ในเดือนแห่งเดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาวหลากหลายทางเพศ (ep 1) ของเสนอประวัติของคุณ ปอย ตรีชฎา หงษ์หยก by letsgettoknowher

สวัสดีครับ ในช่วงบรรยากาศของเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งเป็นเดือนแห่งเดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาวหลากหลายทางเพศ แอดจึงอยากนำเสนอชีวิตของผู้ชายที่ถือว่าสวยที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทย ชื่อของเธอคือ ปอย ตรีชฎา หงษ์หยก
ปอย ตรีชฎา เดิมมีชื่อเกิดว่า ศักดิ์นรินทร์ มาลยาภรณ์ ชื่อเล่นเดิมคือ บอย เกิดวันที่ 5 ตุลาคม  2529 โดยพื้นเพของเธอเป็นคนจังหวัดภูเก็ต มีน้องสาว 1 คน ชื่อว่า บี ส่วนคุณพ่อคุณแม่นั้นแยกทางกันตั้งแต่ปอยยังเด็ก ซึ่งเธอถูกเลี้ยงดูมาโดยคุณแม่และพ่อเลี้ยงชีวิตวัยเด็กของเธอ ปอยชอบวิทยาศาสตร์แนวการแพทย์กับพยาบาลตั้งแต่ประถม ช่วงม.2 เธอนำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์ด้วยการเขียนสมมติฐานว่า ในอนาคตเราจะไม่พึ่งพาต้นไม้ในการผลิตอาหารอย่างเดียว แต่จะจำลองคลอโรพลาสต์ออกมาให้สังเคราะห์แสงสร้างแป้งให้คนบริโภคได้ งานนี้ปอยชนะ เธอจึงมีความมั่นใจ และอยากเรียนสายวิทย์อย่างจริงจัง เธอมีเป้าหมายที่อยากเป็นหมอเธอจึงตั้งใจเรียนได้คะแนนระดับท็อปดี แต่ชีวิตเธอพลิกผันเกือบเรียนไม่จบเพราะโดดเรียนและอยากมีแฟน โชคดีที่ได้เพื่อนสนิทช่วยดันหลังจนเรียนจบมาได้ แต่เธอก็ยังไม่คิดเรียนต่อมหาวิทยาลัย ซึ่งใครจะรู้ว่าเธอกลับใช้ใช้เวลาเกือบ16 ปี ในการเรียนจบปริญญาตรี


              เธอได้ตัดสินใจกลับมาเรียนอีกครั้งโดยครั้งแรกเธอได้เข้าเรียนที่ คณะนิเทศศาสตร์ ภาคพิเศษ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต แต่พอเรียนได้แค่3 เดือน ปอยก็ชนะการประกวดมิสทิฟฟานี่ ปี 2547 ทำให้เธอเริ่มมีชื่อเสียงขึ้น และใช้ชีวิตในวงการบันเทิง โดยเธอเลิกเรียนมหาวิทยาลัยสวนดุสิต จนเวลาผ่านไป 2 – 3 ปีเลย  ต่อมาเธอได้ตัดสินใจกลับมาเรียนอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้เธอเลือกเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ปรากฏว่าวิชากฎหมายยากมากสำหรับเธอ เธอเลยต้องไปลงเรียนนิติรามด้วย แต่พอเรียนไปสักพักเธอก็ไปดรอปและด้วยความที่เป็นนักแสดง จึงมีคนชักชวนเธอให้ไปเรียนอีกครั้ง เธอจึงตัดสินใจเรียนเป็นครั้งที่สาม ที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดง ที่มหาวิทยาลัยสยาม ซึ่งที่นี่เธอได้เรียนวิชาพื้นฐานหลายอย่างทั้งการแสดง ร้องเพลง ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ให้เธอเอาไปใช้ทำงานในวงการบันเทิง ปอยลงเรียนเพื่อเติมความรู้เรื่อยๆ เรียนๆ ขาดๆ สุดท้ายเธอก็เรียนต่อไปไหว
            จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในเรื่องการเรียนของเธอ คือ เธอยังไม่ทิ้งเรื่องการสนใจในวิชาในวิทยาศาสตร์ และได้รู้จักและได้พูดคุยกับ ศาสตราจารย์ ดร.ภก. จีรเดช มโนสร้อย และ ศาสตราจารย์ ดร.ภญ.อรัญญา มโนสร้อย ซึ่งเกษียณจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว พออาจารย์เห็นว่าปอยสนใจงานพวกนี้ เลยชวนเธอไปเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาเทคโนโลยีเครื่องสำอาง มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ ซึ่งเรียนในวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งเธอก็ตัดสินใจเรียนอีกเป็นครั้งสี่แต่ในชีวิต แต่ทว่าเรียนได้เพียง 2 ปี เธอก็ได้รับโอกาสสำคัญให้ไปทำงานที่ฮ่องกง จึงทำให้เธอต้องหยุดเรียนอีกครั้ง
จนกระทั่งสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19 ทำให้เธอมีเวลาว่าง เธอได้กลับมาทบทวนตัวเอง ว่าชีวิตต้องการอะไรกันแน่และแก้ปมเรื่องการเรียนไม่จบ ด้วยการโอนหน่วยกิตจากมหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ มาสมทบกับที่มหาวิทยาลัยสยาม และลงเรียนเพิ่มเป็นครั้งที่ห้า จนได้รับวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต ในที่สุด

