วันนี้ขออนุญาตนำงานเขียนเกี่ยวกับหนังเรื่อง ใจจำลอง ของ
กษาปณ์ หาญดิฐกุล และ ‘กัลปพฤกษ์’ มาให้ท่านได้ลองอ่าน
ผมว่ามันน่าสนใจมากทีเดียว
สำหรับผมตอนนี้ กำลังหลงใหลใบปิดและภาพประกอบหนังอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
คืออินกับภาพมากกว่าเรื่องราวต่างๆ
เชิญติดตามผลงานเขียนของ กษาปณ์ หาญดิฐกุล และ ‘กัลปพฤกษ์’ ได้เลยครับ

ใจจำลอง แม้อดีตจะผ่านไปนานเพียงใด แต่ ‘ความทรงจำ’ จะทิ่มแทงผู้คนในปัจจุบันเสมอ
โดย กษาปณ์ หาญดิฐกุล
29.06.2022
ใจจำลอง (Come Here) ภาพยนตร์ทดลองเรื่องล่าสุดของ ใหม่-อโนชา สุวิชากรพงศ์ ผู้กำกับหญิงชาวไทยที่เคยพา ดาวคะนอง (2016) ชนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 26 จากการที่ตัวภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องที่แตกแขนงกัน แต่มีจุดร่วมคือการสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2519 หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘เหตุการณ์ 6 ตุลา’
และในคราวนี้ ใหม่ อโนชา กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการทดลองใหม่ ที่เธอรวบรวมเอาความทรงจำจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยประสบพบเจอมาในชีวิต ออกมาถ่ายทอดและเล่าสู่กันฟังผ่านตัวละครที่เธอรู้สึกสนใจ โดยได้ ศรภัทร ภัทราคร, ภูมิภัทร ถาวรศิริ, สิราษฎร์ อินทรโชติ, อภิญญา สกุลเจริญสุข และ เววิรี อิทธิอนันต์กุล มาร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราวความทรงจำเหล่านั้นให้กับผู้ชมได้รับชม
โดยภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนนักแสดงละครเวที 4 คนที่ไปพักผ่อนกันที่บ้านพักริมน้ำในจังหวัดกาญจนบุรี สถานที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง ทางรถไฟสายมรณะ ที่สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ในขณะเดียวกันภาพยนตร์ก็บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวที่วิ่งหลงทางอยู่ในป่า หลังตามหาเพื่อนที่หายตัวไป แล้วทั้งสองเหตุการณ์นี้ก็อาจจะบอกเล่าเชื่อมโยงเข้ากับมุมมองทางประวัติศาสตร์อันแสนเจ็บปวดในอดีต
ภาพยนตร์ของอโนชายังคงแนวทางเดิมของเธออย่างการเล่าเรื่องที่สอดแทรกประเด็นทางการเมืองผ่านท้องเรื่องและพื้นหลังของภาพยนตร์ แต่เพียงคราวนี้มันถูกถ่ายทอดและเล่าออกมาในรูปแบบของ ‘ช่วงเวลา’ และ ‘ความทรงจำ’ ที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับความรักในประเทศไทยร่วมสมัย เมื่อแนวคิดเรื่องความรักกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ความรักถูกนำไปยึดโยงกับประเทศชาติจนแยกขาดจากกันไม่ได้ แรงกดดันทางสังคมทำให้การจะรักตัวเอง ครอบครัว และเพื่อนฝูง ไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะแนวคิดของความรักถูกนำไปใช้อธิบายความสัมพันธ์แบบเคารพต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือส่วนสำคัญที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการที่จะนำเสนอให้กับผู้ชมได้ขบคิดและตั้งคำถาม

แต่ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่อาจทำให้สิ่งที่เหล่านั้นไม่สามารถส่งต่อไปสู่ผู้ชมได้ ก็คือวิธีการนำเสนอเนื้อหาของอโนชาที่เลือกที่จะนำเสนอสิ่งเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของ ‘จิ๊กซอว์’ ที่กระจัดกระจายให้ผู้ชมเป็นคนปะติดปะต่อเรื่องราวเหล่านั้นกันเอาเองโดยปราศจากคู่มือและความช่วยเหลือใดๆ ส่วนหน้าตาของจิ๊กซอว์ตอนประกอบเสร็จจะออกมาเป็นแบบไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ชมที่เป็นคนต่อเช่นกัน
ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งมันก็อาจจะเหมือนเรื่องราวของเราทุกคน ที่เวลาเราเล่าเรื่องราวต่างๆ ออกมา มันเป็นเรื่องของเรา แต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่ เพราะคนจะมองและตัดสินสิ่งที่เราเล่าออกมาอย่างไรนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ที่รับฟังอยู่ดี ก็คงเฉกเช่นเดียวกับวีธีการนำเสนอของอโนชาที่เล่าเรื่องราวของเธอผ่านตัวละครและสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ผู้ชมได้เป็นคนตัดสินเรื่องราวเหล่านั้นด้วยตาของตัวเอง ซึ่งหากมองในมุมนี้ก็อาจจะพอคิดได้ว่าวิธีการนำเสนอของอโนชานั้นดูสมเหตุสมผลและมีนัยมากขึ้น

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยความที่ ใจจำลอง ไม่มีบทภาพยนตร์ที่ชัดเจน (ผู้กำกับเคยกล่าวเอาไว้) มันก็อาจส่งผลให้ผู้ชมบางส่วนไม่สามารถจับต้นชนปลายในสิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะนำเสนอได้ จนอาจถึงขั้นพานเกลียดภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเลย และด้วยความยาวเพียงแค่ 69 นาที ก็อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่สมบูรณ์ และขาดองค์ประกอบต่างๆ ไปพอสมควร
แต่หากเราได้รับชม ใจจำลอง แล้ว เราก็อาจจะพออนุมานได้ว่า อโนชาไม่ได้ต้องการให้ผลงานเรื่องล่าสุดของเธอกลายเป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่เล่นเนื้อหาอะไรเกินตัว เธอเพียงแค่ต้องการให้ ใจจำลอง เป็นภาพยนตร์ที่มีความเรียบง่าย ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ใฝ่สูงและทะเยอทะยานเหมือนงานชิ้นก่อนๆ อย่าง เจ้านกกระจอก (2009) หรือ ดาวคะนอง (2016)
สำหรับ ใจจำลอง บางทีอโนชาอาจเพียงแค่อยากให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเหมือนโลกเล็กๆ ใบหนึ่งที่เธอสามารถเอาไว้ใช้เล่าเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต และเล่นเกมปะติดต่อปะต่อสิ่งเหล่านั้นกับผู้ชมเท่านั้นเอง ซึ่งนักแสดงก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นออกมาได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะมีบางส่วนที่ดูมีปัญหาติดขัดอยู่บ้าง โดยเฉพาะการเล่นใหญ่เกินเบอร์ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเห็นถึงความหมายของการกระทำเหล่านั้นสักเท่าไร หากเปรียบเทียบกับสารตั้งต้นของภาพยนตร์อย่างการที่ตัวละครเป็นนักแสดงละครเวทีแล้ว การแสดงแบบเล่นใหญ่คงไม่ได้ผิดอะไรเลย มันออกจะถูกต้องเสียด้วยซ้ำ เพราะละครเวทีมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘มุมกล้อง’ การเล่นให้ ‘มาก’ เพื่อขับอารมณ์ออกมาให้ดูเกินจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารมวลอารมณ์ของตัวละครให้แก่ผู้ชมในวงกว้าง เพียงแต่การกระทำเหล่านั้นมันผิดวิสัยของการแสดงภาพยนตร์โดยทั่วไปที่ต้องเล่นให้ ‘น้อย’ กว่าละครเวที เพราะเวลาที่ภาพและการแสดงเหล่านั้นถูกขยายขึ้นบนจอใหญ่ ความล้นทะลักทางการแสดงของพวกเขาทุกคนจะถูกมองเห็นโดยผู้ชมได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อมันปราศจากความหมายใดๆ ทำให้ส่วนที่ดีที่สุดอย่างนักแสดงที่ควรเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละครทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ถึงกระนั้นภาพยนตร์ก็ยังมีงานภาพและเสียงที่ยังคงพอจะเป็นเสาหลักคอยค้ำยันให้ผู้ชมมีความตื่นเต้นลุ้นละทึกไปกับเรื่องราวความสัมพันธ์ของพวกเขาได้

