spoiler alert !! เนื้อหามีสปอยนิดหน่อยสำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู EP1-4
ในวันที่ฝนพร่างพราย.... หากอ่านแค่ชื่อละครหลายคนคงคิดว่า น่าจะเป็นละครรักโรแมนติกใสๆ ปนดราม่าหน่อยๆ
เพราะเอาเข้าจริง โปสเตอร์ละคร รวมถึง ทีเซอร์ และ เรื่องย่อ ให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ (และบรรดาคัทซีนทั้งหลายที่ช่องตัดลงด้วย)
ละครเรื่องนี้ดูจากทีเซอร์ที่ตัดมา ก็คงนึกว่า ละครรักต่างวัยธรรมดาๆ เหมือนที่ช่องเคยทำ และมันก็แอบคล้ายให้รักพิพากษาอยู่เหมือนกัน
เพราะมีทีเซอร์นึงที่โชว์ว่า พระเอกโตขึ้นมาเป็นทนาย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลายคนคิดว่าเรื่องนี้คือละครรีรัน
และโทนสีละครที่ละครเรื่องนี้เลือกใช้คือชมพูที่แกลมด้วยสีน้ำเงิน และเพลงประกอบที่ค่อนข้างสดใส
ราวกับบอกว่าละครนี้เป็นละครรักโรแมนติก ดราม่าปกติ
แต่พอเปิดดูอีพีแรก แค่ฉากแรกก็สัมผัสได้ถึงความดาร์คของละคร แล้วยังไม่หมดแค่นั้น ละครพาเราดำดิ่งไปกับมุมมองของตัวละคร ฝน
ที่ดูผิวเผินก็แค่เจ้าหน้าที่ฝึกหัดจบใหม่โลกสวยไฟแรง ที่คิดว่าจะช่วยให้ได้ทุกเคสโดยที่ไม่สนอะไรเลย
จนมาเจอเคสแรก ไม้เด็กหนุ่มที่มาจาก บ้านที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นบ้าน อาจเพราะปูมหลังที่คล้ายๆกันนี้ทำให้ฝนทุ่มสุดตัวเพื่อเคสนี้
จนถลำลึกเกินไป โดยที่ไม่รู้ตัว
ในขณะที่ละครกำลังเล่นประเด็นที่หมิ่นเหม่ ของตัวเอกอยู่นั้น ก็มีเคสคู่ขนานของครูกับลูกศิษย์ เกิดขึ้น
เคสนี้ถูกเล่าขึ้นในขณะที่ความสัมพันธ์ของฝนกับไม้กำลังถลำลึกจนเกือบเกินเลย เส้นจรรยาบรรณและศีลธรรม
ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเคสครูกับลูกศิษย์นี้เลย เพียงแต่ "คนเรามักมองไม่เห็นฝุ่นที่เข้าตาตัวเอง" ฝนเป็นคนที่พูดประโยคนี้ขึ้นเอง
และเมื่อฝนเห็นเคสนี้ ฝนในฐานะคนนอกที่เป็นคนมองเข้าไปในความสัมพันธ์นั้น ตัดสินได้ทันทีว่า นี่คือความผิด ของครูคนนั้น
แต่กลับกันในความสัมพันธ์ของตัวเองกับไม้ ฝนกลับมองไม่เห็นว่ามันสุ่มเสี่ยงเหลือเกิน
และแล้วมันก็ประทุขึ้นในวันปีใหม่ ละครสร้างสัญญะเป็นพลุที่ถูกจุดขึ้น เพื่อเตือนสติฝน และมันก็เป็นนัยยะที่บอกว่า
ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น มันเป็นแค่ความสวยงามที่เกิดขึ้นเพียงประเดี๋ยวประด๋าว มันไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป
ทันทีที่รู้ตัวฝนได้ขีดเส้นกั้นความสัมพันธ์ของตัวเธอและไม้ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูคนนั้นควรทำ
แต่มันสายไปเสียแล้ว เพราะอีกฝ่ายได้คิดไปเสียแล้ว
