ก้าวไกลพอใจฝ่ายค้านชำแหละงบฯ 68 มั่นใจ ปชช.ไม่ผิดหวัง
https://tna.mcot.net/politics-1381010
รัฐสภา 20 มิ.ย.- ก้าวไกล พอใจภาพรวมฝ่ายค้านชำแหละงบฯ ปี68 ปัดเน้นใช้แต่วาทกรรมการเมือง จี้รัฐบาลต้องโฟกัสเนื้อหา มั่นใจประชาชนไม่ผิดหวังการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน
นาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีที่มีการมองกันว่าการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ในครั้งนี้ ดูเงียบเหงาไม่ดุเดือดเหมือนที่ผ่านมานั้น ตนคิดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึก แต่เน้นเป็นเรื่องของเนื้อหาสาระมากกว่า อยากให้ติดตามการอภิปรายที่เหลืออยู่ทั้ง 2 วัน ซึ่งหลายคนได้บอกไปแล้วว่า หากไม่มีการปฏิรูปกระบวนการงบประมาณใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดขึ้นมาบริหารประเทศ ก็ยังมีความเสี่ยงที่หน้าตางบประมาณจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิม อย่างที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้กล่าวไปแล้วว่า เหมือนรัฐบาลชุดนี้จะพุ่งเป้าไปที่นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตอย่างเดียว ทั้งที่แถลงนโยบายไว้กับสภาถึง 142 ข้อ เราก็อยากเห็นการจัดสรรงบที่ให้ความสำคัญด้านอื่นด้วย
ส่วนพอใจภาพรวมการอภิปรายของฝ่ายค้านหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งหลายคนก็อภิปรายเนื้อหาสาระดี โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล จะเป็นผู้อภิปรายสรุปร่างพ.ร.บ.งบฯ ปี68 ขณะที่การอภิปรายวันนี้ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล จะอภิปรายเรื่องการศึกษา และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายในหมวดความมั่นคง ก็อยากขอให้ติดตามการอภิปรายที่เหลืออีก 2 วัน
สำหรับการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านในครั้งนี้ ประชาชนจะไม่ผิดหวังใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่ผิดหวังแน่นอน ยืนยันว่าการอภิปรายของพรรคก้าวไกล มีข้อมูลและข้อเท็จจริง ส่วนเรื่องที่มีการใช้วาทกรรมการเมือง อภิปรายเสียดสีหรือเหน็บแนม ตนคิดว่ารัฐบาลต้องโฟกัสในตัวเนื้อหา ซึ่งยอมรับว่าการอภิปรายมีสีสัน แต่เราไม่ได้เน้นวาทะกรรมเป็นเนื้อหาหลัก จึงอยากให้รัฐบาลตั้งใจฟังสาระ แล้วไปปรับปรุงกระบวนการทำงานของตัวเอง.-319 -สำนักข่าวไทย
“อ.เดชา”ไม่ทนจวกรัฐบาลแจกเงินหมื่น ลั่นถ้าทำแล้วบ้านเมืองเสียหายควรหยุด
https://www.dailynews.co.th/news/3554306/
“อ.เดชา”ขอแสดงความเห็นในฐานะผู้เสียภาษี ถึงนายกฯปมแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ลั่น ถ้าทำแล้วบ้านเมืองเสียหายก็ควรหยุด ควรเดินไปต่อหาหนทางอื่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ทนาย
เดชา กิตติวิทยานันท์ เจ้าของเพจทนายคลายทุกข์ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ทนายคลายทุกข์
#บทวิเคราะห์การเมืองจากทนายคลายทุกข์ ผมได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับคำพูดของหัวหน้าพรรคก้าวไกลในการอภิปรายงบประมาณเมื่อวานนี้
“เจ๊งไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้”
โดยวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทให้กับประชาชนของรัฐบาลเพื่อไทย
ซึ่งมีการคิดมาอย่างไม่รอบคอบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายรูปแบบหลายเงื่อนไขไม่เหมือนกับที่ตอนหาเสียงแสดงให้เห็นถึงความมักง่าย
ในการทำนโยบายไม่ได้คำนึงถึงความหายนะทางเศรษฐกิจหรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทำอย่างเดียวเพื่อรักษาคะแนนเสียงและคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ผมตีความเอาอย่างนั้นนะเพราะฟังแล้วเข้าใจว่าอย่างนั้นถึงแม้ปัจจุบันรัฐบาลยังมีสถานภาพทางการเงินที่ง่อนแง่น
แต่ก็พยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อจะแจกเงินเพื่อรักษาหน้าตาของพรรคและรักษาฐานคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติคำว่าเจ๊งไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้จึงเป็นคำที่ตรงประเด็นที่สุดครับ
ผมแสดงความคิดเห็นในฐานะที่ผมเป็นคนเสียภาษีนะครับ เพราะว่าคุณเป็นนายกของประชาชนมีหน้าที่เป็นตัวแทนให้กับประชาชนในการบริหารประเทศ
