอดมิน แล้วหัวเราะ จากที่เล่า แปลได้ประมาณว่า คนบ้าอะไร ได้เม้นต์นิดหน่อย ก็ดีด มาตอบ มา Engage บ้ายอ

แล้วก็นั่งหัวเราะกัน เราได้ฟังก็ไม่โกรธนะ แม้จะถูกมองว่าแค่คนบ้ายอที่แค่โดนยุ ก็ทำนั่นนี่จนโงหัวไม่ขึ้น
.
เราแค่ยอมรับว่าเราเป็นแบบนั้นจริงๆ
แล้วก็ทำในสิ่งที่เราอยากทำต่อไป
.
ต้องบอกว่าจุดอ่อนสำคัญอย่างหนึ่งที่เชื่อว่าหลายๆ คนก็เป็นกันคือ มนุษย์เงินเดือนมักไม่ได้วางแผนการเงินคือเตรียมตัวเรื่องการเงินดีนัก คือบริษัทมีให้แค่ไหน ก็แค่นั้น ใช้เงินเดือนชนเดือน ไปได้ สบายดีพรี่เขาเลยพาไปเรียนรู้เรื่องการเงินกับโค้ชการเงินสายโหดคนนั่นแหละ เรียกได้ว่าเปลี่ยนโลก เราเริ่มมาดูตัวเลขการเงินของเรา พบว่ามันพอดี จนไม่มีเงินเก็บ ต้องบริหารจัดการตัวเองใหม่
.
การแก้ปัญหาการเงิน ถ้าจับแค่หลัก มันจะง่ายมาก คือลดค่าใช้จ่าย และการหารายได้เพิ่ม ซึ่งเอาเข้าจริงแต่ละคนจะมีรายละเอียดต่างกันไป ทำให้แต่ละเคสการแก้ไม่เหมือนกัน ส่วนตัวผมเอง ปัญหาคือเงิน แต่ไม่มีเก็บ เลยควรหารายได้เพิ่ม ซึ่งงานที่ผมพอจะทำได้หลังจากเลิกงานคือ การเขียน
.
ผมไปสมัครเขียนบทความกับเว็บดัง เขาให้ลองเขียยนส่งไปอ่าน 3 งาน ก็ผ่าน เพราะโครงสร้างการเขียนบทความแบบนั้นไม่ได้ยากมาก เมื่อเริ่มต้นทำงานเสริมคืองานเขียน เขาให้เข้าไปดูรายชื่อบทความที่อยากให้เขียน พร้อมกับนักเขียนคนอื่นๆ ใครชอบเรื่องไหนก็กด F งานเขียน (ฮา) หมายความจองเงานเขียน ที่ 5 บท บ้าง 3 บท บ้าง โดยแต่ละงานจะได้รับเงินต่างกันไป แต่เรตอยู่ราวๆ 20- 50 บาทต่อบทความ
.
ผมก็ทำ โดยตั้งเป้าว่าจะหารายได้เพิ่มประมาเดือนละ 3000 บาท สมมติเฉลี่ยได้บทละ 50 บาท ผมต้องเขียนบทความให้ได้ เดือนละอย่างน้อย 60 บทความ ตอนนั้นไฟมันแรงไง ทำได้ (เพราะต้องทำ)
.
ก็ทำอย่างนั้นคู่กันไปกับงานประจำ ประมาณ 1 ปี ก็เลิกทำเพราะเหนื่อยมาก และตัวเองตอนนั้นชอบการเขียนแนวเรื่องสั้น หรือสนนิยายมากกว่า จึงอยากไปสายนั้นเต็มตัว ประกอบกับแฟนเลิกทำร้านสุกี้ (ข้อมูลในกระทู้ที่แนบตอนต้น) แล้วมาอยู่ด้วยกัน เธอลองหาเสื้อผ้ามาขายตลาดนัด ลองผิด ลองถูกอยู่นาน จนจบที่ขายชุดนอนกับเสื้อผ้าเด็ก ซึ่งผมก็มาช่วยขนของไปขาย ว่างก็พาไปเดินเลือกของ การเขียนบทความเลยค่อยๆ หายไป แต่ผมเองก็ยังเขียนอยู่เรื่อยๆ บนเฟซฯ บ้าง บล็อกของตัวเองบ้าง
.