ต้องไม่ลืมว่าตัวละครก็คือคนๆนึง ละครเรื่องนี้เลือกเล่าพวกเขาในแบบที่เป็นมนุษย์จริงๆ และความผิดพลาดกับมนุษย์ก็เป็นของคู่กัน
ไม่มีใครไม่เคยทำผิด ฝนและไม้ เองก็เช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ละครเรื่องนี้ได้บอกเรา
"อดีตเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่อนาคต เราเลือกเส้นทางที่ถูกต้องได้" - จากพี่ชุ ผู้จัด ผู้กำกับ คนเก่งของเรา
7 ปีต่อมา ไม้กลับมาในฐานะทนายอาสา เช่นเดียวกันกับนิชา และ ที่สำคัญฝนเองก็เช่นกันที่หลายๆคนคงพอเดาได้แล้วว่าฝน คือใครในอดีต
มันทำให้เราคนดูถึงกับเอ่ยออกมาว่า
"เติบโตกันมาอย่างดีเลยนะทั้งสามคน"
นอกจากเรื่องราวเหล่านี้ที่ละครได้แทรกเข้ามาเป็นระยะๆ ให้คนดูได้พักเบรคและอบอุ่นหัวใจ
ละครเรื่องนี้ยังกล่าวถึงประเด็นสังคมหลายๆประเด็นที่หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมี และมันผิด
เช่น child grooming, domestic violence, การใช้แรงงานเด็ก, และ อื่นๆ อีกมากมาย (ที่ไม่รู้เขียนได้มั้ยขอละไว้แล้วกัน)
ที่ผ่านมา 3 อีพีแรก ละครอาจจะยังไม่ได้เจาะปัญหาและวิธีการแก้ รวมถึงผลที่ได้รับ อย่างชัดเจน เหมือนแค่เล่าผ่านๆไป
โดยเฉพาะเคสของนิชา ที่หลายคนอาจขัดใจและสงสัยว่า นิชา ท้องไม่ใช่หรอ แล้วยังไงต่อ แล้วไงละไม่เห็นนำเสนอต่อเลย
อยากบอกว่า เขาจะเล่าแน่ๆ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ รออีกนิด รอให้คนที่พร้อมจะเล่า เขาเป็นคนเล่าเอง
เพราะต้องไม่ลืมว่า 3 อีพีแรก คือการปูแบ็คกราวน์ของตัวละคร และทั้งหมดถูกเล่าผ่านมุมมองของฝนเป็นหลัก
หลังจากอีพี 3 เป็นต้นไปเราน่าจะได้เห็น การเจาะลึกแต่ละเคส
เพราะตอนนี้ทั้งฝน และไม้ ทำงานที่เดียวกันแล้ว
เส้นเรื่องของตัวละครแต่ละตัวกำลังจะมาบรรจบกัน
หลายคนๆที่กำลัง ลังเลว่าจะดูดีมั้ย เพราะเอาตรงๆ โอ้แต้ว 10 ปีที่ไม่ได้เจอกันอาจฟังดูน่าตื่นเต้น
แต่จริงๆ ทั้งคู่ก็มีผลงานหนังด้วยกัน และก็มีบางงานที่ทำงานด้วยกัน มันเลยไม่ได้ดูห่างขนาดนั้น
หรือ หลายคนสงสัยว่า จะขายจิ้น เหมือนละครคู่จิ้นอื่นๆ ที่ผ่านมามั้ย เพราะทีเซอร์ คัทซีนที่ตัดมามีแต่ฉากประมาณนั้น
บอกตรงๆเราก็ตอบไม่ได้ เพราะละครเพิ่งเดินทางมาถึงตอนที่ 4
แต่จากที่เราดูมา 4 ตอน ยังไม่มีความพยายามแบบนั้น ทุกฉากที่ใส่มา มันถูกบริบท ณ สถานการณ์นั้นๆ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
และถ้ามันจะถูกใส่มาตอนหลัง มันก็คงเป็นเพราะ ตัวละครทั้งสองเป็นคนที่ขาดในเรื่องของความรัก และเมื่อมันมี มันเลยมากกว่าคนปกติทั่วไป
หรือใครดูอีพี 1 ไปแล้วแล้วคิดว่าจะไปต่อดีมั้ย