อีกสิ่งหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือความแอ็บสแตรกต์ของภาพยนตร์ ที่สามารถเป็นทั้งเครื่องมือที่ดึงดูดผู้ชมและขับไล่ผู้ชมในเวลาเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ภาพยนตร์เลือกที่จะใช้ภาพขาวดำในการสื่อสารและเสริมอารมณ์เรื่องราวให้กับผู้ชม ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในบททดสอบสำคัญสำหรับผู้ชมพอสมควร แต่ถึงกระนั้นภาพยนตร์ก็มีความชัดเจนในโครงสร้าง และเนื้อหาที่ยากเกินกว่าจะปฏิเสธแนวทางของมันได้
จากทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา หากเรามองในมุมกลับกัน คำว่า ‘จำลอง’ หมายถึงการปั้นแต่งสิ่งต่างๆ ขึ้นมา และบางทีความรู้สึกของเรานั้นก็อาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จงใจปั้นแต่งขึ้นเพื่อจำลองความรู้สึกของผู้ที่ได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นได้
ในภาพรวมแล้วแม้ ใจจำลอง จะไม่ใช่ผลงานการทดลองที่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรของอโนชา แต่มันก็เป็นเหมือนใบเบิกทางให้เธอได้มีโอกาสทำงานประเภทนี้ให้กับผู้ชมได้รับชมมากยิ่งขึ้น และเมื่อถึงเวลานั้นผู้ชมอาจจะต้องตัดสินงานของเธออีกครั้งหนึ่งด้วยตาคู่นี้ของตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้ง ดาวคะนอง
‘ใครกันล่ะที่เป็นเจ้าของเรื่อง ใครกันล่ะที่เป็นเจ้าของพื้นที่ในภาพยนตร์ เรากำลังจำลองใจของใครอยู่ บางครั้งคำว่า ‘เจ้าของ’ อาจจะเป็นเราทุกคนในที่นี้ หรือบางทีคำคำนั้นอาจจะไม่มีอยู่จริงมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้’
‘ใจจำลอง’ พี่ต้องคอยร่ำร้อง เพราะน้องไม่เคยจริงใจ
‘กัลปพฤกษ์’ 22 Jun 2022
จะว่าไป ปี 2021 ก็นับเป็นปีที่คึกคักในแวดวงเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติสำหรับผลงานหนังของผู้กำกับไทยอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เริ่มตั้งแต่ต้นปีที่หนังเรื่อง One for the Road (2021) ของผู้กำกับ บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ได้ฉายประกวดในสายหนังนานาชาติที่เทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ ถัดมาเทศกาลหนังร็อตเตอร์ดัมก็เชิญให้ ‘พญาโศก พิโยคค่ำ’ (2021) โดยผู้กำกับ ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ ร่วมประกวด ส่วนเทศกาลภาพยนตร์เมืองเบอร์ลินก็มีทั้ง ‘ใจจำลอง’ (2021) ของ อโนชา สุวิชากรพงศ์ และ ‘พลอย’ (2021) ของ ประพัทธ์ จิวะรังสรรค์ ฉายโชว์ในสาย Forum สำหรับหนังที่มีน้ำเสียงทดลองแปลกใหม่ ไปที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ หนังเรื่อง memoria (2021) ของผู้กำกับ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ก็ได้เข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำ และได้รับรางวัล Jury Prize ไล่มาถึงเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิส ‘เวลา’ (2021) โดย จักรวาล นิลธำรงค์ ก็ได้ประกวดในสาย Orizzonti ปิดท้ายด้วยสารคดีเรื่อง ‘มรณสติ’ ของสองผู้กำกับ ธัญสก พันสิทธิวรกุล และ พัศรวินทน์ กุลสมบูรณ์ ก็ได้เข้าประกวดที่เทศกาล Doclisboa ประเทศโปรตุเกสด้วย สิ่งเหล่านี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของทั้งรูปแบบและเนื้อหาของบรรดาผู้กำกับหนังสัญชาติไทย ซึ่งแต่ละเรื่องจะถูกจริตตรงใจผู้ชมแต่ละรายหรือไม่ก็คงต้องติดตามชมแล้วมาวิพากษ์วิจารณ์กัน
ในขณะที่หนังเรื่องอื่นๆ มีโอกาสได้ลงโรงฉายในบ้านเราจนเกือบหมดแล้ว ‘ใจจำลอง’ หรือ Come Here ของ อโนชา สุวิชากรพงศ์ กลับเพิ่งจะมีโอกาสได้ออกฉายในวงจำกัดให้คอหนังชาวไทยได้พิสูจน์กันก็ล่วงเข้ากลางปี 2022 ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะ ‘ใจจำลอง’ เป็นเพียงหนังเล็กๆ ความยาวกระชับเพียง 68 นาที ที่เล่าด้วยน้ำเสียงส่วนตัว มิใช่หนังฟอร์มใหญ่ที่เล่นประเด็นเนื้อหาเกินตัวอะไร ทั้งยังมีความเรื่อยๆ ง่ายๆ ไม่ใฝ่สูงทะเยอทะยานเหมือนงานชิ้นก่อนๆ อย่าง ‘เจ้านกกระจอก’ (2009) หรือ ‘ดาวคะนอง’ (2016) เสียด้วยซ้ำ
ถ้าพอจะเคยติดตาม ก็คงทราบว่า ‘กัลปพฤกษ์’ ไม่ถูกจริตกับผลงานของ อโนชา สุวิชากรพงศ์ อย่างแรง โดยเฉพาะสองเรื่องที่กล่าวไป ค่าที่มีความรู้สึกว่าผู้กำกับช่างอหังการหาญเล่าในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้มีความเข้าใจ ไม่เคยคิดจะพัฒนาเนื้อหาที่บันดาลใจ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ล้ำลึกระหว่างมนุษย์เพศชายใน ‘เจ้านกกระจอก’ และเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ใน ‘ดาวคะนอง’ แล้วใช้เทคนิคหนังสารพัดสารพัน ตัดต่อข้ามเวลาไปมา ไพล่พาคนดูไปเอ้อระเหยเยี่ยมชมสิ่งอื่นๆ เพื่อกลบความกลวงโบ๋ของตัวเรื่องด้วยอาการฟุ้งซ่านติสต์แตก เหมือนมีอาการ Crystallophobia syndrome หวาดกลัวการเล่าด้วยวิธีตรงๆ ง่ายๆ ถ้าคนดูคิดตามทันแล้วจะกลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย จนไม่เคยได้สาระใจความใดๆ ในการดูผลงานหนังของ อโนชา สุวิชากรพงศ์ มาก่อนเลย

กระทั่งมาถึงงานกำกับร่วมกับผู้กำกับ เบน ริเวอร์ส (Ben Rivers) ชื่อ ‘กระบี่ 2562’ (2019) ที่พอจะซาบซึ้งไปกับความครุ่นคิดคำนึงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พื้นที่ที่ยังพอจะเห็นว่าโฟกัสได้อยู่ ไล่มาถึงผลงานใหม่ ‘ใจจำลอง’ ซึ่งต้องบอกเลยว่ารู้สึกดีกับหนังของ อโนชา สุวิชากรพงศ์ มากกว่าเดิมแบบมาก ๆ แม้จะไม่ได้ประทับใจไปกับสิ่งที่ผู้กำกับอยากนำเสนอ โดยข้อแตกต่างสำคัญใน ‘ใจจำลอง’ ก็คือ ผู้กำกับไม่ได้ดัดจริตที่จะทำตัวเป็น ‘นักเล่าเรื่อง’ อีกต่อไป หากกลับใช้หนังเรื่องนี้เป็นเหมือนกลเกมหมากกระดานฝ่าด่านถอดรหัสสัญลักษณ์ โดยผู้กำกับทำหน้าที่เป็นนางกวักชักชวนผู้ชมมานั่งล้อมวงร่วมเล่นเกมด้วยกันในฐานะเจ้ามือ “รู้หรือไม่ว่าตัวละครนี้ ฉากนี้ สิ่งนี้มีความหมายว่าอะไร ใครตอบได้เอาไปเลยข้อละสิบคะแนน!” ซึ่งพอใช้แผนการตลาดอีท่านี้ นักวิจารณ์ so-hard-to-please ขี้เก๊กอย่างเราก็จำต้องคำนึงถึงมรรยาท เขาชวนเราร่วมนั่งเล่นเกมดีๆ ก็น่าจะลองเสียเวลาสัก 68 นาที ดูสิว่ามันเป็นยังไง ชอบไม่ชอบก็ค่อยว่ากันไป แต่อย่างน้อยๆ เราก็จะได้เห็นว่า เออ! เขาสามารถทำหนังแนวทางแบบนี้ออกมาได้เหมือนกันนะ
