‘เรอัล มาดริด’ และ ‘บาร์เซโลนา’ ชื่อเหล่านี้ต่อให้ไม่ใช่แฟนฟุตบอลก็น่าจะเคยได้ยินมาสักครั้งในชีวิต เพราะนั่นคือชื่อของสองสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสเปน
และอาจจะเป็นหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกใบนี้ด้วย การเจอกันของทั้งสองทีมถูกยกย่องให้เป็นเกมที่ ‘คลาสสิก’ จนกลายเป็นชื่อในภาษาสเปนว่า
‘เอล กลาสิโก (El Clásico)’
ความคลาสสิกของการเผชิญหน้ากันระหว่างเรอัล มาดริดกับบาร์เซโลนา นอกจากจะเป็นเรื่องของชื่อชั้นและศักดิ์ศรีแล้ว ยังเป็นเสมือนการเผชิญหน้ากันของสองเชื้อชาติ สองอุดมการณ์ทางการเมือง ผ่านไทม์ไลน์บนหน้าประวัติศาสตร์จนมาถึงปัจจุบัน
เกม ‘เอล กลาสิโก’ จึงเป็นมากกว่าเกมฟุตบอล เพราะมันแสดงออกถึงเรื่องราวการต่อสู้อันยาวนานบนหน้าประวัติศาสตร์ในเกมฟุตบอลเพียงเกมเดียว แม้ว่าความขัดแย้งถึงขั้นแตกหักอย่างสาหัสของทั้งสองฝ่ายจะเพิ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่ถึงศตวรรษก็ตาม
ความขัดแย้งในแมตช์อัปยศจนนำมาสู่การเกลียดกันชนิดไม่เผาผีของทั้งสองสโมสร อาจจะต้องทำความเข้าใจกับเรอัล มาดริดสักหน่อย เพราะถ้าหากเอฟซี บาร์เซโลนา เป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ของเสรีชนฝ่ายซ้ายที่ใช้สโลแกนว่า ‘เป็นมากกว่าสโมสร แล้ว ราชันชุดขาวก็เป็นตัวแทนของฝั่งขวา รอยัลลิสต์ อำนาจนิยม และลัทธิฟาสซิสม์ในยุคนั้นไม่ต่างกัน ย้อนกลับไปสมัยการก่อตั้งทีมฟุตบอลเฟื่องฟูในภาคพื้นยุโรป ราวยุคปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งต้นศตวรรษที่ 20 มีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลในสเปนขึ้น โดยสโมสรสำคัญอย่างบาร์เซโลนาก็เกิดขึ้นในช่วงนี้ ส่วนเรอัล มาดริดในยุคแรกเริ่ม ยังไม่ได้มีชื่อนั้น จุดเริ่มต้นของพวกเขาคือเอฟซี สกาย สโมสรที่ก่อตั้งโดยกลุ่มนักศึกษา ก่อนแตกออกมามาดริด เอฟซี จนในปี 1909 ก็ได้รับพระราชทานนาม ‘เรอัล’ จากพระเจ้าอัลฟองโซที่ 13 แห่งสเปน (เช่นเดียวกับเรอัล โซเซียดาด และเรอัล มูร์เซีย ที่ได้รับพระราชทานในเวลาต่อมา) โดยคำว่า เรอัล (Real) มีความหมายเท่ากับคำว่า Royal ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายความว่าสโมสรแห่งนี้เป็นสโมสรในพระบรมราชูปถัมภ์นั่นเอง ซึ่งคำว่าเรอัลที่ถูกพระราชทานให้นี้ มอบให้มาพร้อมกับ ตรามงกุฎเหนือสโมสรของพวกเขาด้วย
เหตุการณ์ในสนามฟุตบอลที่แฟนบาร์ซาไม่มีทางลืมได้ลงเกิดขึ้นในปี 1943 ในเกมรอบรองชนะเลิศของฟุตบอล โกปา เดล เกเนราลิสิโม ระหว่างบาร์เซโลนากับเรอัล มาดริด แม้เผชิญหน้ากับการตัดสินที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นธรรม แต่บาร์เซโลนายังเอาชนะไปได้ในเกมแรกถึง 3-0 โดยพวกเขาหวังยันสกอร์ที่ได้เปรียบในเกมที่ 2 เพื่อเข้าไปสู่รอบชิงฯ แต่ผลปรากฏว่าท้ายที่สุดพวกเขาแพ้ไปถึง 11-1 โดยสกอร์ครึ่งแรกจบที่ 8-0
