สมัยประถม
ผมอยากเป็นนักวิ่ง เพราะตอนนั้นผมถูกจัดอยู่ในกลุ่มเด็กตัวสูง ขายาว
แต่สิ่งที่ครูมอง และจัดผมให้ไปอยู่คือ ไปขึ้นอัศจรรย์เชียร์กีฬา ให้ผมนั่งชั้นบนสุด เพราะผมตัวสูง
ผมพยายามไปบอกครู ไปขอครู (จำได้ว่า 3 รอบ) บอกว่าผมอยากเป็นนักวิ่งครับ ผมวิ่งได้ ครูรับคำแบบผ่านๆ แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป
จนผมจบป.6 โดยที่ไม่เคยได้วิ่งในงานกีฬา แต่ได้ขึ้นอัศจรรย์เชียร์ทุกปี
ผมยังไม่ลดละความอยากที่จะเป็นนักวิ่ง
มีครั้งนึง โรงเรียนจัดให้วิ่งรอบโรงเรียน เพื่อเน้นด้านสุขภาพ และมีบรรดาครูๆ มานั่งขอบสนาม เพื่อเฝ้าเด็กที่วิ่ง
ผม ที่พอวิ่งมาใกล้จะถึงจุดที่ครูอยู่ ก็ฮึบตัวเองขึ้น วิ่งอย่างตั้งใจ ก้าวขายาวๆ สีหน้าจริงจัง
เพื่อให้ครูที่นั่งอยู่ เห็นว่าเออ เด็กคนนี้มีแววเป็นนักวิ่งได้
แต่.... สิ่งที่ผมได้ยินตอนวิ่งผ่านหน้าครู่ก็คือ ครูคนนึง คุย/บอก กับครูอีกคนนึงว่าผมเป็นตุ๊ด
งานกีฬาประจำปี ที่โรงเรียนประถมทั้ง 10 โรงเรียน ต้องไปร่วมแข่งขันที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ
ผมถูกจัดให้เดินทางไปกับกลุ่มนักเรียนชายทั้งหมด และ ถูกพาไปส่งที่สนามฟุตบอล
ครูและเพื่อนที่ไปด้วยกัน ลงสนามกันหมด แต่ผมเลือกที่จะเดินแยกไปอีกจุด เพื่อพาตัวเองไปสนามวอลเลย์บอล
ครูตะโกนมาไกลๆจากในสนาม ชวนให้ผมลงไปเล่นฟุตบอล ผมได้ยินแต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินหน้าต่อไป
และสิ่งที่ผมได้ยินต่อมาในไม่กี่วินาที คือเสียงโห่ และเสียงหัวเราะ จากคนทั้งหมดในสนามนั้น
ตอนนั้นคือใจเสียนะ และพยายามเดินไปให้เร็วที่สุด ให้พ้นจากจุดนั้น
ผมถูกบูลลี่ ว่าเป็นตุ๊ดมาตั้งแต่จำความได้ (ซึ่งสมัยนั้น ไม่มีหรอกคำว่าบูลลี่ แม้แต่คำว่าตุ๊ด บางทีผมยังไม่เข้าใจเลยว่าแปลว่าอะไร)
สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคือ ชีวิตในวัยเด็ก โรงเรียนและครู ไม่ใช่เซฟโซนและความทรงจำที่ดีขนาดนั้น
หลายๆ เรื่องที่กลายเป็นปมในชีวิตคนๆนึง ล้วนมาจากสังคมและคนพวกนี้
ตอนนั้นผมเลือกตอบโต้ด้วยการเงียบ ไม่สนใจ ปล่อยผ่าน แต่สิ่งที่ผมรู้สึกคือ ผมเป็นตัวอะไร ทำไมเพื่อนๆ ถึงชอบล้อ รุ่นพี่ถึงชอบล้อ หัวเราะใส่
โตมาหน่อย
ผมไม่เคยปฏิเสธ ว่าผมเป็นอะไร แต่ผมก็ไม่เคยทำตัวผิดปกติจากเด็กผู้ชายทั่วไป เพื่อประกาศให้คนรู้ว่าผมเป็นอะไร
ผมใช้ชีวิตตามปกติมาตลอด ตั้งแต่สมัยประถม มัธยม มหาลัย ไม่เคยตอบโต้กับทุกเหตุการณ์ที่เจอ ทำเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไร
แต่จริงๆ แล้วๆ เหตุการณ์พวกนั้นมันส่งผล ทำให้ผมเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองมาตลอด และในบางช่วงวัย ผมก็พยายามหาวิธีต่างๆ
เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ เพื่อให้มีตัวตนในสายตาคนอื่น แม้จะเป็นวิธีผิดๆ และบ้าๆบอๆก็ตาม
ที่สำคัญ ผมก็ไม่สามารถลบล้างคำว่าตุ๊ด จากคนอื่นๆ ได้
ผมมีเพื่อนน้อย
- ผมไปเข้ากลุ่มเพื่อนผู้ชาย พวกเค้าก็มองว่ากูเป็นตุ๊ด แม้ว่าทั้งเพื่อนและผมจะพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ
แต่นิสัยผมก็ไม่ใช่ผู้ชายนักเลง กินเหล้าเมายา เตะฟุตยอล เตะตะกร้อ หม้อผู้หญิง เหมือนผู้ชายทั่วไปเค้าเป็นกัน
- ผมไปเข้ากลุ่มเพื่อนผู้หญิง ในความรู้สึกผม ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าผู้หญิงคือพวกเดียวกับผม นี่แหละคือที่ของผม
คำถามคือ แล้วผมถูกจัดอยู่ในคนจำพวกไหน ! ผมก็เลยชินกับการมีเพื่อนน้อย กับการอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียวมาตลอด
จนทุกวันนี้ ผมโตมากพอ ผ่านอะไรมามากพอ บวกกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้ผมพอจะมีภูมิคุ้มกันกับเรื่องพวกนี้ได้เยอะแล้ว
เกย์ อยากหาที่ระบาย
ผมอยากเป็นนักวิ่ง เพราะตอนนั้นผมถูกจัดอยู่ในกลุ่มเด็กตัวสูง ขายาว
แต่สิ่งที่ครูมอง และจัดผมให้ไปอยู่คือ ไปขึ้นอัศจรรย์เชียร์กีฬา ให้ผมนั่งชั้นบนสุด เพราะผมตัวสูง
ผมพยายามไปบอกครู ไปขอครู (จำได้ว่า 3 รอบ) บอกว่าผมอยากเป็นนักวิ่งครับ ผมวิ่งได้ ครูรับคำแบบผ่านๆ แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป
จนผมจบป.6 โดยที่ไม่เคยได้วิ่งในงานกีฬา แต่ได้ขึ้นอัศจรรย์เชียร์ทุกปี
ผมยังไม่ลดละความอยากที่จะเป็นนักวิ่ง
มีครั้งนึง โรงเรียนจัดให้วิ่งรอบโรงเรียน เพื่อเน้นด้านสุขภาพ และมีบรรดาครูๆ มานั่งขอบสนาม เพื่อเฝ้าเด็กที่วิ่ง
ผม ที่พอวิ่งมาใกล้จะถึงจุดที่ครูอยู่ ก็ฮึบตัวเองขึ้น วิ่งอย่างตั้งใจ ก้าวขายาวๆ สีหน้าจริงจัง
เพื่อให้ครูที่นั่งอยู่ เห็นว่าเออ เด็กคนนี้มีแววเป็นนักวิ่งได้
แต่.... สิ่งที่ผมได้ยินตอนวิ่งผ่านหน้าครู่ก็คือ ครูคนนึง คุย/บอก กับครูอีกคนนึงว่าผมเป็นตุ๊ด
งานกีฬาประจำปี ที่โรงเรียนประถมทั้ง 10 โรงเรียน ต้องไปร่วมแข่งขันที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ
ผมถูกจัดให้เดินทางไปกับกลุ่มนักเรียนชายทั้งหมด และ ถูกพาไปส่งที่สนามฟุตบอล