เราอยากบอกว่า ดูต่อเถอะ หลายคนอาจตัดสินไปแล้วจากอีพี 1 ว่า ละครเครียด หรือละครไม่เห็นทำการบ้านมาเลย
อยากบอกว่า ดูต่อเถอะ มันอาจไม่เป็นแบบที่คุณคิดก็ได้
แต่ใดๆ คือจุดที่เราอยากให้โฟกัส คือความพยายามที่จะนำเสนอประเด็นสังคม รวมถึงวิธีการแก้ปัญหา และผลที่ได้รับ
รวมถึงการมีคนที่เข้าใจและพร้อมจะรับฟังปัญหาและแก้ปัญหาไปด้วยกัน
ไม่รู้คนที่ดูมีใครเป็นเหมือนเรามั้ย โดยเฉพาะอีพีที่ 4 เรารู้สึกใจฟูอย่างบอกไม่ถูก
โดยเฉพาะตอนที่ ไม้คนที่ผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายในอดีตมา พูดกับกระบองเพชรว่า
"วันนี้ฉันเจอเด็กกำพร้าคนนึง เขามีชีวิตวัยเด็กที่เลวร้ายกว่าฉันเสียอีก.... เด็กคนนั้นชื่อเชษฐ์"
สุดท้ายนี้ เราไม่รู้ว่าละครจะแมสมั้ย ถึงแม้ว่าเราจะแอบหวังเล็กๆว่ามันจะแมส แต่ก็รู้ว่าแนวนี้อาจจะยากหน่อย
แต่อย่างน้อยก็อยากเขียนอะไรซักอย่างแทนคำขอบคุณที่พี่ชุพี่ก้องและทีม ที่หยิบนิยายเรื่องนี้มาทำ และทำมันออกมาได้ดีมากๆ
เพราะนิยายเล่มนี้มันดีมากๆ จริงๆ โดยเฉพาะสารที่นักเขียนต้องการสื่อถึงผู้อ่าน
หวังว่าอีก 10 ตอนข้างหน้าจะดีแบบนี้และสนุกขึ้นทุกๆอีพีไปตลอด
ปล. ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย เราเขียนตามที่เราเข้าใจ คิดเห็นประการใดมาแชร์กันได้เลยนะ
ในวันที่ฝนพร่างพราย ละครดีดีที่เนื้อละครไม่เหมือนที่โปรโมท
ในวันที่ฝนพร่างพราย.... หากอ่านแค่ชื่อละครหลายคนคงคิดว่า น่าจะเป็นละครรักโรแมนติกใสๆ ปนดราม่าหน่อยๆ
เพราะเอาเข้าจริง โปสเตอร์ละคร รวมถึง ทีเซอร์ และ เรื่องย่อ ให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ (และบรรดาคัทซีนทั้งหลายที่ช่องตัดลงด้วย)
ละครเรื่องนี้ดูจากทีเซอร์ที่ตัดมา ก็คงนึกว่า ละครรักต่างวัยธรรมดาๆ เหมือนที่ช่องเคยทำ และมันก็แอบคล้ายให้รักพิพากษาอยู่เหมือนกัน
เพราะมีทีเซอร์นึงที่โชว์ว่า พระเอกโตขึ้นมาเป็นทนาย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลายคนคิดว่าเรื่องนี้คือละครรีรัน
และโทนสีละครที่ละครเรื่องนี้เลือกใช้คือชมพูที่แกลมด้วยสีน้ำเงิน และเพลงประกอบที่ค่อนข้างสดใส
ราวกับบอกว่าละครนี้เป็นละครรักโรแมนติก ดราม่าปกติ
แต่พอเปิดดูอีพีแรก แค่ฉากแรกก็สัมผัสได้ถึงความดาร์คของละคร แล้วยังไม่หมดแค่นั้น ละครพาเราดำดิ่งไปกับมุมมองของตัวละคร ฝน
ที่ดูผิวเผินก็แค่เจ้าหน้าที่ฝึกหัดจบใหม่โลกสวยไฟแรง ที่คิดว่าจะช่วยให้ได้ทุกเคสโดยที่ไม่สนอะไรเลย
จนมาเจอเคสแรก ไม้เด็กหนุ่มที่มาจาก บ้านที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นบ้าน อาจเพราะปูมหลังที่คล้ายๆกันนี้ทำให้ฝนทุ่มสุดตัวเพื่อเคสนี้
