แชร์ประสบการณ์ท้องลูกคนแรก (แต่เป็นแม่ลูก 2)

แชร์ประสบการณ์ท้องลูกคนแรก (แต่เป็นแม่ลูก 2)
       รูปประโยคอาจดูงงๆ หน่อย ท้องลูกคนแรก แล้วจะเป็นแม่ลูก 2 ได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ท้องลูกแฝด ได้สิค่ะ เพราะลูกคนที่ 1 เป็นลูกของน้องชายที่เราถือตัวเองเป็นแม่ อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ จนตอนนี้อายุ 14 ปีแล้ว ซึ่งพูดได้ว่าทำให้เรามีประสบการณ์การเลี้ยงลูกมาแล้ว 1 คน แต่ประสบการณ์การท้องนี่ เราพึ่งได้เรียนรู้ด้วยตัวเองก็ท้องลูกคนแรก วันนี้เลยอยากจะมาแชร์อาการต่างๆ ที่ตัวเราเป็น เผื่อเพื่อนๆ ที่กำลังท้องอยู่มีอาการคล้ายๆ เรา หรืออาจจะสงสัยอย่างที่เราเคยสงสัย ได้มาอ่านเพื่อให้หายสงสัย หายกังกลว่าไม่ได้เป็นคนเดียว😊 แชร์นี้ก็น่าจะพอมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่กำลังเป็นคุณแม่แหละ เพราะเราเชื่อว่าคุณแม่ทุกคนเป็นนักหาข้อมูล และนักอ่าน เจออะไรแปลกๆ(กับตัวเองนิดหน่อย) ก็เริ่มกังวล เริ่มหาข้อมูลแล้ว เพราะเราก็เป็น 555+ งั้นมาเริ่มกันเลยนะ

       เราแต่งงานปี 63 เริ่มปล่อยตอนปี 65 เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงแรกที่โควิดระบายหนักเราไม่สบายใจที่จะท้อง แต่พอเราเริ่มปล่อยใช้เวลาประมาณ 8-9 เดือนได้ เบบี้ก็มาสักที (กว่าจะมาเราก็ศึกษาวิธีนับวันไข่ตก ใช้ App นับวันเข้าช่วย ที่ตรวจไข่ตกเข้าช่วย แบบคนนับไม่ค่อยเป็น เน้นคิดว่าน่าจะวันนี้ และขยัน 555+) ซึ่งช่วง 4 – 5 เดือนหลัง เราก็ลุ้นกันทุกเดือนว่าจะมามั้ย มารึยัง ซึ่งพอแน่ใจแล้วว่าเดือนนี้ ปจด. ไม่มากแน่นอนเพราะผ่านมา 1 สัปดาห์ เนื่องจากถ้าปกติ ปจด. เลื่อน จะบวกลบแค่ไม่กี่วัน และอีกอย่างส่วนตัวรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนไปในบางอย่างในร่างกาย พอดีที่บ้านมีที่ตรวจครรภ์อยู่ 3 อัน(ต่างยี่ห้อ) เลยจัดการทำการตรวจปรากฎขึ้นมา 2 ขีด ตอนนั้นก็แอบงงๆ อยู่นะว่า ใช่ ใช่มั้ย เลยตรวจอีกอันก็ขึ้นมา 2 ขีด(ตรวจตอนก่อนนอน) ก่อนบอกให้คุณสามีรับทราบ จึงแอบตั้งกล้องเก็บไว้ให้คุณสามีดูพฤติกรรมตัวเอง คุณสามีแอบไม่แน่ใจบอกว่าไม่ใช่ที่ตรวจโควิดจริงๆ นะ 555+) ส่วนที่ตรวจอันที่ 3 เราเลยตรวจตอนเช้าเพื่อความชัวร์อีกครั้ง ก็ขึ้น 2 ขีดชัดเจน ซึ่งพอคุณสามีรู้ คุณพ่อ คุณแม่เรารู้ อาการแพ้ท้องก็เริ่มมา 