********** ใจจำลอง ภาพยนตร์ทดลองเรื่องล่าสุดของ ใหม่-อโนชา สุวิชากรพงศ์ **********
กษาปณ์ หาญดิฐกุล และ ‘กัลปพฤกษ์’ มาให้ท่านได้ลองอ่าน
ผมว่ามันน่าสนใจมากทีเดียว
สำหรับผมตอนนี้ กำลังหลงใหลใบปิดและภาพประกอบหนังอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
คืออินกับภาพมากกว่าเรื่องราวต่างๆ
เชิญติดตามผลงานเขียนของ กษาปณ์ หาญดิฐกุล และ ‘กัลปพฤกษ์’ ได้เลยครับ
ใจจำลอง แม้อดีตจะผ่านไปนานเพียงใด แต่ ‘ความทรงจำ’ จะทิ่มแทงผู้คนในปัจจุบันเสมอ
โดย กษาปณ์ หาญดิฐกุล
29.06.2022
ใจจำลอง (Come Here) ภาพยนตร์ทดลองเรื่องล่าสุดของ ใหม่-อโนชา สุวิชากรพงศ์ ผู้กำกับหญิงชาวไทยที่เคยพา ดาวคะนอง (2016) ชนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 26 จากการที่ตัวภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องที่แตกแขนงกัน แต่มีจุดร่วมคือการสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2519 หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘เหตุการณ์ 6 ตุลา’
และในคราวนี้ ใหม่ อโนชา กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการทดลองใหม่ ที่เธอรวบรวมเอาความทรงจำจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยประสบพบเจอมาในชีวิต ออกมาถ่ายทอดและเล่าสู่กันฟังผ่านตัวละครที่เธอรู้สึกสนใจ โดยได้ ศรภัทร ภัทราคร, ภูมิภัทร ถาวรศิริ, สิราษฎร์ อินทรโชติ, อภิญญา สกุลเจริญสุข และ เววิรี อิทธิอนันต์กุล มาร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราวความทรงจำเหล่านั้นให้กับผู้ชมได้รับชม
โดยภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนนักแสดงละครเวที 4 คนที่ไปพักผ่อนกันที่บ้านพักริมน้ำในจังหวัดกาญจนบุรี สถานที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง ทางรถไฟสายมรณะ ที่สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ในขณะเดียวกันภาพยนตร์ก็บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวที่วิ่งหลงทางอยู่ในป่า หลังตามหาเพื่อนที่หายตัวไป แล้วทั้งสองเหตุการณ์นี้ก็อาจจะบอกเล่าเชื่อมโยงเข้ากับมุมมองทางประวัติศาสตร์อันแสนเจ็บปวดในอดีต
ภาพยนตร์ของอโนชายังคงแนวทางเดิมของเธออย่างการเล่าเรื่องที่สอดแทรกประเด็นทางการเมืองผ่านท้องเรื่องและพื้นหลังของภาพยนตร์ แต่เพียงคราวนี้มันถูกถ่ายทอดและเล่าออกมาในรูปแบบของ ‘ช่วงเวลา’ และ ‘ความทรงจำ’ ที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับความรักในประเทศไทยร่วมสมัย เมื่อแนวคิดเรื่องความรักกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ความรักถูกนำไปยึดโยงกับประเทศชาติจนแยกขาดจากกันไม่ได้ แรงกดดันทางสังคมทำให้การจะรักตัวเอง ครอบครัว และเพื่อนฝูง ไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะแนวคิดของความรักถูกนำไปใช้อธิบายความสัมพันธ์แบบเคารพต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือส่วนสำคัญที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการที่จะนำเสนอให้กับผู้ชมได้ขบคิดและตั้งคำถาม
