อธิบายพระคัมภีร์ มัทธิว 1:18-24 โยเซฟรับพระเยซูเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม



      เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นดังนี้ พระนางมารีย์พระมารดาของพระองค์หมั้นกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ท่านทั้งสองจะครองชีวิตร่วมกัน ปรากฏว่าพระนางตั้งครรภ์แล้วเดชะพระจิตเจ้า โยเซฟคู่หมั้นของพระนางเป็นผู้ชอบธรรมไม่ต้องการฟ้องหย่าพระนางอย่างเปิดเผย จึงคิดถอนหมั้นอย่างเงียบๆ ขณะที่โยเซฟกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาเข้าฝัน กล่าวว่า “โยเซฟ โอรสกษัตริย์ดาวิดอย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะเด็กที่ปฏิสนธิในครรภ์ของนางมาจากพระจิตเจ้า นางจะให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู เพราะเขาจะช่วยประชากรของเขาให้รอดพ้นจากบาป”

     เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสผ่านประกาศกจะเป็นความจริงว่า

     หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะคลอดบุตรชาย

     ซึ่งจะได้รับนามว่า “อิมมานูเอล“

     แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา” เมื่อโยเซฟตื่นขึ้น เขาก็ทำตามที่ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้ คือรับภรรยามาอยู่ด้วย

📖📖📖

     ความสัมพันธ์ระหว่างโยเซฟและพระนางมารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้า คงทำให้เรางงไม่น้อย เริ่มด้วยโยเซฟหมั้นกับพระนาง (มัทธิว 1:18) ต่อมาคิดจะฟ้องหย่า(มัทธิว 1:19) แล้วลงเอยด้วยการเรียกและรับพระนางเป็นภรรยา (มัทธิว 1:20,24)

     แต่ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับชาวยิว เพราะกระบวนการแต่งงานของชาวยิวมี 3 ขั้นตอนด้วยกัน กล่าวคือ

1. การหมายหมั้น พ่อแม่หรือผู้มีอาชีพเป็นแม่สื่อทำการหมายมั่นชายหญิงให้แก่กันและกันตั้งแต่ทั้งคู่ยังเป็นเด็กและไม่รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อน ด้วยเหตุผลว่า การแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญและจริงจังเกินกว่าจะปล่อยให้หัวใจเป็นผู้กำหนด จำเป็นต้องอาศัยพ่อแม่หรือผู้มีประสบการณ์จัดให้

     เมื่อถึงวัยอันควร หากฝ่ายหญิงไม่เต็มใจก้าวไปสู่ขั้นที่ 2 จะยกเลิกการหมายหมั้นที่พ่อแม่หรือแม่สื่อจัดให้ก็ได้

2. การหมั้น เป็นการรับรองการหมายหมั้นและก่อให้เกิดพันธะผูกพันซึ่งจะยกเลิกได้ก็โดยการหย่าร้างเท่านั้น  หลังการหมั้นทั้งคู่ได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้วเพียงแต่ยังไม่มีสิทธิมีเพศสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา  หากสามีเสียชีวิตก่อนการสมรส ภรรยาจะถูกเรียกว่า “หม้ายพรหมจารี”

     ความสัมพันธ์ระหว่างโยเซฟและพระนางมารีย์อยู่ในขั้นตอนที่ 2 นี้

3. การสมรส ตามความหมายที่เราเข้าใจ เกิดขึ้นหลังการหมั้นประมาณ 1 ปี

     ทั้งๆที่ยังไม่ได้สมรสและครองชีวิตร่วมกัน “ปรากฏว่าพระนางตั้งครรภ์แล้วเดชะพระจิตเจ้า” (มัทธิว 1:18)

     โยเซฟจึงคิดจะถอนหมั้นอย่างเงียบๆ  แต่ทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาเข้าฝันท่าน กล่าวว่า “โยเซฟ โอรสกษัตริย์ดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะเด็กที่ปฏิสนธิในครรภ์ของนางนั้นมาจากพระจิตเจ้า  นางจะให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู” (มัทธิว 1:20-21)

     “เยซู” เป็นชื่อกรีกของคำฮีบรู “โยชูวา (Joshua - יְהוֹשֻׁעַ)“ ซึ่งแปลว่า “พระเยโฮวาห์ (YHWH - יהוה) คือ ผู้ช่วยให้รอด”

     เท่ากับว่า บุตรนั้นประสูติมามิใช่เพื่อพระองค์เอง แต่เพื่อช่วยเราทุกคนให้รอด และที่สำคัญ บุตรนั้นปฏิสนธิเดชะพระจิตเจ้า!!