       อาการแรกที่รู้สึกคือแน่นท้องจุกๆ ต่อมาไม่นานมากก็รู้สึกเหมือนมีลมในท้องแต่ไม่ได้รู้สึกแน่นเหมือนอาการแรก จากนั้นไม่กี่วันก็เริ่มพะอืดพะอม ตัวช่วยที่ช่วยได้ ณ ตอนนั้นคือ ลูกอม กับยาดม คือต้องติดตัวตลอดเลย ขาดไม่ได้ แมสก็ไม่สามารถใส่ได้เลย ถ้าใส่คือหายใจไม่ออก น้ำก็ดื่มได้น้อยแบบน้อยมากๆ แค่จิบๆ อาการค่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ เริ่มอาเจียนออกมาเป็นลมบางเป็นอาหารบาง แต่การอาเจียนออกมาเป็นอาหารก็ไม่ได้ทุกมื้อ แต่มื้อหลักๆ เลยที่จะมีอาการก็จะเป็นมื้อเย็น จะมีอาการตอนก่อนจะเข้านอนเป็นเกือบทุกคืนหรือว่าทุกคืนก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังรู้สึกเพลีย อยากพัก ต้องเข้านอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม(ไม่ใช่เพราะง่วงนะ เลยเข้านอนเร็ว แต่อยากหลับเร็วๆ จะได้ไม่ต้องอาเจียน) จะหลับเร็วหลับช้าก็แล้วแต่วัน บางวันที่หลับช้าเพราะรู้สึกอึดอัดยังไงไม่รู้ นอนท่าไหนก็ไม่สบาย ต้องนอนแบบหมอน 2 ใบทับกันให้หัวสูงๆ หน่อย และอาการเบื่อหน้าผัวที่เขาชอบถามกันว่าเป็นมั้ยๆ เราเป็น แต่เราเป็นแบบไม่อยากอยู่ใกล้คุณสามี แบบนั่งติดกันไม่ได้รู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวก ทั้งๆ ที่ก่อนท้องไม่เป็น ชอบอยู่ใกล้ๆ แบบตัวติดกันด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ต้องนอนห่างกันคนละมุม ไม่อยากให้อยู่ใกล้แต่ต้องอยู่ในสายตาตลอดนะ 555+  อาการพวกนี้ทำให้เราอยากไปพบคุณหมอมากๆ แต่ก็อดทนไว้ เพราะจากการสอบถามกับทางโรงพยาบาล คุณหมอจะวินิจฉัยว่าเราท้องก็ต่อเมื่ออัลตราซาวด์แล้วพบอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งอายุครรภ์ก็จะอยู่ประมาณ 8 สัปดาห์ (การนับการตั้งครรภ์ เราก็นับเองตามข้อมูลในเว็บ **เราต้องจำวันแรกของ ปจด. ครั้งล่าสุดที่มาให้ได้ จากนั้นเราก็จะประมาณการได้** และตอนไปหาคุณหมอคำถามนี้จะเป็นคำถามแรกที่คุณหมอถามด้วยนะ) 

       ซึ่งเราก็ไปพบคุณหมอตอน 8 สัปดาห์พอดี ครั้งแรกที่พบคุณหมอ คุณหมอก็ทำการอัลตราซาวด์ผ่านทางช่องคลอด(ไม่รู้ว่าที่โรงพยาบาลอื่นตรวจแบบนี้เหมือนกันมั้ย) เราก็ได้เห็นต้าวก้อนน้อยๆ ในพุงผ่านจอใหญ่เท่าโทรทัศน์ ได้ยินเสียงหัวใจดวงน้อยๆ ถามว่าตื่นเต้น ตื้นตันมั้ยก็มีนะความรู้สึกแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับน้ำตาซึมอะไรเทือกนั้น อาจเป็นเพราะรอมาทุกเดือน บวกกับตอนนั้นมีอาการแพ้ท้องด้วย นอกจากซาวด์แล้ว ก็มีการกลืนน้ำตาลและเจาะเลือดไปตรวจอีก 2 หลอด