JJNY : ตร.ออกหมายเรียกแจ้งข้อหาใหม่│กสม.เปิดผลสอบ‘9เคสอุ้มหาย’│หุ้นไทยปิดเช้าลบ 0.01 จุด│มูลค่าส่งออกพริกของเวียดนามสูง

ตร.ออกหมายเรียกแจ้งข้อหาใหม่ “เป้ ประชาไท-ยา ช่างภาพอิสระ” ข้อหาเป็น “ตัวการ” คดีไปทำข่าวพ่นสีกำแพงวัง
https://prachatai.com/journal/2024/06/109511

“เป้ ประชาไท” และ “ยา ช่างภาพอิสระ” ได้รับหมายเรียกจาก สน.พระราชวังให้ไปรับทราบข้อหาเพิ่มเติมในคดีที่เกิดจากเหตุพวกเขาไปทำข่าวนักกิจกรรมพ่นสีกำแพงวัง หลังอัยการสั่งให้ตำรวจสอบสวนเพิ่มและแจ้งข้อหาใหม่จากเดิมที่เป็น “ผู้สนับสนุน” มาเป็น “ตัวการ”
 
11 มิ.ย.2567 ณัฐพล เมฆโสภณ หรือ เป้ นักข่าวประชาไท และ ณัฐพล พันธ์พงษ์ศานนท์ หรือ ยา ช่างภาพอิสระ(อดีตช่างภาพของสำนักข่าวสเปซบาร์) แจ้งว่าพวกตนได้รับหมายเรียกจาก สน.พระราชวัง ให้ไปให้ปากคำและรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ในคดีที่พวกเขาไปทำข่าวนักกิจกรรมพ่นสีกำแพงวังเมื่อ 28 มี.ค. 2566
 
ทั้งนี้ในหมายเรียกดังกล่าวระบุว่าหลังจากตำรวจส่งสำนวนสอบสวนให้อัยการแล้ว ทางอัยการมีความเห็นให้ส่งสำนวนกลับให้ตำรวจทำการสอบสวนและแจ้งข้อหาเพิ่มเติมเป็นร่วมกันทำให้โบราณสถานเสียหายและเป็น “ตัวการ” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83
 
นอกจากในหมายดังกล่าวจะมีชื่อของทั้งสองคนแล้ว ยังระบุให้มีการแจ้งข้อหาเดียวกันนี้กับนักกิจกรรมอีกสองคนด้วยคือ นภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์  หรือ สายน้ำ และ ธนลภย์ พลัญชัย หรือ หยก ด้วย
 
แม้ว่าในหมายที่มีถึงเป้จะระบุให้เขาไปรายงานตัวในวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่งได้นำหมายเรียกดังกล่าวมามอบให้ที่บ้านพักอาศัยของเป้ในช่วงเช้าวันนี้ ส่วนหมายของยาที่ถูกส่งไว้ที่อยู่ตามภูมิลำเนาเดิมนั้นระบุไว้วันเดียวกันเช่นกัน
 
สำหรับคดีนี้ เมื่อ 12 ก.พ. 2567 ‘เป้’ ณัฐพล เมฆโสภณ ผู้สื่อข่าวประชาไท และ 'ยา' ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์ ช่างภาพข่าวอิสระ ถูกสืบนครบาลควบคุมตัวตามหมายจับ ข้อหา “ร่วมสนับสนุน ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งโบราณสถาน ขีด เขียน พ่นสี หรือทำให้ปรากฏด้วยประการใดๆ ซึ่งข้อความ ภาพ หรือรูปรอยใดๆ ที่กำแพงติดกับถนน หรืออยู่ในที่สาธารณะ” จากคดีรายงานข่าวพ่นสีกำแพงวัง โดยหมายออกเมื่อ 22 พ.ค. 2566 แต่เพิ่งมีการออกหมายจับหลังผ่านมา 8 เดือน
 
ทั้งเป้ และยา ถูกฝากขังเป็นเวลา 1 คืน โดยนักข่าวประชาไท ถูกฝากขังที่ สน.ฉลองกรุง และช่างภาพข่าวอิสระ ถูกฝากขังที่ สน.หลักสี่ ก่อนที่ในวันถัดมา (13 ก.พ.ที่ผ่านมา) สน.พระราชวัง ส่งตัวทั้ง 2 คนฝากขังที่ศาลอาญา รัชดาฯ โดยศาลอนุญาตฝากขัง และไม่ไต่สวนคัดค้านฝากขัง โดยในวันเดียวกัน ทั้ง 2 คนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยวางหลักทรัพย์ 35,000 บาท และมีเงื่อนไขห้ามกระทำผิดซ้ำ
 
คดีความดำเนินต่อไป จนกระทั่งเมื่อ 9 พ.ค. 2567 ตำรวจ สน.พระราชวัง นัด 3 ผู้ถูกกล่าวหา ได้แก่ ณัฐพล เมฆโสภณ ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์ และนภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ ส่งสำนวนคดีนี้ให้อัยการ ณ สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก กทม. และอัยการนัดฟังคำสั่งส่งฟ้องศาลคดีนี้ วันที่ 14 มิ.ย. 2567
 
