สวัสดีครับ ปัจจุบันนี้ผมเรียนในมหาวิทยาลัย ปีสุดท้ายครับ แต่ในชีวิตของผม มี 2 เรื่องที่บางครั้งผมจะคิดหวนคิดนึกถึง คือ ตอน ม.3 ผมไม่ได้เรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมที่ผมต้องการเข้าเรียน คือ กำเนิดวิทย์ มหิดลวิทยานุสรณ์ และตอนม.6 ผมไม่สามารถไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยต่างประเทศได้ เรื่องทุนเรียนต่อต่างประเทศ ผมได้พิมพ์ไปในกระทู้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เรื่องม.ปลาย ผมยังไม่ได้ถามเลย
ในตอนเด็ก ถ้าคุณเรียนได้เกรดสูงๆติดอันดับของห้อง ของระดับชั้น ไปสอบแข่งขันได้รางวัลระดับจังหวัด พวกคุณคงจะดีใจใช่ไหม ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผมเริ่มคิดได้ว่า
ถ้าเอาชนะระดับโรงเรียนได้ ก็ต้องมีระดับจังหวัด
ถ้าเอาชนะระดับจังหวัดได้ ก็ต้องมีระดับภูมิภาค
ถ้าเอาชนะระดับภูมิภาคได้ ก็ต้องมีระดับประเทศ
ถ้าเอาชนะระดับประเทศได้ ก็ต้องแข่งกับคนจีน ฝรั่ง ฯลฯ
ถ้าเอาชนะทุกคนบนโลกได้ สักวันหนึ่ง ก็จะต้องมีมนุษย์ต่างดาว
ถ้าเอาชนะในวิชาวิทยาศาสตร์ได้ ก็ยังมีวิชาคณิตศาสตร์
ถ้าเอาชนะในวิชาคณิตศาสตร์ได้ ก็ยังมีวิชาภาษา
ถ้าเอาชนะในวิชาภาษาได้ ก็ยังมีทฤษฎีดนตรี ศิลปะ และความรู้อีกหลายแขนง ไม่สิ้นสุด
ในอนาคตเมื่อโตขึ้น แม้จะเอาชนะทางด้านวิชาการได้ ก็ยังต้องเจอคนที่หล่อกว่า สูงกว่า บ้านรวยกว่า หน้าที่การงานดีกว่า ทำธุรกิจได้ร่ำรวยกว่า ฯลฯ
แม้จะเอาชนะได้ทุกด้าน หล่อกว่าคนอื่น หน้าที่การงานดีกว่าคนอื่น จนมีแต่สาวสวยๆรุมล้อม แต่ก็ยังมีปัญหาของโลกที่ยังสามารถมากวนชีวิตของเราได้ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ สงคราม ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ฯลฯรวมถึงปัญหาส่วนตัว เช่น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาในครอบครัว
ทำไมต้องเอาชนะผู้อื่น?
1. ผมต้องการให้ทางบ้านภูมิใจ
2. ต่อมาในชีวิต ผมได้รับการปลูกฝังว่า เมื่อเกิดมาแล้ว ต้องสร้างประโยชน์ต่อสังคมให้ได้มากที่สุด อย่าให้เสียชาติเกิด(ไม่อย่างนั้นก็ฆ่าตัวตายไปซะ ผมต่อเอง)ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครปลูกฝัง การได้ที่ 1 ก็คือการการันตีอย่างหนึ่งว่าเราสามารถนำความสามารถ พลังของเราไปใช้ได้ สิ่งที่น่ากลัวสำหรับผมสิ่งหนึ่ง คือ การที่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นขยะสังคม รอรับเงินรัฐบาลไปวันๆ ไม่สามารถหางานทำได้ ไม่สามารถช่วยเหลือใครได้ ใช้ชีวิตเหลวไหล ดื่มเหล้า เมาไปวันๆ
สิ่งเหล่านี้ เท่าที่จำความได้ น่าจะติดค้างในใจของผม มาตั้งแต่ประมาณ ป.3
เหตุผลที่ต้องเกริ่นเรื่องนี้มา เพราะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ ป.3 ถึง ตอนที่จบม.6 ได้ประมาณ 2 ปี ผมค่อนข้างติดค้างเรื่องเหล่านี้มาตลอด และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมต้องการที่จะเก่งกว่าคนอื่น สิ่งที่จะพิสูจน์ได้ว่า ผมไม่ใช่ขยะสังคมคือ การสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนมัธยมในระดับประเทศได้ และสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงเพื่อไปเรียนต่อนอกได้
การสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงได้ (สำหรับสายวิทยาศาสตร์ มี 5 ทุนต่อปี เท่านั้น)
สำหรับผม คือ จุดสูงสุดของการเป็นนักเรียนมัธยม แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นผมมีความเครียดสูง จึงไม่สามารถสอบได้ผมได้พิมพ์ไปในกระทู้ก่อนๆ กระทู้นี้ผมจะเน้นในส่วนของมัธยมปลาย
สิ่งที่ผมสงสัยคือ
1. ผมต้องการทราบว่าคนที่เคยเรียนในโรงเรียนที่ผมกล่าวไปข้างบน มีบ้างไหม ที่รู้สึกว่า ชีวิตยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร หรือมีชีวิตแย่ ยกตัวอย่างประกอบได้ไหม ในทางกลับกัน ผู้ที่ไม่เคยเรียนต่อโรงเรียนด้านบนแล้วสามารถประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรืองได้ มีบ้างไหม ยกตัวอย่างประกอบได้ไหม
2. เท่าที่ผมเคยอ่านโพสต์ในเฟสบุ๊คของศิษย์เก่ามหิดลวิทยานุสรณ์ มีคนหนึ่งเคยโพสต์ว่า รุ่นเพื่อนเดียวกันกับเขากลายเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมหลายคน หลายคนเป็นประธานบริษัทนั้นบริษัทนี้ เป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ มีอีกคนที่โพสต์ว่า วันนี้เขาทำงานต่างสายงานกับเพื่อนได้ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในอีกสายงาน ที่เป็นศิษย์เก่ามหิดลวิทยานุสรณ์เหมือนกัน สิ่งนี้ ภาษาคนทั่วไป คงจะเรียกว่า Connection ผมต้องการทราบว่า ผู้มี่ไม่ได้เรียนในโรงเรียนเหล่านั้น จะสามารถหาผู้ที่มาช่วยเหลือในชีวิตได้ไหม จะมีConnection ดีๆได้ไหม ทำอย่างไรให้ไม่เสียใจที่ไม่มีเพื่อนเป็นศาสตราจารย์ ผู้บริหาร ผู้ที่มีหน้าตาในสังคม
นี่คือคำตอบของผม
มีแน่นอน และคนที่สามารถเป็นใหญ่เป็นโต ไม่จำเป็นต้องเรียนในโรงเรียนพวกนั้นก็ได้ มันขึ้นกับจังหวะชีวิตของแต่ละคน ส่วนเรื่อง Connection ในโลกนี้มี Conection มากมาย นอกจากนี้ Connection ยังขึ้นกับตัวเราด้วย ถ้าตัวเราไม่มีความเชี่ยวชาญในสายงานก็ไม่มีใครอยากมีเราเป็นเพื่อนร่วมงาน ส่วนคนที่เข้ามาโกงเรา นินทาเราลับหลัง ก็เป็นเรื่องของจังหวะชีวิตเหมือนกัน คนที่เคยได้เรียนโรงเรียนพวกนั้น เขาอาจจะเป็นคนที่เรียนเก่ง มีความสำเร็จในช่วงมัธยม แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่ป่วย ไม่เคยทำธุรกิจเจ๊ง มีแต่ความราบรื่นในหน้าที่การงาน
ช่วยวิพากษ์วิจารณ์คำตอบของผมด้วยครับ
มีอะไรอยากแนะนำเพิ่มเติมไหม
ถ้าจะถามว่า ทุกวันนี้ ผมสามารถหาคำตอบของสิ่งที่ติดค้างในตอนต้น เกี่ยวกับการเอาชนะผู้อื่น ได้หรือยัง ก็ต้องบอกว่า ผมได้คำตอบที่พอใจตัวเองแล้ว แต่ผมจะไม่ขอพิมพ์รายละเอียดในนี้ เพราะว่าเป็นคำตอบส่วนตัว ผมไม่ได้กลัวว่าถ้าผู้อื่นรู้คำตอบแล้วจะเก่งกว่าผมหรอก แต่ผมเคยพยายามเล่าให้คนอื่น ทั้งเพื่อน และคนในบ้านฟัง แต่สิ่งที่ได้กลับมา กลับเป็นความไม่เข้าใจกัน คำตอบของผม ค่อนข้างมีรายละเอียดส่วนบุคคลเยอะมาก สำหรับผู้อื่นที่ไม่ได้อินแบบผม คิดเรื่องเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาแบบผม คงจะไม่มีทางที่จะเข้าใจ หรือแม้จะเข้าใจก็คงไม่ได้รู้สึกอินตาม