คุณต้องนึกถึงความ-ิบหายของประเทศด้วย ถ้าทำไปแล้วบ้านเมือง-ิบหาย ก็ควรหยุดไม่ควรเดินไปต่อหาหนทางอื่นวิธีการอื่นในการพัฒนาประเทศหรือกระตุ้นเศรษฐกิจนะครับ
https://www.facebook.com/dechalaw/posts/pfbid02QEGHys29G4pdDu1T5cbhnXzaqbDcgZQgEotH3wHtqTGqd9sRSmEgQQD9mhfwkTMal
https://www.facebook.com/dechalaw/posts/pfbid02QEGHys29G4pdDu1T5cbhnXzaqbDcgZQgEotH3wHtqTGqd9sRSmEgQQD9mhfwkTMal?comment_id=3640510206278368
อสังหาแบกสต๊อกพุ่ง 1.3 ล้านล้าน เปิด 10 ทำเลอันตราย ‘บ้าน-คอนโด’ เหลือขายบาน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4637890
อสังหาแบกสต๊อกพุ่ง 1.3 ล้านล้าน เปิด 10 ทำเลอันตราย ‘บ้าน-คอนโด’ เหลือขายบาน
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน นาย
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เปิดเผยว่าผลจากการสำรวจภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งโครงการแนวราบและอาคารชุดในกรุงเทพฯและ 5 จังหวัดปริมณฑล ในไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่าหลังจากที่ได้ผ่านไตรมาส 1 ตัวเลขภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศและเครื่องชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นไปในทิศทางชะลอตัวลง คาดว่า ภาพรวมทั้งปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้ามาสู่ตลาด 103,930 หน่วย มูลค่ารวม 637,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0และร้อยละ 7.0 ตามลำดับ ซึ่งแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 51,369 หน่วย มูลค่า 420,635 ล้านบาทและโครงการอาคารชุด จำนวน 52,561 หน่วย มูลค่า 217,271 ล้านบาท
ด้านยอดขายได้ใหม่คาดว่าจะมีจำนวน 67,696 หน่วย มูลค่า 342,299 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 8.4และร้อยละ 1.2 ตามลำดับ แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 37,883 หน่วย มูลค่า 238,919 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 29,813 หน่วย มูลค่า 103,380 ล้านบาท โดยอัตราดูดซับโดยรวมของตลาดจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ทั้งประเภทโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด
ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยเหลือขายมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 246,280หน่วย มูลค่า 1,393,395 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ17.3 และร้อยละ 18.6 ตามลำดับ ซึ่งแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 139,984 หน่วย มูลค่าโครงการ 914,136ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 106,296 หน่วย มูลค่าโครงการ 479,259 ล้านบาท
สำหรับสถานการณ์ตลาดบ้านแนวราบในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในไตรมาส 1 ปี 2567 มีหน่วยเสนอขายทั้งสิ้น 137,483หน่วย มูลค่า 910,268 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนยอดขายได้ใหม่มีจำนวน 9,679หน่วย มูลค่า 62,863 ล้านบาท โดยลดลงร้อยละ 16.1และร้อยละ 9.3
โดย 5 ทำเลที่มีหน่วยขายได้ใหม่สูงสุด
อันดับ 1 โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 2,161 หน่วย มูลค่า 14,411 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ จำนวน 1,295 หน่วย มูลค่า 5,703 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 1,210 หน่วย มูลค่า 6,558 ล้านบาท
อันดับ 4 โซนลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 703 หน่วย มูลค่า 3,179 ล้านบาท
อันดับ 5 โซนเมืองสมุทรสาคร จำนวน 696 หน่วยมูลค่า 3,644 ล้านบาท
ผลจากการสำรวจภาคสนามยังได้แสดงทำเลสำหรับบ้านแนวราบที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากยังคงมีหน่วยเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่
อันดับ 1 โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 20,214 หน่วย มูลค่า 110,177 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 16,109 หน่วย มูลค่า 93,280 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนคลองหลวง จำนวน 14,478 หน่วย มูลค่า 56,803 ล้านบาท