จนถลำลึกเกินไป โดยที่ไม่รู้ตัว
ในขณะที่ละครกำลังเล่นประเด็นที่หมิ่นเหม่ ของตัวเอกอยู่นั้น ก็มีเคสคู่ขนานของครูกับลูกศิษย์ เกิดขึ้น
เคสนี้ถูกเล่าขึ้นในขณะที่ความสัมพันธ์ของฝนกับไม้กำลังถลำลึกจนเกือบเกินเลย เส้นจรรยาบรรณและศีลธรรม
ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเคสครูกับลูกศิษย์นี้เลย เพียงแต่ "คนเรามักมองไม่เห็นฝุ่นที่เข้าตาตัวเอง" ฝนเป็นคนที่พูดประโยคนี้ขึ้นเอง
และเมื่อฝนเห็นเคสนี้ ฝนในฐานะคนนอกที่เป็นคนมองเข้าไปในความสัมพันธ์นั้น ตัดสินได้ทันทีว่า นี่คือความผิด ของครูคนนั้น
แต่กลับกันในความสัมพันธ์ของตัวเองกับไม้ ฝนกลับมองไม่เห็นว่ามันสุ่มเสี่ยงเหลือเกิน
และแล้วมันก็ประทุขึ้นในวันปีใหม่ ละครสร้างสัญญะเป็นพลุที่ถูกจุดขึ้น เพื่อเตือนสติฝน และมันก็เป็นนัยยะที่บอกว่า
ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น มันเป็นแค่ความสวยงามที่เกิดขึ้นเพียงประเดี๋ยวประด๋าว มันไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป
ทันทีที่รู้ตัวฝนได้ขีดเส้นกั้นความสัมพันธ์ของตัวเธอและไม้ทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูคนนั้นควรทำ
แต่มันสายไปเสียแล้ว เพราะอีกฝ่ายได้คิดไปเสียแล้ว
ต้องไม่ลืมว่าตัวละครก็คือคนๆนึง ละครเรื่องนี้เลือกเล่าพวกเขาในแบบที่เป็นมนุษย์จริงๆ และความผิดพลาดกับมนุษย์ก็เป็นของคู่กัน
ไม่มีใครไม่เคยทำผิด ฝนและไม้ เองก็เช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ละครเรื่องนี้ได้บอกเรา
"อดีตเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่อนาคต เราเลือกเส้นทางที่ถูกต้องได้" - จากพี่ชุ ผู้จัด ผู้กำกับ คนเก่งของเรา
7 ปีต่อมา ไม้กลับมาในฐานะทนายอาสา เช่นเดียวกันกับนิชา และ ที่สำคัญฝนเองก็เช่นกันที่หลายๆคนคงพอเดาได้แล้วว่าฝน คือใครในอดีต
มันทำให้เราคนดูถึงกับเอ่ยออกมาว่า
"เติบโตกันมาอย่างดีเลยนะทั้งสามคน"
นอกจากเรื่องราวเหล่านี้ที่ละครได้แทรกเข้ามาเป็นระยะๆ ให้คนดูได้พักเบรคและอบอุ่นหัวใจ
ละครเรื่องนี้ยังกล่าวถึงประเด็นสังคมหลายๆประเด็นที่หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมี และมันผิด
เช่น child grooming, domestic violence, การใช้แรงงานเด็ก, และ อื่นๆ อีกมากมาย (ที่ไม่รู้เขียนได้มั้ยขอละไว้แล้วกัน)
ที่ผ่านมา 3 อีพีแรก ละครอาจจะยังไม่ได้เจาะปัญหาและวิธีการแก้ รวมถึงผลที่ได้รับ อย่างชัดเจน เหมือนแค่เล่าผ่านๆไป
โดยเฉพาะเคสของนิชา ที่หลายคนอาจขัดใจและสงสัยว่า นิชา ท้องไม่ใช่หรอ แล้วยังไงต่อ แล้วไงละไม่เห็นนำเสนอต่อเลย