     สิ่งที่ “โยเซฟและชาวยิว” เข้าใจเกี่ยวกับ “พระจิตเจ้า” คือ

1. พระจิต คือ ผู้นำความจริงของพระเจ้ามาสู่มนุษย์ หลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา พระจิตคือผู้สอนบรรดาประกาศกให้พูดความจริงของพระเจ้า

     ในเมื่อพระเยซูเจ้าทรงปฏิสนธิเดชะพระจิตเจ้า พระองค์จึงเป็นผู้นำความจริงของพระเจ้ามาสู่มนุษย์ พระองค์คือผู้เดียวที่สามารถบอกเราได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นเช่นใดและทรงเป็นผู้เดียวที่กล้าตรัสว่า “ใครที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดา” (ยอห์น 14:9)

     ในพระองค์ เราสามารถสัมผัสและรู้จักความรัก ความเมตตาสงสาร และความบริสุทธิ์ผุดผ่องขององค์พระผู้เป็นเจ้า

     ในพระองค์อีกเช่นกันที่เรามองเห็นศักยภาพของมนุษย์ มองเห็นความดี และความสามารถในการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าจนถึงที่สุดบนไม้กางเขน

     ในพระองค์เท่านั้นที่เราสามารถรู้จักพระเจ้าและรู้จักตนเองอย่างแท้จริง!!

2. พระจิต คือ ผู้ทำให้มนุษย์เข้าใจความจริง พระองค์ไม่เพียงนำความจริงมาสู่มนุษย์แต่ยังทรงช่วยมนุษย์ให้มองเห็นและเข้าใจความจริงนั้นด้วย
เดชะพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าจึงประสูติมาเพื่อเปิดดวงตาและจิตใจของเราให้เข้าใจความจริงด้วยเช่นกัน

     ก่อนหน้านี้มนุษย์โง่เขลาและหลงทาง ซ้ำร้ายดวงตาและจิตใจยังบอดมืดเพราะบาปและตัณหาของตนเอง แต่บัดนี้พระองค์สามารถเปิดดวงตาและจิตใจของเราให้มองเห็นและเข้าใจความจริง

     ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงหากเรายอมให้พระองค์เสด็จเข้ามาในจิตใจของเรา เปิดดวงตาของเรา และสอนเราให้เข้าใจความหมายของสิ่งต่างๆ

3. พระจิต คือ ผู้มีส่วนในการสร้างโลก ตั้งแต่ปฐมกาลพระจิตของพระเจ้าพัดอยู่เหนือน้ำและทำให้แผ่นดินที่ไม่มีระเบียบไร้รูปร่างกลายเป็นโลก (เทียบ ปฐมกาล 1:2) และ“เมื่อพระองค์ทรงส่งพระจิตของพระองค์ลงมา สิ่งมีชีวิตก็ถูกสร้างขึ้น” (สดุดี 104:30)

     ในเมื่อพระจิตคือผู้สร้างและประทานชีวิต พระเยซูเจ้าย่อมประสูติมาพร้อมกับฤทธิ์อำนาจที่เคยจัดระเบียบโลก เพื่อทำให้ชีวิตที่สับสนวุ่นวายของเรามีระเบียบ และทำให้ผู้อ่อนแอสิ้นหวังมีชีวิต

     เราจะมีชีวิตชีวาจริงๆ ก็ต่อเมื่อทูลเชิญพระองค์เข้ามาในชีวิตของเราเท่านั้น!

4. พระจิต คือ ผู้ประทานชีวิตใหม่  ในคำทำนายเรื่องกระดูกแห้ง ประกาศกเอเสเคียลกล่าวว่า “พระเจ้าตรัสดังนี้แก่กระดูกเหล่านี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำให้ลมหายใจเข้าไปในเจ้าและเจ้าจะมีชีวิต” (เอเสเคียล 37:5)

     “ลม” หรือ “ลมหายใจ” ในภาษาฮีบรูและกรีกมีความหมายเดียวกันกับ “จิต” (Spirit - רוּחַ - πνεῦμα)

     แปลว่า พระจิตเจ้าไม่เพียงมีส่วนในการสร้างโลกตั้งแต่เริ่มแรกเท่านั้น แต่ยังทรงมีส่วนในการสร้างใหม่และประทานชีวิตใหม่ (ให้แก่กระดูกแห้ง) อีกด้วย

     เพราะฉะนั้น พระเยซูเจ้าทรงประสูติมาพร้อมกับอำนาจที่จะประทานชีวิตใหม่แก่วิญญาณที่ตายไปเพราะบาป  พระองค์ทรงทำให้ความคิดและความปรารถนาที่จะทำดีของเราซึ่งตายไปแล้ว กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเราท้อแท้และสิ้นหวัง พระองค์สามารถบันดาลชีวิตใหม่ให้แก่เรา...

     ขอเพียงเราเชื้อเชิญและต้อนรับกุมารน้อยผู้มีนามว่า “อิมมานูเอล (Immanuel / Emmanuel - עִמָּנוּאֵל - Ἐμμανουήλ)” เข้ามาสถิตในจิตใจของเรา!!!

#คริสต์ #คาทอลิก #มัทธิว #พระวรสาร #พระกิตติคุณ #พระคัมภีร์ไบเบิล #พระคัมภีร์ #ไบเบิล #ทูตสวรรค์ #พระเยซูเจ้า #พระเยซู #พระกุมารเยซู #พระแม่มารีย์ #แม่พระ#นักบุญยอแซฟ #ยอแซฟ #โยเซฟ #ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ #บุตรบุญธรรม#catholic

CR. : https://www.facebook.com/share/p/CJb2rAMdopQsiCBX/?mibextid=WC7FNe
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่