ทำแบบนั้นอยู่ 2 ปี เงินเก็บนิดหน่อย แต่รายได้ขายของดีขึ้น เมื่อรวมกับความอินดี้ เลยลาออกจากงานเฉยเลย (ฮา) เอาจริง ตอนนี้ยังคิดว่าการตัดสินใจของตัวเองตอนนั้น บ้ามากๆ ซึ่งเดี๋ยวค่อยสรุปตอนท้ายล่ะกัน
.
3
ผมกับแฟนขายของด้วยกัน พอไปได้ แต่ก็อย่างที่เกริ่นในตอนแรกว่า เราจะทำแบบนี้ได้ถึงอายุเท่าไหร่เชียว ประกอบกับตอนนั้นเราซื้อบ้าน ซึ่งเป็นความฝันสูงสุดที่ภรรยาผมอยากได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาไม่น้อยเลย แต่ทั้งหมดทั้งมวล เราก็ไปได้ พอจะขยับได้ แต่แล้วก็เกิดจุดเปลี่ยนขึ้นอีกครั้ง ผมประสบอุบัติเหตุ หนักชนิดที่ว่า ผมจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ จำได้แค่ว่า ขึ้นรถมอไซค์ แล้ววาร์ปมารู้สึกตัวในอีก 5 วันต่อมา ครอบครัวไม่คิดด้วยซ้ำว่าผมจะกลับมาใช้ชีวิตได้
.
ผมรักษาตัวเองอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ หมอบอกว่าโชคดีที่รถไถล เสียหายภายนอก แต่ภายในไม่ได้เป็นอะไรมากเท่าที่คิด แต่ก็ขยับตัวไปไหนมาไหนลำบากอีกหลายเดือน จำได้ดีว่า จะลุกไปห้องน้ำก็ทำไม่ได้ ตอนนั้นสับสนมากๆ ชีวิตจะเอาไง ค่าใช้จ่าย การงาน จะไปยังไงต่อ มาพีคอีกครั้งในช่วงก่อนออกจากโรงพยาบาล ตอนนั้นผมนอนเป็นผักบนเตียงในโรงพยาบาล ภรรยาเดินร้องไห้ เข้ามาจับมือผม แล้วบอกว่า เธอท้อง...
.
วันต่อมาผมออกจากโรงพยาบาล กลับมาอยู่บ้าน วันๆ ได้แต่นอน เพราะกระดูกที่หลัและคอร้าว ต้องใส่เฝือก ตกเย็นแฟนกลับมาจากขายของ ก็ต้องมาอาบน้ำให้ ผมช่วยเธอได้อย่างเดียวคือไปนั่งบนชักโครกรอ จำได้ดีวันหนึ่ง ผมนั่งให้เธออาบน้ำ ผมได้ยินเสียงกระซิก พอเงยหน้ามาก็เห็นน้ำตาอาบแก้ม มันคงถึงที่สุดแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต ลูกคนที่ 3 อยู่ในท้อง สามีทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนบนเตียง ส่งเสียงเมื่อหิวและอยากเข้าห้องน้ำ ค่าใช้จ่ายมาในรูปแบบซองกองหน้าทีวี เงินเก็บที่มีไม่เหลือแล้ว ผมที่นั่งมองเธอ ก็พลอยมีน้ำตาอาบแก้มเช่นกัน...
.
4
วันหนึ่งขณะที่ผมนั่งรอภรรยากลับบ้าน หญ้าคาพลิ้วไปกับลม ผมนั่งคิดถึงอนาคตที่คาดเดาไม่ได้ ทั้งเรื่องลูกยังไม่เกิด อนาคตลูก 2 คนที่ผมต้องรับผิดชอบ หนี้บ้าน และอื่นๆ คิดว่าเราจะมาสับสนแบบนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ดีนัก ต้องค่อยๆ แยกส่วนมันออก จัดการบางเรื่องที่ทำได้
.
ต้องขอบคุณความรู้การเงินที่พอมีอยู่บ้าง ต้องเริ่มตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น วางโครงการไว้เลย ถ้าบ้านไปต่อไม่ได้จะทำไง รถที่มีถ้าไม่ไหวก็ต้องขาย ทำตัวให้ลีนที่สุด โทรหาทุกคนที่พอจะหาอะไรให้ชายกึ่งพิการคนนี้ทำได้
.