ครูและเพื่อนที่ไปด้วยกัน ลงสนามกันหมด แต่ผมเลือกที่จะเดินแยกไปอีกจุด เพื่อพาตัวเองไปสนามวอลเลย์บอล
ครูตะโกนมาไกลๆจากในสนาม ชวนให้ผมลงไปเล่นฟุตบอล ผมได้ยินแต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินหน้าต่อไป
และสิ่งที่ผมได้ยินต่อมาในไม่กี่วินาที คือเสียงโห่ และเสียงหัวเราะ จากคนทั้งหมดในสนามนั้น
ตอนนั้นคือใจเสียนะ และพยายามเดินไปให้เร็วที่สุด ให้พ้นจากจุดนั้น
ผมถูกบูลลี่ ว่าเป็นตุ๊ดมาตั้งแต่จำความได้ (ซึ่งสมัยนั้น ไม่มีหรอกคำว่าบูลลี่ แม้แต่คำว่าตุ๊ด บางทีผมยังไม่เข้าใจเลยว่าแปลว่าอะไร)
สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคือ ชีวิตในวัยเด็ก โรงเรียนและครู ไม่ใช่เซฟโซนและความทรงจำที่ดีขนาดนั้น
หลายๆ เรื่องที่กลายเป็นปมในชีวิตคนๆนึง ล้วนมาจากสังคมและคนพวกนี้
ตอนนั้นผมเลือกตอบโต้ด้วยการเงียบ ไม่สนใจ ปล่อยผ่าน แต่สิ่งที่ผมรู้สึกคือ ผมเป็นตัวอะไร ทำไมเพื่อนๆ ถึงชอบล้อ รุ่นพี่ถึงชอบล้อ หัวเราะใส่
โตมาหน่อย
ผมไม่เคยปฏิเสธ ว่าผมเป็นอะไร แต่ผมก็ไม่เคยทำตัวผิดปกติจากเด็กผู้ชายทั่วไป เพื่อประกาศให้คนรู้ว่าผมเป็นอะไร
ผมใช้ชีวิตตามปกติมาตลอด ตั้งแต่สมัยประถม มัธยม มหาลัย ไม่เคยตอบโต้กับทุกเหตุการณ์ที่เจอ ทำเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไร
แต่จริงๆ แล้วๆ เหตุการณ์พวกนั้นมันส่งผล ทำให้ผมเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองมาตลอด และในบางช่วงวัย ผมก็พยายามหาวิธีต่างๆ
เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ เพื่อให้มีตัวตนในสายตาคนอื่น แม้จะเป็นวิธีผิดๆ และบ้าๆบอๆก็ตาม
ที่สำคัญ ผมก็ไม่สามารถลบล้างคำว่าตุ๊ด จากคนอื่นๆ ได้
ผมมีเพื่อนน้อย
- ผมไปเข้ากลุ่มเพื่อนผู้ชาย พวกเค้าก็มองว่ากูเป็นตุ๊ด แม้ว่าทั้งเพื่อนและผมจะพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ
แต่นิสัยผมก็ไม่ใช่ผู้ชายนักเลง กินเหล้าเมายา เตะฟุตยอล เตะตะกร้อ หม้อผู้หญิง เหมือนผู้ชายทั่วไปเค้าเป็นกัน
- ผมไปเข้ากลุ่มเพื่อนผู้หญิง ในความรู้สึกผม ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าผู้หญิงคือพวกเดียวกับผม นี่แหละคือที่ของผม
คำถามคือ แล้วผมถูกจัดอยู่ในคนจำพวกไหน ! ผมก็เลยชินกับการมีเพื่อนน้อย กับการอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียวมาตลอด
จนทุกวันนี้ ผมโตมากพอ ผ่านอะไรมามากพอ บวกกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้ผมพอจะมีภูมิคุ้มกันกับเรื่องพวกนี้ได้เยอะแล้ว