แต่ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่อาจทำให้สิ่งที่เหล่านั้นไม่สามารถส่งต่อไปสู่ผู้ชมได้ ก็คือวิธีการนำเสนอเนื้อหาของอโนชาที่เลือกที่จะนำเสนอสิ่งเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของ ‘จิ๊กซอว์’ ที่กระจัดกระจายให้ผู้ชมเป็นคนปะติดปะต่อเรื่องราวเหล่านั้นกันเอาเองโดยปราศจากคู่มือและความช่วยเหลือใดๆ ส่วนหน้าตาของจิ๊กซอว์ตอนประกอบเสร็จจะออกมาเป็นแบบไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ชมที่เป็นคนต่อเช่นกัน
ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งมันก็อาจจะเหมือนเรื่องราวของเราทุกคน ที่เวลาเราเล่าเรื่องราวต่างๆ ออกมา มันเป็นเรื่องของเรา แต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่ เพราะคนจะมองและตัดสินสิ่งที่เราเล่าออกมาอย่างไรนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ที่รับฟังอยู่ดี ก็คงเฉกเช่นเดียวกับวีธีการนำเสนอของอโนชาที่เล่าเรื่องราวของเธอผ่านตัวละครและสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ผู้ชมได้เป็นคนตัดสินเรื่องราวเหล่านั้นด้วยตาของตัวเอง ซึ่งหากมองในมุมนี้ก็อาจจะพอคิดได้ว่าวิธีการนำเสนอของอโนชานั้นดูสมเหตุสมผลและมีนัยมากขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยความที่ ใจจำลอง ไม่มีบทภาพยนตร์ที่ชัดเจน (ผู้กำกับเคยกล่าวเอาไว้) มันก็อาจส่งผลให้ผู้ชมบางส่วนไม่สามารถจับต้นชนปลายในสิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะนำเสนอได้ จนอาจถึงขั้นพานเกลียดภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเลย และด้วยความยาวเพียงแค่ 69 นาที ก็อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่สมบูรณ์ และขาดองค์ประกอบต่างๆ ไปพอสมควร
แต่หากเราได้รับชม ใจจำลอง แล้ว เราก็อาจจะพออนุมานได้ว่า อโนชาไม่ได้ต้องการให้ผลงานเรื่องล่าสุดของเธอกลายเป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่เล่นเนื้อหาอะไรเกินตัว เธอเพียงแค่ต้องการให้ ใจจำลอง เป็นภาพยนตร์ที่มีความเรียบง่าย ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ใฝ่สูงและทะเยอทะยานเหมือนงานชิ้นก่อนๆ อย่าง เจ้านกกระจอก (2009) หรือ ดาวคะนอง (2016)
สำหรับ ใจจำลอง บางทีอโนชาอาจเพียงแค่อยากให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเหมือนโลกเล็กๆ ใบหนึ่งที่เธอสามารถเอาไว้ใช้เล่าเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต และเล่นเกมปะติดต่อปะต่อสิ่งเหล่านั้นกับผู้ชมเท่านั้นเอง ซึ่งนักแสดงก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นออกมาได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะมีบางส่วนที่ดูมีปัญหาติดขัดอยู่บ้าง โดยเฉพาะการเล่นใหญ่เกินเบอร์ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเห็นถึงความหมายของการกระทำเหล่านั้นสักเท่าไร หากเปรียบเทียบกับสารตั้งต้นของภาพยนตร์อย่างการที่ตัวละครเป็นนักแสดงละครเวทีแล้ว การแสดงแบบเล่นใหญ่คงไม่ได้ผิดอะไรเลย มันออกจะถูกต้องเสียด้วยซ้ำ เพราะละครเวทีมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘มุมกล้อง’ การเล่นให้ ‘มาก’ เพื่อขับอารมณ์ออกมาให้ดูเกินจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารมวลอารมณ์ของตัวละครให้แก่ผู้ชมในวงกว้าง เพียงแต่การกระทำเหล่านั้นมันผิดวิสัยของการแสดงภาพยนตร์โดยทั่วไปที่ต้องเล่นให้ ‘น้อย’ กว่าละครเวที เพราะเวลาที่ภาพและการแสดงเหล่านั้นถูกขยายขึ้นบนจอใหญ่ ความล้นทะลักทางการแสดงของพวกเขาทุกคนจะถูกมองเห็นโดยผู้ชมได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อมันปราศจากความหมายใดๆ ทำให้ส่วนที่ดีที่สุดอย่างนักแสดงที่ควรเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละครทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ถึงกระนั้นภาพยนตร์ก็ยังมีงานภาพและเสียงที่ยังคงพอจะเป็นเสาหลักคอยค้ำยันให้ผู้ชมมีความตื่นเต้นลุ้นละทึกไปกับเรื่องราวความสัมพันธ์ของพวกเขาได้