ซึ่งก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ช่วยส่งงานให้ โดยพี่ชายส่งงานบัญชี ที่บอกเลยว่าให้ใครก็ได้ หรือไม่ต้องทำยังได้เลย มาให้ทำ การได้เงินจากการแลกแรงมีค่ากว่าแบมือขอใครเป็นอย่างมาก
.
เราไม่ได้มีชีวิตเพราะอยากได้แค่เงินหรอก
เรามีชีวิตเพราะอยากมีคุณค่าต่อใครสักคนต่างหาก
.
ทำบัญชัให้พี่อยู่สักพัก เืพ่อนคนหนึ่งก็โทรมาหาผมแล้วบอกว่า มีงานเขียนบทความรายวัน ต้องส่งทุกวัน ยังเขียนได้ไหม ผมอึกอักไม่อยากรับปาก เพาะเขาเป็นคนทำงานสายคอนเทนต์ คุณภาพเป็นเรื่องสำคัญ เรากลัวว่าจะทำงานให้ไดไม่ดีพอ แต่เขาบอกว่า ทำมาเลย ต้องลอง ผิดก็แก้ ถ้าไม่ทำเลยก็แพ้ เลือกเอา ผมจึงได้กลับมาทำงานเขียนอีกครั้ง
.
5
ตั้งใจมาเล่าพอให้ระลึกความจำ แต่ไหงมาสายดราม่า ยาวเหยียดแบบนี้ เล่าแบบตัดย่อเลยดีกว่า
.
ผมได้งานเขียนบทความลงเพจอันหนึ่ง ได้ในราคาที่ไม่เคยคิดว่าัวเองจะมีรายได้จากงานเขียนมากขนาดนั้น ต้องขอบใจเพื่อนคนนั้นที่สนับสนุน ไม่ว่าจะมาจากเหตุผลใด ก็ต้องบอกว่าตอนนั้นตั้งใจทำงานนี้อย่างถึงที่สุด ทำได้อยู 1 ปี ก็จบโครงการนั้น ซึ่งทำให้พอที่จะพยุงครอบครัวไปได้
.
เรื่องลูกคนที่ 3ตอนถึงเวลาไปฝากท้อง หมอตรวจแล้วบอกว่าน้องไม่แข็งแรง ต้องดูแลอย่างดี ผ่านไป 2 เดือนหมอบอกว่าน้องเป็นมากกว่าที่คิด จนสุดท้าย ต้องเอาน้องออก วันที่รู้ว่าจะไม่ได้น้อง ผมกับแฟนร้องไห้หนักที่สุดครั้งหนึ่ง ทำได้ดีที่สุดคือการบอกว่า กรรมน้องมีแค่นี้ ลำบากแค่นี้ น้องคงไปสู่ภพภูมิที่ดีแล้ว
.
สถานการณ์ชีวิตอนนี้ก็อยู่ในขั้นที่ไปได้ ผมได้งานเขียนใหม่ๆ มาเรียยๆ จากเพื่อนที่รู้จักกันป้อนมาให้ มีโอกาสได้เขียนบทความทางการเงินลงเพจใหญ่เจ้าหนึ่ง ฝีมือไมม่ดีเท่าไหรเมื่อเทีบกับนักเขียนท่านอื่น อันนี้ก็ต้องขอบคุณโอกาสที่มอบให้
.
ได้ทำงานเป็นเพบื้องหลังของพี่ที่รู้จักในเว็บคนนั้น ถอดบทความ ถอดเทป จัดนั่นนี่เท่าที่จะช่วยได้ และโชคดีได้งานเป็นชิ้นเป็นอันอย่าง Ghost Writer มีผลงานวางแผงบ้าง ดีใจที่สุด แม้หน้าปกจะไม่มีชื่อตัวเอง
.
ภรรยาก็ขายของที่ตลาด รายได้ตามภาวะเศรษฐกิจ มีอะไรก็ทำไปครับ
.
.