เพื่อดูค่าน้ำตาลและตรวจดูว่าเรามีพาหะอะไรมั้ย ผลออกมาทุกอย่างปกติ ยกเว้นผลธาลัสซีเมีย มีพาหะนิดหน่อย แต่คุณหมอบอกว่าไม่เป็นอะไร (ผลตรวจเลือดบางอย่างคุณหมอโทรมาแจ้งภายหลัง ซึ่งธาลัสซีเมียเป็นหนึ่งในนั้น) คุณหมอให้ยาบำรุงมา 2 ตัว FOLIC  ACID TAB 5 MG กับ VITAMIN B6 TAB 50 MG + ยาแก้แพ้ DRAMAMINE TAB 50 MG มาอีก 1 ตัว คุณหมอบอกว่ายาแก้แพ้ ถ้ารู้สึกไม่ไหวก็กินได้ แต่เราพยายามจะไม่กิน พยายามอดทนเพื่อลูก แต่ก็มีได้อยู่ 2 ครั้งได้ เพราะคุณสามีสงสารไม่อยากให้ทน ตอนอาเจียนหนักๆ คือ หน้าแดง คอแดง ตัวแดงไปหมด คุณสามีเห็นก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แถมมันดูน่ากลัว กลัวว่าเราจะเป็นอะไร ช่วยอะไรเราไม่ได้นอกจากแค่ลูบหลังและค่อยพยุงตัว เราอาเจียนแบบหนักมากๆ หนักแบบอาการเค้นมาจากท้องแล้วเหมือนมาติดอยู่ที่คอ ซึ่งบางทีมันออกมาหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้ออกแล้วอะไรแบบนั้นอ่ะ มันทรมานมากจริงๆ นะ อาหารมื้อเย็นของเราส่วนใหญ่จะเน้นไปในทางน้ำๆ จืดๆ เน้นแบบถ้าจะออกก็ให้ออกแบบง่ายๆ แค่คิดก็ขนลุกแล้วอ่ะ ช่วงนี้ก็จะกินอาหารให้หลากหลายให้ได้มากที่สุด แต่กินได้มื้อละไม่ค่อยเยอะ ต้องกินถี่ขึ้นแบบทุกๆ 2 ชม. 
พอเข้า 10-11 สัปดาห์ อาการแพ้ในช่วงระหว่างวันก็ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย น้ำที่ดื่มไม่ค่อยลงก็พอจะกลับมาดื่มได้มากขึ้นด้วยการดื่มน้ำเย็นผสมน้ำแดงเฮลซ์บลูบอยให้พอมีกลิ่นมีรสนิดๆ(ได้เทคนิคมาจากแม่ๆ หลายๆ ท่านในเน็ต) ลูกอมก็ค่อยๆ ลดลงเพราะกลัวเรื่องน้ำตาล ยาดมที่ว่าขาดไม่ได้ตอนนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยอยากดมเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ยังต้องมีติดกระเป๋าไว้เผื่อฉุกเฉินอยู่นะ อาการที่เคยเป็นยังคงเป็นอยู่มากน้อยแล้วแต่วัน ส่วนอาการที่เพิ่มเติมเข้ามาอีกก็มีไม่น้อย ส่วนใหญ่จะเป็นการแพ้กลิ่น กลิ่นข้าวสวยร้อนๆ หรือที่หุงกำลังสุก กลิ่นอาหาร นมบางตัว กลิ่นไข่ทุกประเภท (ไข่ต้มนี่กินไม่ได้เลย) กลิ่นยาดม ยาหม่องบางยี่ห้อ 
