เทรด "Forex" เสีย...แต่ไม่ท้อ

กระทู้สนทนา
"เงินอยู่ในอากาศ" 
คำนี้ผมได้ยินมานานมาก แต่ก็ได้แต่คิดว่า อะไรวะ เงินในอากาศ
จนมารู้จัก "Forex" นี่แหละครับ กระทู้นี้ไม่มีปั่น มีแต่เจ็บจริง ได้จริง
เล่าย้อนนิด ผมกับแฟนทำงานประจำกันทั้งคู่ รายได้สองคนต่อเดือนใกล้ๆแสน ถือว่าอยู่ได้เลยสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ ตจว.
จนมาเมื่อประมาณกลางๆปี 2565 แฟนผมเขาเริ่มเบื่องานประจำ และเริ่มหาหนทางหลุดพ้นจากงานประจำจนได้มารู้จักกับ Forex
เริ่มแรกต้องบอกตรงๆเลย แฟนผมไม่มีความรู้อะไรเลย ลงเงินเข้าพอร์ตแล้วเล่นเหมือนคนแทงไฮโล
แปลกนะครับที่ตลาดเหมือนมันรู้ว่าเรามือใหม่ กล้าลงเล่น เขาก็กล้าให้
มีวันนึงวันนั้นช่วงกลางวันแฟนผมทำกำไรเป็นตัวเลขได้เกือบแสนภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงกับหุ้นน้ำมัน
เราสองคนหลงดีใจกันมาก เพราะคิดฝันไปไกลมาก มากจนถึงว่าเราสามารถค้นพบวิธีที่จะหลุดออกจากงานประจำแล้ว
แล้วไปใช้ชีวิตอิสระได้เสียที
มันตลก...คิดผิดถนัดครับ ตกเย็นแค่นั้นแหละครับ ตลาดหอบเงินที่เราได้กับเงินทุนในพอร์ตเราอีกกว่าหนึ่งแสนไปจนหมด
นาทีนั้นมือสั่น ใจสั่น หน้าชา เพราะเป็นเงินเย็นที่เราเก็บสำรองไว้ใช้ในบ้านยามฉุกเฉิน
แต่ถามว่าเข็ดไหม...ไม่เข็ดครับ อารมณ์ตอนนั้นคือนักพนันชัดๆเลย เสียก็อยากได้คืน ไม่คิดอะไรมากเลยครับตอนนั้น
แต่จะบอกว่าเสียตลอดไหม ก็ไม่ครับ ตลาดบางช่วงก็มีใจดีกับเราบ้าง ^^
จนมาช่วงๆต้นปีที่แล้วแหละครับ ที่เราเสียเงินอีกก้อนร่วมๆสองแสนบาทไปในพริบตา
อาการเดิมแหละครับ เหวอ งง หน้าชา ใจสั่น ถามกันไปมาว่ากูทำอะไรกันอยู่วะเนี้ย
แต่เข็ดไหม...ไม่ครับ เพราะเราสองคนยังเชื่อครับว่า Forex ยังเป็นหนทางที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากวังวนของงานประจำไปได้
ระหว่างที่เราเทรดๆกัน แฟนผมเขาก็เริ่มหาข้อมูลเริ่มศึกษา จากบรรดาเหล่าเทรดเดอร์ต่างๆ ตามช่อง live สดต่างๆ
ทั้งเข้าอบรมไปนั่งฟัง ทั้งแบบออนไลน์ เสียเงินเข้ากลุ่ม signal ต่างๆ ซื้อครอสพาเทรดกับกลุ่มต่างๆ
แฟนผมเขาเอาทุกรูปแบบ ทั้งเทรดแบบถือยาวถือสั้น รันเทรนด์ เอาเป็นว่าเขาจัดทุกรูปแบบจริงๆ
ส่วนผลประกอบการหรอครับ เอาเป็นว่าเราได้กดเอาเงินสดๆออกมาใช้ เท่าที่ว่าจำได้มีแค่ 3 ครั้ง
ครั้งที่ 1 : 70,000
ครั้งที่ 2 : 60,000
ครั้งที่ 3 : 40,000
นี่คือรายได้ที่ได้กลับมาตั้งแต่เริ่มเทรดตั้งแต่ช่วงกลางปี 65 นะครับ
แต่เสียไปเท่าไร คิดกลมๆง่ายๆ ได้มาน่าจะแค่ประมาณ 10-15% ที่เสียไป ถถถถ
แต่โชคร้ายยังมาหาคนด้อย ปสก. อย่างต่อเนื่อง
พอมาถึงช่วงเดือนตุลาปี 66
13/10/2566 เราก็เสียเงินก้อนใหญ่อีกก้อน...อีกครั้ง (-_-")
ซึ่งก้อนนี้ร่วมๆเกือบสี่แสนบาท ซึ่งเราตัดใจ cutoff ทั้งหมดก่อนพอร์ตเราจะแตกทั้งหมด
เรากำเงินในมือแล้วเขวี้ยงทิ้งไปในอากาศ เพื่อให้ไปเข้ามือคนอื่นที่เขามี ปสก.ความรู้และเครื่องมือที่ดีมากกว่าเรา
ถามว่า ณ เวลานั้น แฟนผมเขาก็ค่อนข้างมีความรู้เกี่ยวกับการเทรดอยู่บ้างพอสมควรแล้วล่ะ
แต่อย่างว่าแหละ "ทนแดงไม่ทนฟ้า" ก็ไม่สู้ "Over Trade"
Over Trade...