6
ไหนๆ ก็เขียนยาวมาถึงตรงนี้ สรุปอีกสักหน่อยจะเป็นอะไรเนอะ
คืออยากขอบคุณพันทิปที่ให้พื้นที่ในการเขียน ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกคอมเมนต์ที่ทำให้ผมหาความรู้ตามคำแนะนำอีกมากมายเลย และที่สำคัญ กำลังใจที่ทำให้ผมอยากลองเขียน อยากลองถ่ายทอดเรื่องราวอะไรออกมาบ้าง ดีบ้าง น่ารำคาญบ้าง จนสุดท้าย ผมก็สร้างรายได้จากการเขียนอย่างที่เล่าไป
.
ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนที่ช่วยเหลือ เราไม่ใช่สัตว์ที่อยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว การสร้างมิตรนั้นดีกว่าศัตรู อะไรไม่ถูกใจก็ผ่านๆ ไปได้ก็ดี เราไม่ได้มีชีวิตเพื่อทะเลาะกับใครหรอก เมื่อเรามีความรู้สึกดีๆ ให้คนอื่นๆ เยอะ วันหนึ่งก็อาจจะตอบแทนมาในรูปแบบที่คาดไม่ถึงก็ได้
.
ขอบคุณภรรยา น้องชาย พ่อ แม่ และลูก ที่คอยให้กำลังใจเสมอ
หวังว่าจะมีเวลามาแบ่งปันประสบการณ์อะไรอีกนะครับ
กระทู้นี้คงมีประโยชน์กับใครสักคน หรืออย่างน้อยก็ได้ข้อคิดอะไรบ้าง ทุกคนเกิดมา่อมเจอปัญหานะครับ ใจเย็นค่อยๆ แก้ ถ้ารู้ว่าปัญหาที่มันใหญ่ ก็ต้องตั้งใจแก้มันให้ได้ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
.
ปัญหา+เวลาคือความ
ปัญหา+การแก้ไข แก้ได้หรือไม่ได้ ก็ดีกว่าบรรทัดข้องบน
.
ขอบคุณครับ
-----
เพิ่มที่ค้างไว้
การลาออกจากงานประจำ ควรต้องเตรียมตัว ลาออกไปทำอะไร ต้องมีเงินเท่าไหร่ แผนสอง แผนสามเตรียมให้พร้อม
พอออกมาหลายปี มีคนถามว่า ลาออกไปดีนะ ทำะไรก็ได้ ต้องบอกว่า เรื่องนี้ผิดมากๆ การลาออกมาทำงานตัวเองก็ไม่จากไปสมัครงานที่อื่นเลย เพราะการทำงานใหม่คือต้องเรียนรู้งาน แล้วเงินน้อยมาก ต้องบริหารจัดการเยอะมาก แต่ก็แลกมาด้วยการได้โอกาสเติบโตที่เร็ว ยังไงก็ศึกษาให้ดีครับ ผมสรุปสั้นๆ ว่า การทำธุรกิจตัวเอง ก็การสมัครงานกับตัวเองแหละ งานหนักเงินน้อย แต่ถ้าทำดีก็ได้เลื่อนตำแหน่งไว ทำไม่ได้ก็กลับไปทำงานเหมือนเดิมก็ได้ ถ้าจะให้ดี ทำทั้งสองอย่าง ทั้งงานประจำ กับอาชีพอิสระ
ขอบคุณครับ
11 ปี -- ขอบคุณกระทู้วันนั้น กับงานที่ทำวันนี้ --
จำได้ว่าเป็นการขึ้นกระทู้แนะนำตอนนั้น เป็นการเขียนระบายความในใจเกี่ยวกับธุรกิจที่ทำตอนนั้น มันไม่ไหว
ประมาณทุ่มทั้งตัว สู้สุดทางแต่ก็พังจนได้
จำได้ว่าตอนนั้นเขียนกระทู้ นี้ขึ้นมาด้วยอัดอั้นจากะุรกิจที่ล้มเหลว มีอะไรอยากใส่ให้หมด อย่างน้อยก็ได้ระบาย เขียนผิด เขียนถูก แก้ไข วนไปอยู่นานก็ออกมา หลายคนเข้ามาอ่านก็สนุก เพราะความตั้งใจจริงไม่ได้อยากดราม่าอะไร ซึ่งเมื่อกี้กลับไปอ่านก็ยังสนุกและความรู้สึกที่จับได้คือมัน Real มาก สนุกมาก
.