       การนัดตรวจครรภ์ช่วงแรกๆ คุณหมอจะนัดเดือนละครั้ง ในสัปดาห์ที่ 12 ของการตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่น้ำหนักเราลดลงมากที่สุด จากที่ก่อนท้องเราหนัก 44 kg มาพบหมอครั้งแรกตอน 8 สัปดาห์ น้ำหนักลดลงมา 1 kg = น้ำหนักอยู่ที่ 43 kg แต่ 12 สัปดาห์น้ำหนักลดลงมาเหลือ 41.6 kg เพราะกินอะไรแถบไม่ได้เลย คุณหมอบอกว่าถ้าช่วงไหนกินได้เยอะก็พยายามกินให้เยอะๆ หน่อย การตรวจของคุณหมอก็จะมีการตรวจปัสสาวะ ตรวจดูยอดมดลูก ฟังเสียงหัวใจของเบบี้ ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าคุณหมอจะตรวจยังไงให้เราสบายใจว่าเบบี้ยังโอเค ยังอยู่กับพวกเราในทุกๆ วัน เพราะในทุกๆ วันรับรู้ได้จากอาการที่ยังแพ้ท้องอยู่ กับพุงที่ป่องหน่อยๆ เท่านั้น(ตอนนั้นไม่รู้ว่ามีเครื่องที่ใช้สำหรับฟังเสียงหัวใจจำหน่าย เป็นคุณแม่มือใหม่อ่ะนะ แถมแพ้ท้องอีกด้วย ไม่มีอารมณ์ทำอะไรนอกจากหาวิธีแก้อาการแพ้ท้องในแต่ละวัน^^') ช่วงนี้ size กระโปรง กางเกงเริ่มขยับขยายหน่อยแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ดูออกว่าเป็นคนท้อง แค่ดูเหมือนคนมีพุงน้อยๆ รอบนี้คุณหมอเป็นยาเป็น CALCIUM CARBONATE TAB 1,250 MG กับ FERLI-6 TAB + เสริมยา Aspirin tablet 81 mg ไปจนคลอดเลย (แต่ส่วน Aspirin คุณหมอแจ้งว่าจะให้หยุดประมาณสัปดาห์ที่ 30 กว่าๆ)

      พอก้าวเข้าสู่สัปดาห์ที่ 13-14 ของการตั้งครรภ์ อาการแพ้ที่อาเจียนค่อยๆ ดีขึ้น แทบจะไม่มีอาการแล้ว แต่ก็ยังมีบ้างที่รู้สึกเหมือนจะพะอืดพะอมแต่สามารถควบคุมได้ ส่วนปริมาณอาหารที่กินยังไม่สามารถกินเยอะได้ กินได้แค่พอรู้สึกว่าอิ่ม เพราะถ้ากินเยอะไปจะรู้สึกแน่นท้อง และต้องกินอาหารแบบช้าๆ และในสัปดาห์ที่ 14 ได้เดินทางไปคลินิกแหล่งหนึ่ง เพื่อไปตรวจคัดกรองโครโมโซน ซึ่งทางคุณหมอโรงพยาบาลที่ฝากท้องก็แนะนำให้ตรวจ เพราะกำหนดคลอดเราจะอยู่ในช่วงอายุ 35 ปี แต่จะตรวจกับทางโรงพยาบาล หรือตรวจที่อื่นก็ได้ ซึ่งเราเลือกตรวจที่คลินิกนี้ ปัจจัยหลักคือราคาและการเดินทาง ซึ่งก็ศึกษาข้อมูล สถานที่มาพอสมควร เอาที่น่าเชื่อถือ ราคากลางๆ และเดินทางสะดวก(ถึงแม้จะไกลออกไปหน่อย) คุณหมอที่คลินิกต้องทำการอัลตราซาวด์ก่อน เนื่องจากไม่ได้มีผลการซาวด์มาเกิน 2 สัปดาห์ ทำให้ครั้งนี้เราได้เห็นอ้ายต้าวผ่านทางจออีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เรารู้สึกดีใจ และตื่นเต้นยังไงบอกไม่ถูก เพราะอ้ายต้าวใน 8 สัปดาห์ที่เห็น โตขึ้นเยอะมากๆ เลย เห็นเป็นรูปเป็นทรงชัดเจนมากขึ้น และระยะเวลารอผลการตรวจไม่เกิน 14 วันทำการ ทางคลินิกจะเจาะเลือดเราไป 2 หลอด และจะแจ้งผลทาง Line มีเอกสารเป็นไฟล์ PDF ยืนยันผลการเข้ารับการตรวจให้ สามารถปริ้นออกมาให้กับทางโรงพยาบาลได้ แต่หากต้องการเอกสารตัวจริงก็สามารถเข้าไปรับได้ที่คลินิก ซึ่งผลการตรวจจะบอกทุกอย่างรวมถึงเพศของเบบี้ด้วย เราเลือกตรวจแบบ 23 คู่ โดยส่งแลป Thai NIPT ซึงผลการตรวจก็ออกมาปกติ มีความเสี่ยงต่ำ  