ปล. ผมเชื่อว่า จะต้องมีคนพิมพ์ว่า “ไปหาจิตแพทย์” ผมเคยไปหาแล้วครับตอนม.ปลาย แต่สุดท้ายก็แก้ปัญหาให้ผมไม่ได้ ไปหาติดต่อกัน 2-3 ปี นี่คงเป็นปัญหาที่ไม่มีใครแก้ให้ผมได้ นอกจากตัวเอง
การที่ไม่ได้เรียนที่กำเนิดวิทย์ มหิดลวิทยานุสรณ์ เตรียมอุดม จะสามารถประสบความสำเร็จ และมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองได้หรือเปล่า
ในตอนเด็ก ถ้าคุณเรียนได้เกรดสูงๆติดอันดับของห้อง ของระดับชั้น ไปสอบแข่งขันได้รางวัลระดับจังหวัด พวกคุณคงจะดีใจใช่ไหม ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผมเริ่มคิดได้ว่า
ถ้าเอาชนะระดับโรงเรียนได้ ก็ต้องมีระดับจังหวัด
ถ้าเอาชนะระดับจังหวัดได้ ก็ต้องมีระดับภูมิภาค
ถ้าเอาชนะระดับภูมิภาคได้ ก็ต้องมีระดับประเทศ
ถ้าเอาชนะระดับประเทศได้ ก็ต้องแข่งกับคนจีน ฝรั่ง ฯลฯ
ถ้าเอาชนะทุกคนบนโลกได้ สักวันหนึ่ง ก็จะต้องมีมนุษย์ต่างดาว
ถ้าเอาชนะในวิชาวิทยาศาสตร์ได้ ก็ยังมีวิชาคณิตศาสตร์
ถ้าเอาชนะในวิชาคณิตศาสตร์ได้ ก็ยังมีวิชาภาษา
ถ้าเอาชนะในวิชาภาษาได้ ก็ยังมีทฤษฎีดนตรี ศิลปะ และความรู้อีกหลายแขนง ไม่สิ้นสุด
ในอนาคตเมื่อโตขึ้น แม้จะเอาชนะทางด้านวิชาการได้ ก็ยังต้องเจอคนที่หล่อกว่า สูงกว่า บ้านรวยกว่า หน้าที่การงานดีกว่า ทำธุรกิจได้ร่ำรวยกว่า ฯลฯ
แม้จะเอาชนะได้ทุกด้าน หล่อกว่าคนอื่น หน้าที่การงานดีกว่าคนอื่น จนมีแต่สาวสวยๆรุมล้อม แต่ก็ยังมีปัญหาของโลกที่ยังสามารถมากวนชีวิตของเราได้ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ สงคราม ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ฯลฯรวมถึงปัญหาส่วนตัว เช่น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาในครอบครัว
ทำไมต้องเอาชนะผู้อื่น?
1. ผมต้องการให้ทางบ้านภูมิใจ
2. ต่อมาในชีวิต ผมได้รับการปลูกฝังว่า เมื่อเกิดมาแล้ว ต้องสร้างประโยชน์ต่อสังคมให้ได้มากที่สุด อย่าให้เสียชาติเกิด(ไม่อย่างนั้นก็ฆ่าตัวตายไปซะ ผมต่อเอง)ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครปลูกฝัง การได้ที่ 1 ก็คือการการันตีอย่างหนึ่งว่าเราสามารถนำความสามารถ พลังของเราไปใช้ได้ สิ่งที่น่ากลัวสำหรับผมสิ่งหนึ่ง คือ การที่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นขยะสังคม รอรับเงินรัฐบาลไปวันๆ ไม่สามารถหางานทำได้ ไม่สามารถช่วยเหลือใครได้ ใช้ชีวิตเหลวไหล ดื่มเหล้า เมาไปวันๆ
สิ่งเหล่านี้ เท่าที่จำความได้ น่าจะติดค้างในใจของผม มาตั้งแต่ประมาณ ป.3
เหตุผลที่ต้องเกริ่นเรื่องนี้มา เพราะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ ป.3 ถึง ตอนที่จบม.6 ได้ประมาณ 2 ปี ผมค่อนข้างติดค้างเรื่องเหล่านี้มาตลอด และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมต้องการที่จะเก่งกว่าคนอื่น สิ่งที่จะพิสูจน์ได้ว่า ผมไม่ใช่ขยะสังคมคือ การสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนมัธยมในระดับประเทศได้ และสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงเพื่อไปเรียนต่อนอกได้
การสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงได้ (สำหรับสายวิทยาศาสตร์ มี 5 ทุนต่อปี เท่านั้น)