อยากบอกว่า เขาจะเล่าแน่ๆ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ รออีกนิด รอให้คนที่พร้อมจะเล่า เขาเป็นคนเล่าเอง
เพราะต้องไม่ลืมว่า 3 อีพีแรก คือการปูแบ็คกราวน์ของตัวละคร และทั้งหมดถูกเล่าผ่านมุมมองของฝนเป็นหลัก
หลังจากอีพี 3 เป็นต้นไปเราน่าจะได้เห็น การเจาะลึกแต่ละเคส
เพราะตอนนี้ทั้งฝน และไม้ ทำงานที่เดียวกันแล้ว
เส้นเรื่องของตัวละครแต่ละตัวกำลังจะมาบรรจบกัน
หลายคนๆที่กำลัง ลังเลว่าจะดูดีมั้ย เพราะเอาตรงๆ โอ้แต้ว 10 ปีที่ไม่ได้เจอกันอาจฟังดูน่าตื่นเต้น
แต่จริงๆ ทั้งคู่ก็มีผลงานหนังด้วยกัน และก็มีบางงานที่ทำงานด้วยกัน มันเลยไม่ได้ดูห่างขนาดนั้น
หรือ หลายคนสงสัยว่า จะขายจิ้น เหมือนละครคู่จิ้นอื่นๆ ที่ผ่านมามั้ย เพราะทีเซอร์ คัทซีนที่ตัดมามีแต่ฉากประมาณนั้น
บอกตรงๆเราก็ตอบไม่ได้ เพราะละครเพิ่งเดินทางมาถึงตอนที่ 4
แต่จากที่เราดูมา 4 ตอน ยังไม่มีความพยายามแบบนั้น ทุกฉากที่ใส่มา มันถูกบริบท ณ สถานการณ์นั้นๆ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
และถ้ามันจะถูกใส่มาตอนหลัง มันก็คงเป็นเพราะ ตัวละครทั้งสองเป็นคนที่ขาดในเรื่องของความรัก และเมื่อมันมี มันเลยมากกว่าคนปกติทั่วไป
หรือใครดูอีพี 1 ไปแล้วแล้วคิดว่าจะไปต่อดีมั้ย
เราอยากบอกว่า ดูต่อเถอะ หลายคนอาจตัดสินไปแล้วจากอีพี 1 ว่า ละครเครียด หรือละครไม่เห็นทำการบ้านมาเลย
อยากบอกว่า ดูต่อเถอะ มันอาจไม่เป็นแบบที่คุณคิดก็ได้
แต่ใดๆ คือจุดที่เราอยากให้โฟกัส คือความพยายามที่จะนำเสนอประเด็นสังคม รวมถึงวิธีการแก้ปัญหา และผลที่ได้รับ
รวมถึงการมีคนที่เข้าใจและพร้อมจะรับฟังปัญหาและแก้ปัญหาไปด้วยกัน
ไม่รู้คนที่ดูมีใครเป็นเหมือนเรามั้ย โดยเฉพาะอีพีที่ 4 เรารู้สึกใจฟูอย่างบอกไม่ถูก
โดยเฉพาะตอนที่ ไม้คนที่ผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายในอดีตมา พูดกับกระบองเพชรว่า
"วันนี้ฉันเจอเด็กกำพร้าคนนึง เขามีชีวิตวัยเด็กที่เลวร้ายกว่าฉันเสียอีก.... เด็กคนนั้นชื่อเชษฐ์"
สุดท้ายนี้ เราไม่รู้ว่าละครจะแมสมั้ย ถึงแม้ว่าเราจะแอบหวังเล็กๆว่ามันจะแมส แต่ก็รู้ว่าแนวนี้อาจจะยากหน่อย
แต่อย่างน้อยก็อยากเขียนอะไรซักอย่างแทนคำขอบคุณที่พี่ชุพี่ก้องและทีม ที่หยิบนิยายเรื่องนี้มาทำ และทำมันออกมาได้ดีมากๆ
เพราะนิยายเล่มนี้มันดีมากๆ จริงๆ โดยเฉพาะสารที่นักเขียนต้องการสื่อถึงผู้อ่าน
หวังว่าอีก 10 ตอนข้างหน้าจะดีแบบนี้และสนุกขึ้นทุกๆอีพีไปตลอด
ปล. ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย เราเขียนตามที่เราเข้าใจ คิดเห็นประการใดมาแชร์กันได้เลยนะ