คลังประกาศปรับเงื่อนไขกองทุน Thai-ESG เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการดังกล่าว โดยเงื่อนไขของกองทุน Thai-ESG จะเพิ่มวงเงินลดหนย่อนภาษีเป็นไม่เกิน 3 แสนบาท จากเดิม 1 แสนบาท ลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี (ระยะเวลาสั้นกว่าตามข่าวในช่วงแรกที่ 7 ปี และลดลงจากในปี 2566 ที่ 8 ปี) โดยให้มีผล 3 ปี ระหว่าง 2567-2569
มองเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย อ้างอิงบทวิเคราะห์ “การกลับมาของ LTF กับผลกระทบตลาดหุ้นไทย” วันที่ 23 พ.ค. ที่ผ่านมา เราแนะนำหุ้น 17 ตัวที่มีพื้นฐานดี valuations ไม่แพง มี ESG ระดับ A-AAA ตามรายงานที่แนบมา โดยหากเลือกหุ้นที่มีปริมาณ short sell outstanding สูงกว่า 1% ตามมุมมองผลบวกจากการ cover short จะมี 5 หุ้นได้แก่ BEM BBL MINT TOP SCGP
จากการศึกษาผลของกองทุน LTF ในอดีต พบว่าการเพิ่มขึ้นของAUM ของกองทุน LTF มีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าซื้อขายของตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง จนสูงสุดในปี 2020 1 ปีหลังสิ้นสุดโครงการ LTF
ในช่วงที่มีกองทุน LTF SET Index ให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับประมาณ 5-6% ต่อปี (หรือ 70-90 จุด)
อย่างไรก็ตามบนเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น ผลบวกต่อตลาดอาจน้อยกว่าในอดีต เนื่องจากวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดลดจาก 5 แสน เหลือ 3 แสนบาท และ กองทุน T-ESG มีโอกาสลงทุนในตราสารหนี้ ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นลดลง นอกจากนั้นผู้ลงทุนปัจจุบันมีทางเลือกการลงทุนในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ประเมินผลบวกต่อตลาดเบื้องต้น ~3%
Thai-ESG พลาดเป้าในปีที่ผ่านมา แปลว่าไม่น่าสนใจใช่หรือไม่ เป็นไปได้เนื่องจากผลตอบแทนที่ไม่เด่น และภาพเชิงลบในช่วงปีท้ายๆ ของ LTF แต่สาเหตุหนึ่งที่พลาดเป้า อาจเป็นเพราะในปี 2023 เวลาซื้อได้ ไม่ถึง 1 เดือน
คำถามต่อมา ถ้าซื้อได้เต็มปีจะมีเงินไหลเข้าเพิ่มขึ้นหรือไม่ แน่นอน เพราะในช่วง 4M24 มีเงินไหนเข้า T-ESG รวม 1.6 พันล้านบาท หากเทียบเต็มปีจะอยู่ที่ราว 5 พันล้านบาท แต่ตามปกติเงินไหลเข้ามักเกิดในช่วงปลายปี ทำให้ FY เม็ดเงิน ไหลเข้าน่าจะเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้นระยะเวลาถือครองที่ลดลงเหลือ 5 ปีจาก 8ปี ยังเป็นอีกปัจจัยที่อาจช่วยให้กองทุน T-ESG ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากในปีที่ผ่านมา
รายละเอียดเพิ่มตามอาจได้ในรายงานที่แนบมา
Source: ประชาชาติธุรกิจ
#InnovestXResearch
ที่มา
https://www.facebook.com/innovestxsecurities/?locale=th_TH
กองทุน Thai-ESG เงื่อนไขใหม่ ถือ 5 ปี ลดหย่อยได้สูงสุด 300,000 บาท คล้ายๆ กองทุน LTF เก่า
มองเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย อ้างอิงบทวิเคราะห์ “การกลับมาของ LTF กับผลกระทบตลาดหุ้นไทย” วันที่ 23 พ.ค. ที่ผ่านมา เราแนะนำหุ้น 17 ตัวที่มีพื้นฐานดี valuations ไม่แพง มี ESG ระดับ A-AAA ตามรายงานที่แนบมา โดยหากเลือกหุ้นที่มีปริมาณ short sell outstanding สูงกว่า 1% ตามมุมมองผลบวกจากการ cover short จะมี 5 หุ้นได้แก่ BEM BBL MINT TOP SCGP
จากการศึกษาผลของกองทุน LTF ในอดีต พบว่าการเพิ่มขึ้นของAUM ของกองทุน LTF มีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าซื้อขายของตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง จนสูงสุดในปี 2020 1 ปีหลังสิ้นสุดโครงการ LTF
ในช่วงที่มีกองทุน LTF SET Index ให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับประมาณ 5-6% ต่อปี (หรือ 70-90 จุด)
อย่างไรก็ตามบนเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น ผลบวกต่อตลาดอาจน้อยกว่าในอดีต เนื่องจากวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดลดจาก 5 แสน เหลือ 3 แสนบาท และ กองทุน T-ESG มีโอกาสลงทุนในตราสารหนี้ ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นลดลง นอกจากนั้นผู้ลงทุนปัจจุบันมีทางเลือกการลงทุนในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ประเมินผลบวกต่อตลาดเบื้องต้น ~3%
Thai-ESG พลาดเป้าในปีที่ผ่านมา แปลว่าไม่น่าสนใจใช่หรือไม่ เป็นไปได้เนื่องจากผลตอบแทนที่ไม่เด่น และภาพเชิงลบในช่วงปีท้ายๆ ของ LTF แต่สาเหตุหนึ่งที่พลาดเป้า อาจเป็นเพราะในปี 2023 เวลาซื้อได้ ไม่ถึง 1 เดือน
คำถามต่อมา ถ้าซื้อได้เต็มปีจะมีเงินไหลเข้าเพิ่มขึ้นหรือไม่ แน่นอน เพราะในช่วง 4M24 มีเงินไหนเข้า T-ESG รวม 1.6 พันล้านบาท หากเทียบเต็มปีจะอยู่ที่ราว 5 พันล้านบาท แต่ตามปกติเงินไหลเข้ามักเกิดในช่วงปลายปี ทำให้ FY เม็ดเงิน ไหลเข้าน่าจะเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้นระยะเวลาถือครองที่ลดลงเหลือ 5 ปีจาก 8ปี ยังเป็นอีกปัจจัยที่อาจช่วยให้กองทุน T-ESG ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากในปีที่ผ่านมา
รายละเอียดเพิ่มตามอาจได้ในรายงานที่แนบมา
Source: ประชาชาติธุรกิจ
#InnovestXResearch
ที่มา https://www.facebook.com/innovestxsecurities/?locale=th_TH