อันดับ 4 โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 13,183 หน่วย มูลค่า 83,193 ล้านบาท
อันดับ 5 โซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 11,244 หน่วย มูลค่า 52,080 ล้านบาท
ด้าน ตลาดอาคารชุดในไตรมาส 1 มีหน่วยเสนอขาย 91,565 หน่วย มูลค่า 397,717 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.9 และร้อยละ 25.9 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับยอดขายได้ใหม่มีจำนวน 5,940 หน่วย มูลค่า 27,207ล้านบาท ลดลงร้อยละ 39.0 และร้อยละ 24.5 ตามลำดับ
โดย 5 ทำเลที่มีขายได้ใหม่สูงสุด ประกอบด้วย
อันดับ 1 โซนคลองหลวง จำนวน 1,057 หน่วย มูลค่า 1,794 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศจำนวน 487 หน่วย มูลค่า 1,472 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด จำนวน 441 หน่วย มูลค่า 1,861 ล้านบาท
อันดับ 4 โซนห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 439 หน่วย มูลค่า 1,692 ล้านบาท
อันดับ 5 โซนเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด จำนวน 421หน่วย มูลค่า 987 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายมาก ต้องระมัดระวัง แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่
อันดับ 1 โซนห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 10,588 หน่วย มูลค่า 43,059 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด จำนวน 9,469 หน่วย มูลค่า 31,397 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศจำนวน 8,251 หน่วย มูลค่า 27,299 ล้านบาท อันดับ 4 โซนเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด จำนวน 6,293หน่วย มูลค่า 16,121 ล้านบาท อันดับ 5 โซนลาดพร้าว-วังทองหลาง-บางกะปิจำนวน 5,382 หน่วย มูลค่า 17,607 ล้านบาท
จากผลสำรวจข้อมูลแสดงให้เห็นว่าภาพรวมไตรมาส 1 ปี 2567 ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลยังขับเคลื่อนตัวด้วยโครงการบ้านแนวราบกว่าอาคารชุด แต่อย่างไรก็ตาม ควรเฝ้าระวังสต๊อกคงเหลือและอัตราการดูดซับที่ต่ำลงในหลายพื้นที่ซึ่งต้องมีการประเมินความเสี่ยงในการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะทำเลที่มีอัตราการดูดซับลดลง
JJNY : ก้าวไกลพอใจชำแหละงบฯ 68│“อ.เดชา”ไม่ทนจวกรบ.แจกเงินหมื่น│อสังหาแบกสต๊อกพุ่ง1.3 ล.ล.│ปูตินถึงฮานอย อวยจุดยืน‘สมดุล’
https://tna.mcot.net/politics-1381010
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีที่มีการมองกันว่าการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ในครั้งนี้ ดูเงียบเหงาไม่ดุเดือดเหมือนที่ผ่านมานั้น ตนคิดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึก แต่เน้นเป็นเรื่องของเนื้อหาสาระมากกว่า อยากให้ติดตามการอภิปรายที่เหลืออยู่ทั้ง 2 วัน ซึ่งหลายคนได้บอกไปแล้วว่า หากไม่มีการปฏิรูปกระบวนการงบประมาณใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดขึ้นมาบริหารประเทศ ก็ยังมีความเสี่ยงที่หน้าตางบประมาณจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิม อย่างที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้กล่าวไปแล้วว่า เหมือนรัฐบาลชุดนี้จะพุ่งเป้าไปที่นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตอย่างเดียว ทั้งที่แถลงนโยบายไว้กับสภาถึง 142 ข้อ เราก็อยากเห็นการจัดสรรงบที่ให้ความสำคัญด้านอื่นด้วย
ส่วนพอใจภาพรวมการอภิปรายของฝ่ายค้านหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งหลายคนก็อภิปรายเนื้อหาสาระดี โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล จะเป็นผู้อภิปรายสรุปร่างพ.ร.บ.งบฯ ปี68 ขณะที่การอภิปรายวันนี้ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล จะอภิปรายเรื่องการศึกษา และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายในหมวดความมั่นคง ก็อยากขอให้ติดตามการอภิปรายที่เหลืออีก 2 วัน
สำหรับการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านในครั้งนี้ ประชาชนจะไม่ผิดหวังใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่ผิดหวังแน่นอน ยืนยันว่าการอภิปรายของพรรคก้าวไกล มีข้อมูลและข้อเท็จจริง ส่วนเรื่องที่มีการใช้วาทกรรมการเมือง อภิปรายเสียดสีหรือเหน็บแนม ตนคิดว่ารัฐบาลต้องโฟกัสในตัวเนื้อหา ซึ่งยอมรับว่าการอภิปรายมีสีสัน แต่เราไม่ได้เน้นวาทะกรรมเป็นเนื้อหาหลัก จึงอยากให้รัฐบาลตั้งใจฟังสาระ แล้วไปปรับปรุงกระบวนการทำงานของตัวเอง.-319 -สำนักข่าวไทย