(ในกระทู้ก็มีหลายอย่างที่เป็นการโทษหลายๆ สิ่ง แต่เมื่อตกตะกอนแล้วช้อนขึ้นมาดูก็เห็นว่า "มันมึแต่ตัวเอ็งนั่นแหละที่เป็นคนทำ คนตัดสินใจ)
.
ตัดแบบไวๆ หลักจากนั้นก็กลับตัวโดยกลับไปทำงานบริษัท หาเงินใช้หนี้เก็บประสบการณ์ ระหว่างทำงานคือได้แรงบันดาลใจจากการเขียนกระทู้นั้น เลยรู้สึกว่า ตัวเองน่าจะถาสยทอดอะไรได้บ้าง เลยเริ่มต้นหัดเขียน ซึ่งก็เหมือนทั่วๆ ไปคือเขียนไอการีธรรมดา บ้านๆ เลย ควบคู่กับทำงานบริษัท
.
ทำงานได้อยู่ 4 ปี ก็ออกมาทำธุรกิจตัวเองอีกครั้ง (ราวๆ ปี 2560) จริงๆ แฟนขายของ แล้วเราออกมาช่วยกันขายแบบเต็มตัว ไม่ได้ลงทุนมากเหมือนคราวก่อน แต่ก็ใช้แรงพอสมควร รายได้ต้องบอกว่าพอได้
.
พอทำไปสักพักก็ตระหนักได้ว่า การขายของตลาดนัดรายได้พอไปได้ แต่นานไปสังขารมันจะไม่ไหว จึงเริ่มหางานเสริมรายได้ทุกอย่างเท่าที่จะรู้จัก พยายามเข็นตัวเองไปข้างหน้า จนกระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนอีกครั้ง
.
ตอนนั้นถ้ามองจากรายได้ ก็ตอ้งบอกว่าดีพอสมควร ครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้ เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ ระหว่างนั้นก็อ่านหนังสือ และฝึกเขียน ถ้าไปกดดูโปรไฟล์กระทู้ จะเห้นหลายกระทู้ที่ผมใช้ในการฝึกเขียน ทั้งเรื่องสั้น บทความ กวีบลาๆ วันหนึ่งได้ไปรู้จักเว็บการเขียนที่ดีมากอย่างเว็บหนึ่ง เราก็ไปหัดเขียน เขียนทุกวัน อ่านทุกวัน จนเจ้าของเว็บสงสารในความบ้าบอจึงดันให้เป็นนักเขียนแนะนำปประจำเว็บ ซึ่งก็ยิ่งทำให้เราบ้าเขียนมากกว่าเดิม
.
แต่ตอนหัดเขียนที่เว็บไซต์นั้น ก็ได้รู้จักกับพี่คนหนึ่ง หลายคนที่รู้จักเขาก็ต้องบอกว่าเขาเป็นเก่งในสายงานที่ทำ เพจเขามีคนติดตามกว่า 5 แสนคน แต่สำหรับผม เขาคือที่เขียนเก่งมากๆ เราก็เลยได้รู้จักกัน พูดคุยกัน ก็รู้สึกว่าถูกคอกัน
.
มีครั้งหนึ่งพี่เขาเล่าให้เราฟังว่า ตอนที่เราบ้าบอเขียนลงเว็บรัวๆ พี่เขาก็น่าจะอยู่หลังบ้านกับทีม เจ้าของเว็บสะกิดให้ดูแอคเคาท์ผม แล้วบอกประมาณว่า ดูคนนี้สิ บ้า
.
เราแค่ยอมรับว่าเราเป็นแบบนั้นจริงๆ
แล้วก็ทำในสิ่งที่เราอยากทำต่อไป
.
ต้องบอกว่าจุดอ่อนสำคัญอย่างหนึ่งที่เชื่อว่าหลายๆ คนก็เป็นกันคือ มนุษย์เงินเดือนมักไม่ได้วางแผนการเงินคือเตรียมตัวเรื่องการเงินดีนัก คือบริษัทมีให้แค่ไหน ก็แค่นั้น ใช้เงินเดือนชนเดือน ไปได้ สบายดีพรี่เขาเลยพาไปเรียนรู้เรื่องการเงินกับโค้ชการเงินสายโหดคนนั่นแหละ เรียกได้ว่าเปลี่ยนโลก เราเริ่มมาดูตัวเลขการเงินของเรา พบว่ามันพอดี จนไม่มีเงินเก็บ ต้องบริหารจัดการตัวเองใหม่
.