อีกสิ่งหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือความแอ็บสแตรกต์ของภาพยนตร์ ที่สามารถเป็นทั้งเครื่องมือที่ดึงดูดผู้ชมและขับไล่ผู้ชมในเวลาเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ภาพยนตร์เลือกที่จะใช้ภาพขาวดำในการสื่อสารและเสริมอารมณ์เรื่องราวให้กับผู้ชม ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในบททดสอบสำคัญสำหรับผู้ชมพอสมควร แต่ถึงกระนั้นภาพยนตร์ก็มีความชัดเจนในโครงสร้าง และเนื้อหาที่ยากเกินกว่าจะปฏิเสธแนวทางของมันได้
จากทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา หากเรามองในมุมกลับกัน คำว่า ‘จำลอง’ หมายถึงการปั้นแต่งสิ่งต่างๆ ขึ้นมา และบางทีความรู้สึกของเรานั้นก็อาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จงใจปั้นแต่งขึ้นเพื่อจำลองความรู้สึกของผู้ที่ได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นได้
ในภาพรวมแล้วแม้ ใจจำลอง จะไม่ใช่ผลงานการทดลองที่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรของอโนชา แต่มันก็เป็นเหมือนใบเบิกทางให้เธอได้มีโอกาสทำงานประเภทนี้ให้กับผู้ชมได้รับชมมากยิ่งขึ้น และเมื่อถึงเวลานั้นผู้ชมอาจจะต้องตัดสินงานของเธออีกครั้งหนึ่งด้วยตาคู่นี้ของตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้ง ดาวคะนอง
‘ใครกันล่ะที่เป็นเจ้าของเรื่อง ใครกันล่ะที่เป็นเจ้าของพื้นที่ในภาพยนตร์ เรากำลังจำลองใจของใครอยู่ บางครั้งคำว่า ‘เจ้าของ’ อาจจะเป็นเราทุกคนในที่นี้ หรือบางทีคำคำนั้นอาจจะไม่มีอยู่จริงมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้’
‘ใจจำลอง’ พี่ต้องคอยร่ำร้อง เพราะน้องไม่เคยจริงใจ
‘กัลปพฤกษ์’ 22 Jun 2022
จะว่าไป ปี 2021 ก็นับเป็นปีที่คึกคักในแวดวงเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติสำหรับผลงานหนังของผู้กำกับไทยอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เริ่มตั้งแต่ต้นปีที่หนังเรื่อง One for the Road (2021) ของผู้กำกับ บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ได้ฉายประกวดในสายหนังนานาชาติที่เทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ ถัดมาเทศกาลหนังร็อตเตอร์ดัมก็เชิญให้ ‘พญาโศก พิโยคค่ำ’ (2021) โดยผู้กำกับ ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ ร่วมประกวด ส่วนเทศกาลภาพยนตร์เมืองเบอร์ลินก็มีทั้ง ‘ใจจำลอง’ (2021) ของ อโนชา สุวิชากรพงศ์ และ ‘พลอย’ (2021) ของ ประพัทธ์ จิวะรังสรรค์ ฉายโชว์ในสาย Forum สำหรับหนังที่มีน้ำเสียงทดลองแปลกใหม่ ไปที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ หนังเรื่อง memoria (2021) ของผู้กำกับ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ก็ได้เข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำ และได้รับรางวัล Jury Prize