                กว่าจะมาเป็น ปอย ตรีชฎา หนึ่งในผู้ชายที่สวยที่สุดในโลก ชีวิตเธอต้องผ่านอะไรมาบ้าง เธอเคยเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่เด็กเธอบอกตัวเองเสมอว่าเธอเป็นผู้หญิงในร่างของผู้ชาย แต่ครอบครัวของเธอใส่ทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับเพศที่ 3 ให้เธอ เธอจะพยายามเรียนหนังสือให้เก่งให้ที่บ้านภาคภูมิใจความเป็นตัวเธอ แต่พ่อของเธอก็ไม่ได้ภูมิใจเท่าการที่ส่งเธอไปเล่นฟุตบอลเพราะหวังว่าปอยจะเปลี่ยนเป็นผู้ชายเต็มตัวได้ ซึ่งลึกๆปอยเองก็คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงได้ สุดท้ายแล้วเธอก็เล่นฟุตบอลได้แค่ครั้งเดียว ซึ่งครั้งนั้นเธอเล่าว่าเธอเจ็บตัวมากเพราะต้องโดนผู้ชายในสนามบอลแกล้ง แต่ทว่าพ่อแม่ของเธอกลับภูมิใจที่เห็นลูกเป็นเช่นนั้น เธอพยายามจะเป็นผู้ชายแต่เหมือนว่ายิ่งทำก็ยิ่งฟืนในจิตใจของตนเอง เธอตัดสินใจหันมาเปลี่ยนมุมมองและสนใจลักษณะของเพศที่ 3 แต่ก็ดูเหมือนไม่ใช่ทางของเธอเพราะเธอบอกตัวเองเสมอว่าเธอภูมิใจในความเป็นผู้หญิงในตัว ซึ่งเมื่อเธออายุได้ 18 ปี เธอจึงตัดสินใจผ่าตัดแปลงเพศ จนกระทั่งจุดเปลี่ยนในชีวิตเธอเกิดขึ้นอีกครั้ง
                 ในปี 2547 มีสาวประเภทสองมาถามเธอว่าเธอเป็นผู้หญิงหรือเป็นสาวประเภทสอง เพราะจะได้พาเธอไปประกวดนางสาวไทยหรือประกวดมิสทิฟฟา ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เธอต้องยอมรับและบอกกับตัวเองว่าจริงๆแล้วเธอเป็นสาวประเภทสอง และได้เข้าประกวดมิสทิฟฟานี่ยูนิเวิร์ส จนได้รับตำแหน่งชนะเลิศในขณะที่อายุเพียง 18 ปี และได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าประกวดมิสอินเตอร์เนชั่นแนลควีนในโรงละครทิฟฟานี่ พัทยา จนได้รับตำแหน่งชนะเลิศ ด้วยความสวยและความสามารถของเธอ ทำให้เธอมีโอกาสรับงานในวงการบันเทิงมากมาย ทั้งงานถ่ายแบบ งานแสดงมิวสิกวิดีโอ ละคร และภาพยนตร์ อีกทั้งเธอยังได้รับรางวัล The Nine Fever Awards ครั้งที่ 1 สาขา Miss Queen Fever สาวประเภทสองที่ได้รับความนิยม อีกด้วย 
แต่ทว่างานบันเทิงในประเทศไทยนั้นก็เหมือนจะไม่รองรับเพศสภาพของเธอเท่าไหร่นัก เพราะบทบาทงานแสดงที่เธอได้รับก็ไม่สามารถส่งเธอให้เป็นดาราที่มีชื่อเสียงได้อย่างที่ควรจะเป็น จนกระทั้งในปี พ.ศ. 2556 เธอได้รับโอกาสครั้งสำคัญในการเล่นภาพยนตร์ฮ่องกงเรื่อง The White Storm โดยร่วมงานกับนักแสดงที่มีชื่อเสียง เช่น จาง เจียฮุย, กู่ เทียนเล่อ และ หลิว ชิงหวิน หลังจากนั้นเธอก็เซ็นสัญญากับบริษัท ยูนิเวิร์ส อาร์ทิสต์ เมเนจเมนต์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์ในฮ่องกง โดยเริ่มเซ็นสัญญาระยะเวลา 5 ปี และหลังครบสัญญาเธอก็ได้รับการต่อสัญญาอีก 10 ปี มีผลงานภาพยนตร์มากมาย อาทิ From Vegas to Macau II, ดาบตัดวายุ โดยเธอเปิดเผยว่า ภูมิใจที่เป็นสาวข้ามเพศ เพราะหากไม่มีจุดเด่นตรงนี้ เธออาจไม่ได้มาถึงจุดนี้ก็ได้ 