การแก้ปัญหาการเงิน ถ้าจับแค่หลัก มันจะง่ายมาก คือลดค่าใช้จ่าย และการหารายได้เพิ่ม ซึ่งเอาเข้าจริงแต่ละคนจะมีรายละเอียดต่างกันไป ทำให้แต่ละเคสการแก้ไม่เหมือนกัน ส่วนตัวผมเอง ปัญหาคือเงิน แต่ไม่มีเก็บ เลยควรหารายได้เพิ่ม ซึ่งงานที่ผมพอจะทำได้หลังจากเลิกงานคือ การเขียน
.
ผมไปสมัครเขียนบทความกับเว็บดัง เขาให้ลองเขียยนส่งไปอ่าน 3 งาน ก็ผ่าน เพราะโครงสร้างการเขียนบทความแบบนั้นไม่ได้ยากมาก เมื่อเริ่มต้นทำงานเสริมคืองานเขียน เขาให้เข้าไปดูรายชื่อบทความที่อยากให้เขียน พร้อมกับนักเขียนคนอื่นๆ ใครชอบเรื่องไหนก็กด F งานเขียน (ฮา) หมายความจองเงานเขียน ที่ 5 บท บ้าง 3 บท บ้าง โดยแต่ละงานจะได้รับเงินต่างกันไป แต่เรตอยู่ราวๆ 20- 50 บาทต่อบทความ
.
ผมก็ทำ โดยตั้งเป้าว่าจะหารายได้เพิ่มประมาเดือนละ 3000 บาท สมมติเฉลี่ยได้บทละ 50 บาท ผมต้องเขียนบทความให้ได้ เดือนละอย่างน้อย 60 บทความ ตอนนั้นไฟมันแรงไง ทำได้ (เพราะต้องทำ)
.
ก็ทำอย่างนั้นคู่กันไปกับงานประจำ ประมาณ 1 ปี ก็เลิกทำเพราะเหนื่อยมาก และตัวเองตอนนั้นชอบการเขียนแนวเรื่องสั้น หรือสนนิยายมากกว่า จึงอยากไปสายนั้นเต็มตัว ประกอบกับแฟนเลิกทำร้านสุกี้ (ข้อมูลในกระทู้ที่แนบตอนต้น) แล้วมาอยู่ด้วยกัน เธอลองหาเสื้อผ้ามาขายตลาดนัด ลองผิด ลองถูกอยู่นาน จนจบที่ขายชุดนอนกับเสื้อผ้าเด็ก ซึ่งผมก็มาช่วยขนของไปขาย ว่างก็พาไปเดินเลือกของ การเขียนบทความเลยค่อยๆ หายไป แต่ผมเองก็ยังเขียนอยู่เรื่อยๆ บนเฟซฯ บ้าง บล็อกของตัวเองบ้าง
.
ทำแบบนั้นอยู่ 2 ปี เงินเก็บนิดหน่อย แต่รายได้ขายของดีขึ้น เมื่อรวมกับความอินดี้ เลยลาออกจากงานเฉยเลย (ฮา) เอาจริง ตอนนี้ยังคิดว่าการตัดสินใจของตัวเองตอนนั้น บ้ามากๆ ซึ่งเดี๋ยวค่อยสรุปตอนท้ายล่ะกัน
.
.
ผมรักษาตัวเองอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ หมอบอกว่าโชคดีที่รถไถล เสียหายภายนอก แต่ภายในไม่ได้เป็นอะไรมากเท่าที่คิด แต่ก็ขยับตัวไปไหนมาไหนลำบากอีกหลายเดือน จำได้ดีว่า จะลุกไปห้องน้ำก็ทำไม่ได้ ตอนนั้นสับสนมากๆ ชีวิตจะเอาไง ค่าใช้จ่าย การงาน จะไปยังไงต่อ มาพีคอีกครั้งในช่วงก่อนออกจากโรงพยาบาล ตอนนั้นผมนอนเป็นผักบนเตียงในโรงพยาบาล ภรรยาเดินร้องไห้ เข้ามาจับมือผม แล้วบอกว่า เธอท้อง...