ไล่มาถึงเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิส ‘เวลา’ (2021) โดย จักรวาล นิลธำรงค์ ก็ได้ประกวดในสาย Orizzonti ปิดท้ายด้วยสารคดีเรื่อง ‘มรณสติ’ ของสองผู้กำกับ ธัญสก พันสิทธิวรกุล และ พัศรวินทน์ กุลสมบูรณ์ ก็ได้เข้าประกวดที่เทศกาล Doclisboa ประเทศโปรตุเกสด้วย สิ่งเหล่านี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของทั้งรูปแบบและเนื้อหาของบรรดาผู้กำกับหนังสัญชาติไทย ซึ่งแต่ละเรื่องจะถูกจริตตรงใจผู้ชมแต่ละรายหรือไม่ก็คงต้องติดตามชมแล้วมาวิพากษ์วิจารณ์กัน
ในขณะที่หนังเรื่องอื่นๆ มีโอกาสได้ลงโรงฉายในบ้านเราจนเกือบหมดแล้ว ‘ใจจำลอง’ หรือ Come Here ของ อโนชา สุวิชากรพงศ์ กลับเพิ่งจะมีโอกาสได้ออกฉายในวงจำกัดให้คอหนังชาวไทยได้พิสูจน์กันก็ล่วงเข้ากลางปี 2022 ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะ ‘ใจจำลอง’ เป็นเพียงหนังเล็กๆ ความยาวกระชับเพียง 68 นาที ที่เล่าด้วยน้ำเสียงส่วนตัว มิใช่หนังฟอร์มใหญ่ที่เล่นประเด็นเนื้อหาเกินตัวอะไร ทั้งยังมีความเรื่อยๆ ง่ายๆ ไม่ใฝ่สูงทะเยอทะยานเหมือนงานชิ้นก่อนๆ อย่าง ‘เจ้านกกระจอก’ (2009) หรือ ‘ดาวคะนอง’ (2016) เสียด้วยซ้ำ
ถ้าพอจะเคยติดตาม ก็คงทราบว่า ‘กัลปพฤกษ์’ ไม่ถูกจริตกับผลงานของ อโนชา สุวิชากรพงศ์ อย่างแรง โดยเฉพาะสองเรื่องที่กล่าวไป ค่าที่มีความรู้สึกว่าผู้กำกับช่างอหังการหาญเล่าในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้มีความเข้าใจ ไม่เคยคิดจะพัฒนาเนื้อหาที่บันดาลใจ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ล้ำลึกระหว่างมนุษย์เพศชายใน ‘เจ้านกกระจอก’ และเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ใน ‘ดาวคะนอง’ แล้วใช้เทคนิคหนังสารพัดสารพัน ตัดต่อข้ามเวลาไปมา ไพล่พาคนดูไปเอ้อระเหยเยี่ยมชมสิ่งอื่นๆ เพื่อกลบความกลวงโบ๋ของตัวเรื่องด้วยอาการฟุ้งซ่านติสต์แตก เหมือนมีอาการ Crystallophobia syndrome หวาดกลัวการเล่าด้วยวิธีตรงๆ ง่ายๆ ถ้าคนดูคิดตามทันแล้วจะกลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย จนไม่เคยได้สาระใจความใดๆ ในการดูผลงานหนังของ อโนชา สุวิชากรพงศ์ มาก่อนเลย
กระทั่งมาถึงงานกำกับร่วมกับผู้กำกับ เบน ริเวอร์ส (Ben Rivers) ชื่อ ‘กระบี่ 2562’ (2019) ที่พอจะซาบซึ้งไปกับความครุ่นคิดคำนึงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พื้นที่ที่ยังพอจะเห็นว่าโฟกัสได้อยู่ ไล่มาถึงผลงานใหม่ ‘ใจจำลอง’ ซึ่งต้องบอกเลยว่ารู้สึกดีกับหนังของ อโนชา สุวิชากรพงศ์ มากกว่าเดิมแบบมาก ๆ แม้จะไม่ได้ประทับใจไปกับสิ่งที่ผู้กำกับอยากนำเสนอ โดยข้อแตกต่างสำคัญใน ‘ใจจำลอง’ ก็คือ ผู้กำกับไม่ได้ดัดจริตที่จะทำตัวเป็น ‘นักเล่าเรื่อง’ อีกต่อไป หากกลับใช้หนังเรื่องนี้เป็นเหมือนกลเกมหมากกระดานฝ่าด่านถอดรหัสสัญลักษณ์ โดยผู้กำกับทำหน้าที่เป็นนางกวักชักชวนผู้ชมมานั่งล้อมวงร่วมเล่นเกมด้วยกันในฐานะเจ้ามือ “รู้หรือไม่ว่าตัวละครนี้ ฉากนี้ สิ่งนี้มีความหมายว่าอะไร ใครตอบได้เอาไปเลยข้อละสิบคะแนน!” ซึ่งพอใช้แผนการตลาดอีท่านี้ นักวิจารณ์ so-hard-to-please ขี้เก๊กอย่างเราก็จำต้องคำนึงถึงมรรยาท เขาชวนเราร่วมนั่งเล่นเกมดีๆ ก็น่าจะลองเสียเวลาสัก 68 นาที ดูสิว่ามันเป็นยังไง ชอบไม่ชอบก็ค่อยว่ากันไป แต่อย่างน้อยๆ เราก็จะได้เห็นว่า เออ! เขาสามารถทำหนังแนวทางแบบนี้ออกมาได้เหมือนกันนะ