“อ.เดชา”ไม่ทนจวกรัฐบาลแจกเงินหมื่น ลั่นถ้าทำแล้วบ้านเมืองเสียหายควรหยุด
https://www.dailynews.co.th/news/3554306/
“อ.เดชา”ขอแสดงความเห็นในฐานะผู้เสียภาษี ถึงนายกฯปมแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ลั่น ถ้าทำแล้วบ้านเมืองเสียหายก็ควรหยุด ควรเดินไปต่อหาหนทางอื่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เจ้าของเพจทนายคลายทุกข์ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ทนายคลายทุกข์
#บทวิเคราะห์การเมืองจากทนายคลายทุกข์ ผมได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับคำพูดของหัวหน้าพรรคก้าวไกลในการอภิปรายงบประมาณเมื่อวานนี้
“เจ๊งไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้”
โดยวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทให้กับประชาชนของรัฐบาลเพื่อไทย
ซึ่งมีการคิดมาอย่างไม่รอบคอบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายรูปแบบหลายเงื่อนไขไม่เหมือนกับที่ตอนหาเสียงแสดงให้เห็นถึงความมักง่าย
ในการทำนโยบายไม่ได้คำนึงถึงความหายนะทางเศรษฐกิจหรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทำอย่างเดียวเพื่อรักษาคะแนนเสียงและคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ผมตีความเอาอย่างนั้นนะเพราะฟังแล้วเข้าใจว่าอย่างนั้นถึงแม้ปัจจุบันรัฐบาลยังมีสถานภาพทางการเงินที่ง่อนแง่น
แต่ก็พยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อจะแจกเงินเพื่อรักษาหน้าตาของพรรคและรักษาฐานคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติคำว่าเจ๊งไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้จึงเป็นคำที่ตรงประเด็นที่สุดครับ
ผมแสดงความคิดเห็นในฐานะที่ผมเป็นคนเสียภาษีนะครับ เพราะว่าคุณเป็นนายกของประชาชนมีหน้าที่เป็นตัวแทนให้กับประชาชนในการบริหารประเทศ
คุณต้องนึกถึงความ-ิบหายของประเทศด้วย ถ้าทำไปแล้วบ้านเมือง-ิบหาย ก็ควรหยุดไม่ควรเดินไปต่อหาหนทางอื่นวิธีการอื่นในการพัฒนาประเทศหรือกระตุ้นเศรษฐกิจนะครับ
https://www.facebook.com/dechalaw/posts/pfbid02QEGHys29G4pdDu1T5cbhnXzaqbDcgZQgEotH3wHtqTGqd9sRSmEgQQD9mhfwkTMal
https://www.facebook.com/dechalaw/posts/pfbid02QEGHys29G4pdDu1T5cbhnXzaqbDcgZQgEotH3wHtqTGqd9sRSmEgQQD9mhfwkTMal?comment_id=3640510206278368
อสังหาแบกสต๊อกพุ่ง 1.3 ล้านล้าน เปิด 10 ทำเลอันตราย ‘บ้าน-คอนโด’ เหลือขายบาน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4637890
อสังหาแบกสต๊อกพุ่ง 1.3 ล้านล้าน เปิด 10 ทำเลอันตราย ‘บ้าน-คอนโด’ เหลือขายบาน
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เปิดเผยว่าผลจากการสำรวจภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งโครงการแนวราบและอาคารชุดในกรุงเทพฯและ 5 จังหวัดปริมณฑล ในไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่าหลังจากที่ได้ผ่านไตรมาส 1 ตัวเลขภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศและเครื่องชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นไปในทิศทางชะลอตัวลง คาดว่า ภาพรวมทั้งปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้ามาสู่ตลาด 103,930 หน่วย มูลค่ารวม 637,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0และร้อยละ 7.0 ตามลำดับ ซึ่งแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 51,369 หน่วย มูลค่า 420,635 ล้านบาทและโครงการอาคารชุด จำนวน 52,561 หน่วย มูลค่า 217,271 ล้านบาท
ด้านยอดขายได้ใหม่คาดว่าจะมีจำนวน 67,696 หน่วย มูลค่า 342,299 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 8.4และร้อยละ 1.2 ตามลำดับ แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 37,883 หน่วย มูลค่า 238,919 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 29,813 หน่วย มูลค่า 103,380 ล้านบาท โดยอัตราดูดซับโดยรวมของตลาดจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ทั้งประเภทโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด
ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยเหลือขายมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 246,280หน่วย มูลค่า 1,393,395 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ17.3 และร้อยละ 18.6 ตามลำดับ ซึ่งแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 139,984 หน่วย มูลค่าโครงการ 914,136ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 106,296 หน่วย มูลค่าโครงการ 479,259 ล้านบาท
สำหรับสถานการณ์ตลาดบ้านแนวราบในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในไตรมาส 1 ปี 2567 มีหน่วยเสนอขายทั้งสิ้น 137,483หน่วย มูลค่า 910,268 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนยอดขายได้ใหม่มีจำนวน 9,679หน่วย มูลค่า 62,863 ล้านบาท โดยลดลงร้อยละ 16.1และร้อยละ 9.3
โดย 5 ทำเลที่มีหน่วยขายได้ใหม่สูงสุด
อันดับ 1 โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 2,161 หน่วย มูลค่า 14,411 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ จำนวน 1,295 หน่วย มูลค่า 5,703 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 1,210 หน่วย มูลค่า 6,558 ล้านบาท
อันดับ 4 โซนลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 703 หน่วย มูลค่า 3,179 ล้านบาท
อันดับ 5 โซนเมืองสมุทรสาคร จำนวน 696 หน่วยมูลค่า 3,644 ล้านบาท
ผลจากการสำรวจภาคสนามยังได้แสดงทำเลสำหรับบ้านแนวราบที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากยังคงมีหน่วยเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่
อันดับ 1 โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 20,214 หน่วย มูลค่า 110,177 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 16,109 หน่วย มูลค่า 93,280 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนคลองหลวง จำนวน 14,478 หน่วย มูลค่า 56,803 ล้านบาท
อันดับ 4 โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 13,183 หน่วย มูลค่า 83,193 ล้านบาท
อันดับ 5 โซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 11,244 หน่วย มูลค่า 52,080 ล้านบาท
ด้าน ตลาดอาคารชุดในไตรมาส 1 มีหน่วยเสนอขาย 91,565 หน่วย มูลค่า 397,717 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.9 และร้อยละ 25.9 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับยอดขายได้ใหม่มีจำนวน 5,940 หน่วย มูลค่า 27,207ล้านบาท ลดลงร้อยละ 39.0 และร้อยละ 24.5 ตามลำดับ
โดย 5 ทำเลที่มีขายได้ใหม่สูงสุด ประกอบด้วย
อันดับ 1 โซนคลองหลวง จำนวน 1,057 หน่วย มูลค่า 1,794 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศจำนวน 487 หน่วย มูลค่า 1,472 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด จำนวน 441 หน่วย มูลค่า 1,861 ล้านบาท
อันดับ 4 โซนห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 439 หน่วย มูลค่า 1,692 ล้านบาท
อันดับ 5 โซนเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด จำนวน 421หน่วย มูลค่า 987 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายมาก ต้องระมัดระวัง แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่
อันดับ 1 โซนห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 10,588 หน่วย มูลค่า 43,059 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด จำนวน 9,469 หน่วย มูลค่า 31,397 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศจำนวน 8,251 หน่วย มูลค่า 27,299 ล้านบาท อันดับ 4 โซนเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด จำนวน 6,293หน่วย มูลค่า 16,121 ล้านบาท อันดับ 5 โซนลาดพร้าว-วังทองหลาง-บางกะปิจำนวน 5,382 หน่วย มูลค่า 17,607 ล้านบาท
จากผลสำรวจข้อมูลแสดงให้เห็นว่าภาพรวมไตรมาส 1 ปี 2567 ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลยังขับเคลื่อนตัวด้วยโครงการบ้านแนวราบกว่าอาคารชุด แต่อย่างไรก็ตาม ควรเฝ้าระวังสต๊อกคงเหลือและอัตราการดูดซับที่ต่ำลงในหลายพื้นที่ซึ่งต้องมีการประเมินความเสี่ยงในการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะทำเลที่มีอัตราการดูดซับลดลง