.
วันต่อมาผมออกจากโรงพยาบาล กลับมาอยู่บ้าน วันๆ ได้แต่นอน เพราะกระดูกที่หลัและคอร้าว ต้องใส่เฝือก ตกเย็นแฟนกลับมาจากขายของ ก็ต้องมาอาบน้ำให้ ผมช่วยเธอได้อย่างเดียวคือไปนั่งบนชักโครกรอ จำได้ดีวันหนึ่ง ผมนั่งให้เธออาบน้ำ ผมได้ยินเสียงกระซิก พอเงยหน้ามาก็เห็นน้ำตาอาบแก้ม มันคงถึงที่สุดแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต ลูกคนที่ 3 อยู่ในท้อง สามีทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนบนเตียง ส่งเสียงเมื่อหิวและอยากเข้าห้องน้ำ ค่าใช้จ่ายมาในรูปแบบซองกองหน้าทีวี เงินเก็บที่มีไม่เหลือแล้ว ผมที่นั่งมองเธอ ก็พลอยมีน้ำตาอาบแก้มเช่นกัน...
.
.
ต้องขอบคุณความรู้การเงินที่พอมีอยู่บ้าง ต้องเริ่มตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น วางโครงการไว้เลย ถ้าบ้านไปต่อไม่ได้จะทำไง รถที่มีถ้าไม่ไหวก็ต้องขาย ทำตัวให้ลีนที่สุด โทรหาทุกคนที่พอจะหาอะไรให้ชายกึ่งพิการคนนี้ทำได้
.
ซึ่งก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ช่วยส่งงานให้ โดยพี่ชายส่งงานบัญชี ที่บอกเลยว่าให้ใครก็ได้ หรือไม่ต้องทำยังได้เลย มาให้ทำ การได้เงินจากการแลกแรงมีค่ากว่าแบมือขอใครเป็นอย่างมาก
.
เราไม่ได้มีชีวิตเพราะอยากได้แค่เงินหรอก
เรามีชีวิตเพราะอยากมีคุณค่าต่อใครสักคนต่างหาก
.
ทำบัญชัให้พี่อยู่สักพัก เืพ่อนคนหนึ่งก็โทรมาหาผมแล้วบอกว่า มีงานเขียนบทความรายวัน ต้องส่งทุกวัน ยังเขียนได้ไหม ผมอึกอักไม่อยากรับปาก เพาะเขาเป็นคนทำงานสายคอนเทนต์ คุณภาพเป็นเรื่องสำคัญ เรากลัวว่าจะทำงานให้ไดไม่ดีพอ แต่เขาบอกว่า ทำมาเลย ต้องลอง ผิดก็แก้ ถ้าไม่ทำเลยก็แพ้ เลือกเอา ผมจึงได้กลับมาทำงานเขียนอีกครั้ง
.
.
ผมได้งานเขียนบทความลงเพจอันหนึ่ง ได้ในราคาที่ไม่เคยคิดว่าัวเองจะมีรายได้จากงานเขียนมากขนาดนั้น ต้องขอบใจเพื่อนคนนั้นที่สนับสนุน ไม่ว่าจะมาจากเหตุผลใด ก็ต้องบอกว่าตอนนั้นตั้งใจทำงานนี้อย่างถึงที่สุด ทำได้อยู 1 ปี ก็จบโครงการนั้น ซึ่งทำให้พอที่จะพยุงครอบครัวไปได้
.
เรื่องลูกคนที่ 3ตอนถึงเวลาไปฝากท้อง หมอตรวจแล้วบอกว่าน้องไม่แข็งแรง ต้องดูแลอย่างดี ผ่านไป 2 เดือนหมอบอกว่าน้องเป็นมากกว่าที่คิด จนสุดท้าย ต้องเอาน้องออก วันที่รู้ว่าจะไม่ได้น้อง ผมกับแฟนร้องไห้หนักที่สุดครั้งหนึ่ง ทำได้ดีที่สุดคือการบอกว่า กรรมน้องมีแค่นี้ ลำบากแค่นี้ น้องคงไปสู่ภพภูมิที่ดีแล้ว
.