สำหรับผม คือ จุดสูงสุดของการเป็นนักเรียนมัธยม แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นผมมีความเครียดสูง จึงไม่สามารถสอบได้ผมได้พิมพ์ไปในกระทู้ก่อนๆ กระทู้นี้ผมจะเน้นในส่วนของมัธยมปลาย
สิ่งที่ผมสงสัยคือ
1. ผมต้องการทราบว่าคนที่เคยเรียนในโรงเรียนที่ผมกล่าวไปข้างบน มีบ้างไหม ที่รู้สึกว่า ชีวิตยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร หรือมีชีวิตแย่ ยกตัวอย่างประกอบได้ไหม ในทางกลับกัน ผู้ที่ไม่เคยเรียนต่อโรงเรียนด้านบนแล้วสามารถประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรืองได้ มีบ้างไหม ยกตัวอย่างประกอบได้ไหม
2. เท่าที่ผมเคยอ่านโพสต์ในเฟสบุ๊คของศิษย์เก่ามหิดลวิทยานุสรณ์ มีคนหนึ่งเคยโพสต์ว่า รุ่นเพื่อนเดียวกันกับเขากลายเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมหลายคน หลายคนเป็นประธานบริษัทนั้นบริษัทนี้ เป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ มีอีกคนที่โพสต์ว่า วันนี้เขาทำงานต่างสายงานกับเพื่อนได้ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในอีกสายงาน ที่เป็นศิษย์เก่ามหิดลวิทยานุสรณ์เหมือนกัน สิ่งนี้ ภาษาคนทั่วไป คงจะเรียกว่า Connection ผมต้องการทราบว่า ผู้มี่ไม่ได้เรียนในโรงเรียนเหล่านั้น จะสามารถหาผู้ที่มาช่วยเหลือในชีวิตได้ไหม จะมีConnection ดีๆได้ไหม ทำอย่างไรให้ไม่เสียใจที่ไม่มีเพื่อนเป็นศาสตราจารย์ ผู้บริหาร ผู้ที่มีหน้าตาในสังคม
นี่คือคำตอบของผม
มีแน่นอน และคนที่สามารถเป็นใหญ่เป็นโต ไม่จำเป็นต้องเรียนในโรงเรียนพวกนั้นก็ได้ มันขึ้นกับจังหวะชีวิตของแต่ละคน ส่วนเรื่อง Connection ในโลกนี้มี Conection มากมาย นอกจากนี้ Connection ยังขึ้นกับตัวเราด้วย ถ้าตัวเราไม่มีความเชี่ยวชาญในสายงานก็ไม่มีใครอยากมีเราเป็นเพื่อนร่วมงาน ส่วนคนที่เข้ามาโกงเรา นินทาเราลับหลัง ก็เป็นเรื่องของจังหวะชีวิตเหมือนกัน คนที่เคยได้เรียนโรงเรียนพวกนั้น เขาอาจจะเป็นคนที่เรียนเก่ง มีความสำเร็จในช่วงมัธยม แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่ป่วย ไม่เคยทำธุรกิจเจ๊ง มีแต่ความราบรื่นในหน้าที่การงาน
ช่วยวิพากษ์วิจารณ์คำตอบของผมด้วยครับ
มีอะไรอยากแนะนำเพิ่มเติมไหม
ถ้าจะถามว่า ทุกวันนี้ ผมสามารถหาคำตอบของสิ่งที่ติดค้างในตอนต้น เกี่ยวกับการเอาชนะผู้อื่น ได้หรือยัง ก็ต้องบอกว่า ผมได้คำตอบที่พอใจตัวเองแล้ว แต่ผมจะไม่ขอพิมพ์รายละเอียดในนี้ เพราะว่าเป็นคำตอบส่วนตัว ผมไม่ได้กลัวว่าถ้าผู้อื่นรู้คำตอบแล้วจะเก่งกว่าผมหรอก แต่ผมเคยพยายามเล่าให้คนอื่น ทั้งเพื่อน และคนในบ้านฟัง แต่สิ่งที่ได้กลับมา กลับเป็นความไม่เข้าใจกัน คำตอบของผม ค่อนข้างมีรายละเอียดส่วนบุคคลเยอะมาก สำหรับผู้อื่นที่ไม่ได้อินแบบผม คิดเรื่องเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาแบบผม คงจะไม่มีทางที่จะเข้าใจ หรือแม้จะเข้าใจก็คงไม่ได้รู้สึกอินตาม
ปล. ผมเชื่อว่า จะต้องมีคนพิมพ์ว่า “ไปหาจิตแพทย์” ผมเคยไปหาแล้วครับตอนม.ปลาย แต่สุดท้ายก็แก้ปัญหาให้ผมไม่ได้ ไปหาติดต่อกัน 2-3 ปี นี่คงเป็นปัญหาที่ไม่มีใครแก้ให้ผมได้ นอกจากตัวเอง