อย่างไรก็ตาม ศูนย์ทนายฯ แจ้งผู้สื่อข่าวว่า ภายหลังทางอัยการได้ปัดตกข้อหาเดิมคือ ร่วมสนับสนุน ทำให้เสียหาย ทำลาย โบราณสถาน และให้ สน.พระราชวัง แจ้งข้อหาใหม่คือเป็น ‘ตัวการ’ ทำลายโบราณสถาน ร่วมกับ นภสินธุ์ และ ‘ยา’ ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์ ตามที่รายงานข้างต้น
 


กสม.เปิดผลสอบ ‘9เคสอุ้มหาย’ เชื่อได้ว่า จนท.รัฐมีส่วน แนะ ครม.เร่งให้สัตยาบันใน OPCAT
https://www.matichon.co.th/politics/news_4621486

กสม.เปิดผลสืบ ‘อุ้มหาย 9 เคส’ ในประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วน แนะ ครม.เร่งให้สัตยาบันใน OPCAT – ร้อง คกก.สืบจนรู้ตัวคนทำ

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่ห้องเสวนาชั้น 6 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงนำเสนอผลรายงานจากการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ‘กรณีการบังคับสูญหายบุคคลที่พำนักอาศัยในประเทศเพื่อนบ้าน 9 กรณี’ โดยมี น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นผู้นำเสนอ

บรรยากาศเวลา 13.10 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้เข้าร่วม ทั้งภาคีเครือข่าย ตัวแทนจากสถานทูตต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ทยอยเข้าร่วมรับฟังการเสวนาอย่างคึกคักจนแน่นห้องเสวนา โดยญาติของผู้สูญหาย ร่วมกันใส่เสื้อสีดำเพื่อร่วมไว้อาลัย โดยช่วงแรกเป็นการนำเสนอผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีบังคับสูญหายบุคคลที่พำนักอาศัยในประเทศเพื่อนบ้าน

ต่อมาเวลา 13.35 น. น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงรายงานผลการตรวจสอบว่า ทาง กสม. ได้ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนกรณีการบังคับสูญหายบุคคลที่พำนักอาศัยในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลี้ภัยทางการเมือง โดยจากการรวบรวมของทาง คณะกรรมการมหาวิทยาลัยศรีนวิโรจน์ประสานมิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี พบว่า ใน สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ผู้ถูกบังคับให้สูญหายจำนวน 7 รายยัง ไม่ทราบชะตากรรม และเสียชีวิต 2 รายระหว่างปี 2560-2564 ได้แก่

1. นายอิทธิพล สุขแป้น 2.นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ 3.นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ 4. นายชัชชาญ บุปผาวัลย์ (เสียชีวิต) 5. นายไกรเดช ลือเลิศ (ผู้เสียชีวิต) 6. นายชูชีพ ชีวะสุทธิ์ 7. นายกฤษณะ ทัพไทย 8. นายสยาม ธีรวุฒิ และ 9. นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ โดยผู้ร้องเห็นว่า รัฐบาลไทยเพิกเฉยในการติดตามผู้สูญหาย และไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ทำให้เชื่อได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญหายนั้น

โดยทาง กสม. ได้ตรวจสอบโดยพิจารณาจากเอกสาร พยานหลักฐาน หลักกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน ที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า 1. กรณีตามคำร้องนี้หน่วยงานของรัฐไม่ประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงและความคืบหน้าในการสืบสวนจนทราบชะตากรรมของบุคคลที่สูญหาย และ การดำเนินการสืบสวน เป็นไปอย่างล่าช้า อันกระทบต่อสิทธิในการรู้ความจริง (right to know the truth) ของ ญาติและครอบครัวของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายและเสียชีวิต

การบังคับให้บุคคลสูญหายถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่ได้รับรองและคุ้มครองไว้ตามรัฐธรรมนูญหรือหนังสือสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ตกเป็นเหยื่อ ครอบครัว และคนใกล้ชิด รวมทั้งสังคมโดยรวม รัฐจึงมีหน้าที่ในการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายเพื่อให้ทราบถึงสาเหตุของการสูญหายและนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ รวมถึงจะต้องชดเชยเยียวยาอย่างรอบด้าน ให้กับญาติหรือครอบครัวของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหาย ตามที่ระบุไว้ในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ICPPED) และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565” น.ส.ศยามล กล่าว

น.ส.ศยามลกล่าวต่อว่า ในพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 ยังไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ครอบคลุมถึงการเยียวยาด้านการเงินในกรณีการบังคับให้บุคคลสูญหาย ส่วนการชดเชยเยียวยาด้านอื่น ก็ไม่ปรากฏว่าหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการเช่นกัน ทำให้ญาติหรือครอบครัวของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายและเสียชีวิตตามคำร้องนี้ ยังไม่ได้รับการชดเชยเยียวยา