สถานการณ์ชีวิตอนนี้ก็อยู่ในขั้นที่ไปได้ ผมได้งานเขียนใหม่ๆ มาเรียยๆ จากเพื่อนที่รู้จักกันป้อนมาให้ มีโอกาสได้เขียนบทความทางการเงินลงเพจใหญ่เจ้าหนึ่ง ฝีมือไมม่ดีเท่าไหรเมื่อเทีบกับนักเขียนท่านอื่น อันนี้ก็ต้องขอบคุณโอกาสที่มอบให้
.
ได้ทำงานเป็นเพบื้องหลังของพี่ที่รู้จักในเว็บคนนั้น ถอดบทความ ถอดเทป จัดนั่นนี่เท่าที่จะช่วยได้ และโชคดีได้งานเป็นชิ้นเป็นอันอย่าง Ghost Writer มีผลงานวางแผงบ้าง ดีใจที่สุด แม้หน้าปกจะไม่มีชื่อตัวเอง
.
ภรรยาก็ขายของที่ตลาด รายได้ตามภาวะเศรษฐกิจ มีอะไรก็ทำไปครับ
.
.
คืออยากขอบคุณพันทิปที่ให้พื้นที่ในการเขียน ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกคอมเมนต์ที่ทำให้ผมหาความรู้ตามคำแนะนำอีกมากมายเลย และที่สำคัญ กำลังใจที่ทำให้ผมอยากลองเขียน อยากลองถ่ายทอดเรื่องราวอะไรออกมาบ้าง ดีบ้าง น่ารำคาญบ้าง จนสุดท้าย ผมก็สร้างรายได้จากการเขียนอย่างที่เล่าไป
.
ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนที่ช่วยเหลือ เราไม่ใช่สัตว์ที่อยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว การสร้างมิตรนั้นดีกว่าศัตรู อะไรไม่ถูกใจก็ผ่านๆ ไปได้ก็ดี เราไม่ได้มีชีวิตเพื่อทะเลาะกับใครหรอก เมื่อเรามีความรู้สึกดีๆ ให้คนอื่นๆ เยอะ วันหนึ่งก็อาจจะตอบแทนมาในรูปแบบที่คาดไม่ถึงก็ได้
.
ขอบคุณภรรยา น้องชาย พ่อ แม่ และลูก ที่คอยให้กำลังใจเสมอ
หวังว่าจะมีเวลามาแบ่งปันประสบการณ์อะไรอีกนะครับ
กระทู้นี้คงมีประโยชน์กับใครสักคน หรืออย่างน้อยก็ได้ข้อคิดอะไรบ้าง ทุกคนเกิดมา่อมเจอปัญหานะครับ ใจเย็นค่อยๆ แก้ ถ้ารู้ว่าปัญหาที่มันใหญ่ ก็ต้องตั้งใจแก้มันให้ได้ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
.
ปัญหา+เวลาคือความ
ปัญหา+การแก้ไข แก้ได้หรือไม่ได้ ก็ดีกว่าบรรทัดข้องบน
.
ขอบคุณครับ
-----
เพิ่มที่ค้างไว้
การลาออกจากงานประจำ ควรต้องเตรียมตัว ลาออกไปทำอะไร ต้องมีเงินเท่าไหร่ แผนสอง แผนสามเตรียมให้พร้อม
พอออกมาหลายปี มีคนถามว่า ลาออกไปดีนะ ทำะไรก็ได้ ต้องบอกว่า เรื่องนี้ผิดมากๆ การลาออกมาทำงานตัวเองก็ไม่จากไปสมัครงานที่อื่นเลย เพราะการทำงานใหม่คือต้องเรียนรู้งาน แล้วเงินน้อยมาก ต้องบริหารจัดการเยอะมาก แต่ก็แลกมาด้วยการได้โอกาสเติบโตที่เร็ว ยังไงก็ศึกษาให้ดีครับ ผมสรุปสั้นๆ ว่า การทำธุรกิจตัวเอง ก็การสมัครงานกับตัวเองแหละ งานหนักเงินน้อย แต่ถ้าทำดีก็ได้เลื่อนตำแหน่งไว ทำไม่ได้ก็กลับไปทำงานเหมือนเดิมก็ได้ ถ้าจะให้ดี ทำทั้งสองอย่าง ทั้งงานประจำ กับอาชีพอิสระ
ขอบคุณครับ