ถ้าคุณตัดกิเลสภายในใจตัวเองไม่ได้ หรือถ้าคุณลงสนามแล้วคุณมีกระบุง (ความโลภ) เพื่อลงไปกอบโกยเงินอย่างเดียว
โดยที่คุณไม่คิดเอาจอบเอาเสียม (ความรู้) เพื่อไปกรุยทางให้คุณได้เดินสะดวกและเดินต่อไปในเส้นทางนี้ได้ยาวๆ
บอกเลย แม้คุณจะ MM (Money Management) ให้ดีแค่ไหน คุณก็กำลังเผาเงินตัวเองเล่นไปทีล่ะนิดๆ
ไม่ช้าก็เร็วเงินคุณก็จะหมด
วันนั้นแฟนผมอย่าเรียกว่า Over Trade เลย เรียกว่าเทรดแบบไม่มีสมอง ไม่เอาประสบการณ์อะไรมาใช้เลยดีกว่า
ไม่รู้ผีห่าซาตานอะไรเข้าสิง หรือมาดลใจ เทรดมาเป็นปี ใช้หน่วย US
แต่วันนั้นแค่วันเดียว วันเดียวจริงๆ จนมาถึงทุกวันนี้ แฟนผมดันเทรดโดยใช้หน่วยเงินบาท
ผมเห็นแล้วแหละ แต่ผมไม่สามรถช่วยวางแผนอะไรได้เลย ณ ตอนนั้น MM ในหัวตีกันวุ่น ไม่สามารถหาจุดที่จะบาลานซ์พอร์ตอะไรได้เลย
แล้วผีซ้ำด้ามพลอย SL ก็ไม่ตั้ง TP เก็บระหว่างทางก็ไม่มี (ซึ่งเวลานั้นตั้งไปก็ไม่น่าได้ เพราะวันนั้นกราฟหัวทิ่มลงเหวทั้งวัน)
อ่อ..ลืมบอกไป แฟนกับผมเทรดทองคำ 100 % มีเทรดน้ำมันแค่ไม่กี่ครั้งแค่ช่วงแรกๆ ซึ่งถ้าใครเทรดทองน่าจะพอจำได้ว่า
วันที่ 13 ตุลาคม 2566 กราฟทองเป็นยังไง เอาจริงๆกราฟวิ่งไม่เยอะเท่าไร น่าจะประมาณ 6,000 จุดได้
แต่เพราะเราดันไปโอเวอร์เทรดนั้นแหละ สุดท้ายเงินในพอร์ตแทบไม่เหลือ
เข็ดไหม...ไม่เข็ด เรากำเงินก้อนเกือบสุดท้ายอีกประมาณแสนกว่าๆ เอาไปให้คนที่เราคิดว่าเขาจะสามารถช่วยเอาเงินเรากลับมาได้
ไม่ต้องได้คืนมาเท่ากับจำนวนที่เราเสียไปก็ได้ เอาไปให้เขาช่วยเทรดให้
สุดท้ายเขาก็เอาเงินเราไปเขวี้ยงเข้าไปในอากาศอีก...ไม่โทษใครหรอก โทษตัวเราสองคนนี่แหละ
เข็ดไหมล่ะ...ไม่เข็ดหรอก 555 เจ็บแล้วแต่ต้องจำ จำเอาทุกอย่างมาเป็นประสบการณ์ให้ได้
จนตั้งแต่ประมาณปลายปีที่แล้ว เราสองคนเริ่มตั้งสติ ต้องกดสติให้อยู่กับตัวให้ได้ทุกครั้งเวลาที่เทรด
วางแผน MM ทุกครั้ง
Stop Loss ต้องมี
Hedging กันหน้าทุนต้องมีไว้เสมอ
เสียน้อยให้ง่ายๆ เสียมากๆเราต้องไม่ยอมเสียให้ตลาดอีกแล้ว
ส่วนตัวผมให้ความสำคัญกับเรื่องที่กล่าวมามากกว่าการมองกราฟให้เป็น