พอสัปดาห์ที่ 17 - 18 เริ่มมีความรู้สึกท้องกระตุกบ่อยๆ หรือเรียกอีกอย่างว่าตอด ช่วงนี้พอกินได้เยอะขึ้นกว่าเดิมแล้ว ดีใจ สบายใจจัง และในสัปดาห์ที่ 19 ทางโรงพยาบาลนัดอัลตราซาวด์โดยหมอเฉพาะทาง เป็นการอัลตราซาวด์ดูเบบี้อย่างละเอียด ซึ่งละเอียดจริงๆ อ้ายต้าวแอบคุณหมอนิดหน่อย แต่สุดท้ายคุณหมอก็ได้ตรวจครบทุกส่วน ทุกอย่างโอเคสมบูรณ์ดี (พอคุณหมอที่ฝากครรภ์ นัดวันอัลตราซาวด์ของรอบนี้ ก็มีคุยกับลูก พูดกับลูกทุกวันว่าให้คุณหมอได้ตรวจครบทุกส่วนนะ โชว์ทุกอย่างไม่ต้องแอบนะครับ โดยเฉพาะช้างน้อย ให้มี้กับพ่อๆ เห็นกับตาตัวเองนะลูก 555+)
พอ 20 สัปดาห์ คุณหมอก็เริ่มให้สังเกตการดิ้นของเบบี้ เบบี้ต้องดิ้นทุกวัน ซึ่งการดิ้นของเบบี้ช่วงนี้เราอาจจะยังไม่รู้สึกได้ทุกครั้ง แต่ใน 1 วันต้องมีรู้สึกบ้าง และจะรู้สึกถึงความเบบี้ดิ้นได้เพิ่มขึ้นทุกวันๆ และคุณหมอก็ให้นัดความถี่การดิ้นของลูกในอายุครรภ์ประมาณ 24 สัปดาห์ ซึ่งให้แบ่งเป็น 3 เวลา คือเช้า กลางวัน เย็น หลังกินข้าว รวม 1 วันต้องนับได้ไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง ซึ่งเรานับได้รวมกันไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง/วัน ตอนนี้ก็ผ่านมาได้ครึ่งทางแล้ว และอยู่ๆ เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคือ คุณสามีตรวจพบว่าเป็นโควิด ซึ่งตอนนั้นอายุครรภ์ได้ 27 สัปดาห์ ส่วนตัวเราก็มีความกังวล แอบเครียดว่าจะมีผลกระทบกับอ้ายต้าวมากๆ เท่าที่หาข้อมูลมาคนที่ตั้งครรภ์แล้วติดโควิด มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดได้ บวกกับตอนที่เราเป็นโควิดครั้งแรก ถึงแม้อาการจะไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ แต่ลองโควิดก็ใช่จะเล่นๆ เราไออยู่ประมาณ 1 เดือน มันไอแบบบางทีไม่สามารถหยุดได้ แล้วถ้ามีอาการแบบนี้ตอนนี้ไม่น่าจะดี 3 วันแรกหลังจากที่คุณสามีตรวจพบ เราตรวจแล้วยังขึ้น 1 ขีด แต่พอวันที่ 5 ตรวจเช็คอีกที ผลออกมา 2 ขีด แต่โชคดีที่แถบจะไม่มีอาการอะไรเลย จะมีแบบเหมือนจะไม่สบายนิดๆ อยู่แค่วันเดียว กินยาตามแพทย์สั่งไปประมาณ 2 มื้อ เลยเบาใจหน่อย พอหายก็ไปพบหมอตามนัด อ้ายต้าวก็ปกติทุกอย่างดี และหลังจากนี้คุณหมอจะนัดถี่ขึ้นเป็น 2 สัปดาห์ครั้งแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่