น.ส.ศยามลกล่าวต่อว่า แม้กรณีการสูญหายของบุคคลทั้ง 9 ราย ซึ่งต่อมาพบว่ามี 2 ราย เสียชีวิตแล้วนั้น จะยังไม่ปรากฏพยานหลักฐานอย่างชัดแจ้งว่าผู้ลงมือก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของบุคคลดังกล่าว ซึ่งหน่วยงานของรัฐได้มีการออกหมายจับ และพยายามติดตามตัวมาโดยตลอด รวมทั้งผู้ที่สูญหายมีจุดเกาะเกี่ยวที่เชื่อมโยงกันคือเป็นกลุ่มคนที่มีความเห็นต่างกับฝ่ายรัฐบาล ทำให้เชื่อได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปและเสียชีวิตของบุคคลทั้ง 9 รายนี้ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ การที่หน่วยงานของรัฐไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอในการสืบสวนสอบสวนติดตามหาตัวผู้กระทำความผิด หรือเพื่อให้ทราบชะตากรรมของผู้ถูกบังคับให้สูญหาย และละเลยการเยียวยาให้แก่ครอบครัวของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายและเสียชีวิต ย่อมถือเป็นการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. จึงมีข้อเสนอแนะต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการสูญหายและเสียชีวิตของบุคคลทั้ง 9 ราย จนกว่าจะทราบที่อยู่และชะตากรรมของผู้ถูกบังคับให้สูญหายและรู้ตัวผู้กระทำผิด พร้อมทั้งกำหนดมาตรการชดเชยเยียวยาให้แก่ญาติหรือครอบครัว และแจ้งผลการดำเนินการตลอดจนความคืบหน้าให้ญาติหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกบังคับให้สูญหายและเสียชีวิตทราบเป็นระยะ

นอกจากนี้ ยังให้เร่งรัดกำหนดนโยบายและมาตรการฟื้นฟูและเยียวยาด้านร่างกายและจิตใจแก่ผู้เสียหาย กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายด้านการเงินและจิตใจ รวมถึงการฟื้นฟูระยะยาวทางการแพทย์ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมกันนี้ ให้พัฒนาแนวทางหรือวิธีการสืบสวนกรณีคนไทยที่อาศัยอยู่นอกราชอาณาจักรไทยถูกกระทำทรมานหรือถูกบังคับให้หายสาบสูญ

กสม.ยังมีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี ให้เร่งให้สัตยาบันต่อพิธีสารเลือกรับของ อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (OPCAT) และให้มีการอนุวัติกฎหมายภายในประเทศตามพิธีสารดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งกลไกป้องกันการทรมานระดับชาติด้วย” น.ส.ศยามลกล่าว



หุ้นไทยปิดเช้าลบ 0.01 จุด วอลุ่ม 2.1 หมื่นล้าน แกว่งไซด์เวย์คล้ายภูมิภาครอลุ้นผลประชุมเฟด-จับตา Dot plot
https://siamrath.co.th/n/542935

SET ปิดช่วงเช้าวันนี้(11 มิ.ย.)ที่ 1,318.56 จุด ลดลง 0.01 จุด (0.00%) มูลค่าซื้อขายราว 21,590 ล้านบาท การซื้อขายช่วงเช้า ดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบ ทำระดับต่ำสุด 1,314.35 จุด และระดับสูงสุด 1,321.58 จุด
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทยเอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าที่ผ่านมาแกว่งตัวไซด์เวย์ออกข้างในกรอบแคบๆ ขณะที่ตลาดรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คืนวันพุธนี้ เพื่อติดตาม Dot Plot ว่าจะขยับจากเดิมที่คาดลดดอกเบี้ย 3 ครั้งปีนี้ ลงเหลือ 1 หรือ 2 ครั้งหรือไม่ เพราะจะมีผลต่อ sentiment ตลาดหุ้นที่นักลงทุนรออยู่ และตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ก็เคลื่อนไหวบวกและลบเล็กน้อยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยังมีปัจจัย Overhang จากคดีการเมืองที่ยังต้องรอความชัดเจน ทำให้นักลงทุนอาจจะยังชะลอการลงทุนในช่วงนี้ เพื่อรอใหุ่กประเด็นคลี่คลายลงก่อน ประกอบกับยังไม่มีปัจจัยหนุนใหม่เข้ามาหนุนดัชนี

สำหรับแนวโน้มในช่วงบ่ายคาดตลาดแกว่งในกรอบแคบต่อไป โดยให้แนวต้าน 1,330 จุด แนวรับ 1,310 จุด
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 994.79 ล้านบาท ปิดที่ 212.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท
 
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 971.31 ล้านบาท ปิดที่ 151.00 บาท ลดลง 1.00 บาท
LH มูลค่าการซื้อขาย 912.47 ล้านบาท ปิดที่ 6.15 บาท ลดลง 0.10 บาท
AOT มูลค่าการซื้อขาย 889.79 ล้านบาท ปิดที่ 60.25 บาท ลดลง 0.50 บาท
CPALL มูลค่าการซื้อขาย 684.15 ล้านบาท ปิดที่ 57.00 บาท ลดลง 0.50 บาท
 
#หุ้นไทย #ประชุมเฟด #Dotplot #ข่าววันนี้ #ดอกเบี้ย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่