ธรรมชาติกราฟมีลงก็มีขึ้น มีขึ้นก็มีลง
ตลาดเมกา ตลาดเอเชีย ตลาดยุโรป คิดไม่เหมือนกันถ้ามีที่ใดทุบ อีกที่เข้ามาก็งัด...แทบทุกครั้งเสมอๆ
ระวังให้ดีช่วง "เทรดชนข่าว" เงินในพอร์ตไม่มากพอ บวกกับถ้าถือไม้รวมใกล้ๆจะโอเวอร์เทรด
รับรองเจ้าล้างกระดานหมด
หาช่วงกราฟ "Sideways" ให้ได้  คนส่วนใหญ่จะบอกว่าเทรดยาก เพราะกราฟวิ่งในช่วงแคบๆ ได้ผลตอบแทนน้อย เสียเวลา
แต่ส่วนตัว คิดว่าช่วงนี้แหละ เหมาะเป็นช่วงทำกำไร เข้าๆออกๆให้ไว ส่วนตัวคิดว่าเป็นช่วงที่เจ้าเขาให้
แต่เขาจะให้ไม่นานหรอกนะ เดี๋ยวเขาก็ลากไปทิ้ง ไม่ทิ้งที่ดอย ก็ทิ้งก้นเหว เกาะรถให้ไว ลงให้ไว
ตอนนี้ผมกับแฟนวางแผนกันใหม่
จากเดิมแฟนผม จะหวงมากกับคำว่าต้องเอาเงินไว้ในพอร์ตเพื่อ "ปั้นพอร์ต"
ปั้นๆๆๆๆ เคยปั้นไปจนเกือบหกพันเหรียญ โดนลากหายวับไปกับตาสี่พันกว่าเหรียญ
เข็ดไหมล่ะ...ก็ไม่ ถถถ
เราก็คุยกันแหละ ว่าทุกครั้งที่เทรดได้ เราจะกันเงินเอาออกมา 30% ของรายได้ทุกครั้ง
หรือจะมากกว่านั้นก็ได้ถ้าพอร์ตเราโตมากพอ
จะด้วยมีประสบการณ์มากขึ้น หรือเจ็บมาเยอะในขนาดที่เราเจ็บได้และยังใช้ชีวิตอยู่ได้ก็เหอะ
เราใช้แผนนี้ + กับประสบการณ์ที่พอมี ณ ตอนนี้
แฟนผมสามารถใช้ทุน 1,000$ ตั้งแต่ 20/5/67 ทำกำไรและถอนเงินออกมาแล้วประมาณ 1,100 $
โดยที่ทุนยังอยู่และ+กำไรอีกประมาณ 700 $ และหวังว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยที่ไม่ต้องไม่โอเวอร์เทรด เรา MM ที่ 0.1 หรือ 0.05
ใช้เวลาเทรด เฝ้ารอ หาจังหวะ เราเริ่มที่จะทำได้ดีครับ
จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่เปลี่ยนใจว่าการเทรด "Forex" ที่มันจะสามารถช่วยให้เราหลุดพ้นออกจากวงจรของการทำงานประจำได้
แต่เราต้องใช้เวลากับมันและต้องบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่เราควบคุมได้ก็พอ
ปล. ว่าด้วยเรื่องการหลุดพ้นจากงานประจำ จริงๆแฟนผมเขาหลุดพ้นมาตั้งแต่เดือน 1/65 แล้วล่ะ
ได้มาเป็นเทรดเดอร์เต็มตัวเพราะภาวะจำยอมดันมาท้องลูกคนที่สามตอนอายุจะสี่สิบ กลัวลูกหลุด ลาออกซะเลย 555
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่