มีรายงานว่าได้มีเจ้าหน้าที่เข้ามาคุยกับนักเตะจากแคว้นกาตาลันว่า “พวกคุณบางคนมาแข่งขันในเกมนี้ได้เพราะความกรุณาของนายพลฟรังโก อย่าลืมเรื่องนั้นเสียล่ะ” นั่นอาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกมออกมาเละเกินคาด แต่ถึงกระนั้นในยุคอำนาจมืดครองเมืองเช่นนี้ มีเพียงบาร์เซโลนากับแอธเลติก บิลเบา (ทีมจากแคว้นบาสก์) ที่ยังคงเป็นเพียงสองทีมที่ยืนหยัดต่อต้าน ‘ทีมของนายพลฟรังโก’ อย่างเรอัล มาดริด อย่างสุดกำลังไม่ว่าจะโดนข่มเหงจากอำนาจนอกสนามหนักหนาแค่ไหนก็ตาม
อีกกรณีคือการย้ายทีมอันโด่งดังของหลุยส์ ฟิโก สตาร์ชาวโปรตุกีส ที่ตอนนั้นค้าแข้งกับบาร์เซโลนา ก่อนย้ายข้ามฟากไปยังเรอัล มาดริดหลังการขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานสโมสรของเฟเรนติโน เปเรซ ที่นำเรอัล มาดริดเข้าสู่ยุค ‘กาลาติกอส’ โดยเปเรซหาเสียงในการเลือกตั้งประธานสโมสรของทีมราชันชุดขาวว่าเขาจะดึงตัวฟิโก มายังกรุงมาดริดหากได้รับเลือกให้เป็นประธานสโมสร
เมื่อได้รับเลือก เขาก็ทำได้จริงโดยใช้เส้นสายจากการเป็นนักธุรกิจมือทอง พร้อมวาทศิลป์ขั้นเทพในการไปเจรจากับสตาร์จากแดนฝอยทองและทำให้เขาใจอ่อนย้ายมายังเมืองหลวงได้สำเร็จ โดยการย้ายทีมในครั้งนั้น ฟิโกกลายเป็น ‘ไอ้คนทรยศ’ ‘ไอ้หน้าเงิน’ ‘ไอ้สวะ’ ‘ไอ้ถ่อย’ และอีกสารพันคำด่าในชั่วข้ามคืน การเผาเสื้อของฟิโกกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่หาดูได้แทบทุกบ้านในบาร์เซโลนาช่วงนั้น
จุดเริ่มต้น เอล กลาสิโก (El Clásico)
และอาจจะเป็นหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกใบนี้ด้วย การเจอกันของทั้งสองทีมถูกยกย่องให้เป็นเกมที่ ‘คลาสสิก’ จนกลายเป็นชื่อในภาษาสเปนว่า
‘เอล กลาสิโก (El Clásico)’
ความคลาสสิกของการเผชิญหน้ากันระหว่างเรอัล มาดริดกับบาร์เซโลนา นอกจากจะเป็นเรื่องของชื่อชั้นและศักดิ์ศรีแล้ว ยังเป็นเสมือนการเผชิญหน้ากันของสองเชื้อชาติ สองอุดมการณ์ทางการเมือง ผ่านไทม์ไลน์บนหน้าประวัติศาสตร์จนมาถึงปัจจุบัน
เกม ‘เอล กลาสิโก’ จึงเป็นมากกว่าเกมฟุตบอล เพราะมันแสดงออกถึงเรื่องราวการต่อสู้อันยาวนานบนหน้าประวัติศาสตร์ในเกมฟุตบอลเพียงเกมเดียว แม้ว่าความขัดแย้งถึงขั้นแตกหักอย่างสาหัสของทั้งสองฝ่ายจะเพิ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่ถึงศตวรรษก็ตาม
ความขัดแย้งในแมตช์อัปยศจนนำมาสู่การเกลียดกันชนิดไม่เผาผีของทั้งสองสโมสร อาจจะต้องทำความเข้าใจกับเรอัล มาดริดสักหน่อย เพราะถ้าหากเอฟซี บาร์เซโลนา เป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ของเสรีชนฝ่ายซ้ายที่ใช้สโลแกนว่า ‘เป็นมากกว่าสโมสร แล้ว ราชันชุดขาวก็เป็นตัวแทนของฝั่งขวา รอยัลลิสต์ อำนาจนิยม และลัทธิฟาสซิสม์ในยุคนั้นไม่ต่างกัน ย้อนกลับไปสมัยการก่อตั้งทีมฟุตบอลเฟื่องฟูในภาคพื้นยุโรป ราวยุคปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งต้นศตวรรษที่ 20 มีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลในสเปนขึ้น โดยสโมสรสำคัญอย่างบาร์เซโลนาก็เกิดขึ้นในช่วงนี้ ส่วนเรอัล มาดริดในยุคแรกเริ่ม ยังไม่ได้มีชื่อนั้น จุดเริ่มต้นของพวกเขาคือเอฟซี สกาย สโมสรที่ก่อตั้งโดยกลุ่มนักศึกษา ก่อนแตกออกมามาดริด เอฟซี จนในปี 1909 ก็ได้รับพระราชทานนาม ‘เรอัล’ จากพระเจ้าอัลฟองโซที่ 13 แห่งสเปน (เช่นเดียวกับเรอัล โซเซียดาด และเรอัล มูร์เซีย ที่ได้รับพระราชทานในเวลาต่อมา) โดยคำว่า เรอัล (Real) มีความหมายเท่ากับคำว่า Royal ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายความว่าสโมสรแห่งนี้เป็นสโมสรในพระบรมราชูปถัมภ์นั่นเอง ซึ่งคำว่าเรอัลที่ถูกพระราชทานให้นี้ มอบให้มาพร้อมกับ ตรามงกุฎเหนือสโมสรของพวกเขาด้วย
เหตุการณ์ในสนามฟุตบอลที่แฟนบาร์ซาไม่มีทางลืมได้ลงเกิดขึ้นในปี 1943 ในเกมรอบรองชนะเลิศของฟุตบอล โกปา เดล เกเนราลิสิโม ระหว่างบาร์เซโลนากับเรอัล มาดริด แม้เผชิญหน้ากับการตัดสินที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นธรรม แต่บาร์เซโลนายังเอาชนะไปได้ในเกมแรกถึง 3-0 โดยพวกเขาหวังยันสกอร์ที่ได้เปรียบในเกมที่ 2 เพื่อเข้าไปสู่รอบชิงฯ แต่ผลปรากฏว่าท้ายที่สุดพวกเขาแพ้ไปถึง 11-1 โดยสกอร์ครึ่งแรกจบที่ 8-0
มีรายงานว่าได้มีเจ้าหน้าที่เข้ามาคุยกับนักเตะจากแคว้นกาตาลันว่า “พวกคุณบางคนมาแข่งขันในเกมนี้ได้เพราะความกรุณาของนายพลฟรังโก อย่าลืมเรื่องนั้นเสียล่ะ” นั่นอาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกมออกมาเละเกินคาด แต่ถึงกระนั้นในยุคอำนาจมืดครองเมืองเช่นนี้ มีเพียงบาร์เซโลนากับแอธเลติก บิลเบา (ทีมจากแคว้นบาสก์) ที่ยังคงเป็นเพียงสองทีมที่ยืนหยัดต่อต้าน ‘ทีมของนายพลฟรังโก’ อย่างเรอัล มาดริด อย่างสุดกำลังไม่ว่าจะโดนข่มเหงจากอำนาจนอกสนามหนักหนาแค่ไหนก็ตาม
อีกกรณีคือการย้ายทีมอันโด่งดังของหลุยส์ ฟิโก สตาร์ชาวโปรตุกีส ที่ตอนนั้นค้าแข้งกับบาร์เซโลนา ก่อนย้ายข้ามฟากไปยังเรอัล มาดริดหลังการขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานสโมสรของเฟเรนติโน เปเรซ ที่นำเรอัล มาดริดเข้าสู่ยุค ‘กาลาติกอส’ โดยเปเรซหาเสียงในการเลือกตั้งประธานสโมสรของทีมราชันชุดขาวว่าเขาจะดึงตัวฟิโก มายังกรุงมาดริดหากได้รับเลือกให้เป็นประธานสโมสร
เมื่อได้รับเลือก เขาก็ทำได้จริงโดยใช้เส้นสายจากการเป็นนักธุรกิจมือทอง พร้อมวาทศิลป์ขั้นเทพในการไปเจรจากับสตาร์จากแดนฝอยทองและทำให้เขาใจอ่อนย้ายมายังเมืองหลวงได้สำเร็จ โดยการย้ายทีมในครั้งนั้น ฟิโกกลายเป็น ‘ไอ้คนทรยศ’ ‘ไอ้หน้าเงิน’ ‘ไอ้สวะ’ ‘ไอ้ถ่อย’ และอีกสารพันคำด่าในชั่วข้ามคืน การเผาเสื้อของฟิโกกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่หาดูได้แทบทุกบ้านในบาร์เซโลนาช่วงนั้น