                  การเป็นนักแสดงในฮ่องกง เธอต้องทำงานทุกวัน ทำได้ประมาณห้าปีก็เริ่มเบื่อ ไม่มีแพสชันกับงานด้านนี้แล้ว เริ่มติสต์ มีงานเข้ามาร้อยเปอร์เซ็นต์ รับแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ เธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตอีกครั้ง เธอหันกลับมาเริ่มศึกษางานด้านวิทยาศาสตร์ในเชิงลึกมากขึ้น ซึ่งก็อย่างที่ทราบว่าเธอนั้นชื่นชอบมาตั้งแต่วิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็ก เธอสามารถคิดไอเดียและวิจัยผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อนำไปเสนอ อย. และสามารถก่อตั้งธุรกิจของตัวเองได้ในที่สุด ซึ่งปัจจุบันเธอเป็นผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท BIOMT (บริษัท ไบโอฟาร์มาเทค จำกัด และบริษัท ไบโอฟาร์มา แปซิฟิก จำกัด) รับผลิตวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาตรฐาน GMP ที่ใช้เทคโนโลยีระดับโมเลกุลและแล็บสุดล้ำ ซึ่งรับวิจัย Biotechnology ด้วย ซึ่งตอนนี้นอกเหนือจากงานธุรกิจของเธอแล้ว เธอก็ยังรับงานแสดงอยู่บ้างแต่ต้องไม่กระทบกับธุรกิจของเธอ และที่สำคัญเธอยังไปเรียนต่อเพื่อเพิ่มความรู้ให้กับตัวเอง โดย เรียนจบคอร์สภาควิชาประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience) ของมหาวิทยาลัยมหิดล และพันธุกรรมศาสตร์ (Molecular Genetics) คณะวิศวกรรมศาสตร์ อีกด้วย โดยเป็นการเรียนสะสมหน่วยกิต เพื่อไปเรียนปริญญาโท ของมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเธอมองว่า การตัดต่อพันธุกรรมเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆและเธอมีความใฝ่ฝันว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้เป็นโลกที่ดีขึ้น

                 ด้านความรักเธอเคยให้สัมภาษณ์รายการ Perspective ว่าเธอเคยมีความรักตั้งแต่ ม.6 ซึ่งตอนนั้นก็เป็นความรักที่สวยงามแต่ทว่าพ่อแม่ของฝ่ายชายกลับไม่คิดเช่นนั้น สุดท้ายพ่อและแม่ของฝ่ายชายจึงต้องมาบอกพ่อและแม่ของเธอให้เลิกคบกับลูกชายของตน ซึ่งทั้งคู่ก็เสียใจมากแต่ก็ต้องยอมจบความสัมพันธ์ลง และในปี 2566 ปอย ก็ได้ขอพิธีแต่งงานกับ โอ๊ค ภควา หงษ์หยก" ดีกรีนักธุรกิจและเป็นทายาท "บ้านอาจ้อ ซึ่งความรักครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อทั้งคู่พบกันอีกครั้งหน้ารูปปั้นพระพิฆเนศ ณ บ้านอาจ้อ โดยทั้งคู่ต่างบังเอิญมาขอพรในเรื่องความรัก ทั้งสองได้เข้าพิธีแต่งงานบาบ๋า ตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ชาวภูเก็ต เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2566 ก่อนจัดงานฉลองมงคลสมรสในวันที่ 3 มีนาคม ภายใต้บรรยากาศสุดคลาสสิก

                เป็นอย่างไรบ้างครับ กับชีวิตของเธอคนนี้ ปอย ตรีชฎา ผู้ชายที่สวยที่สุดในโลก ผู้ที่ไม่คิดหนีความเป็นตัวตนของตัวเอง เธอแสดงให้เห็นว่าการยอมรับในตัวเองและการยอมรับในความแตกต่างคือสิ่งที่สำคัญ และการที่เราได้รู้จักตัวเองนั้นแหละ คือสิ่งที่จะทำให้เราได้คันพบเจอศักยภาพในตัว 

                สุดท้ายนี้หากท่านต้องการรับชมเนื้อหาทั้งภาพและเสียง สามารถเข้าไปรับชมไปที่ช่อง youtube : letsgettoknowher  เพื่อเป็นกำลังใจให้เราได้นำเสนอสิ่งดีๆแบบนี้ต่อไป......ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่