ผมถูกเลี้ยงมาด้วยความรัก มีผู้คนกล่าวว่าเขาล้วนแต่ห่วงใยผม เพราะเป็นหลานคนโต
ไม่เคยมีคำว่ารักออกจากปากของปู่เลย
‘ป้าดา’ ผู้ถ่ายรูปกับผมในวัยเยาว์ มันเป็นรูปที่ผมดูแล้วก็น่าจะรู้สึกเช่นนั้น...เป็นความรู้สึกที่ดี
“ตอนเด็กๆ ป้าต้องไปขายของ” ว่าแล้วก็ร่ำไห้ วันนั้นป้าดามาเที่ยวที่บ้านปู่พร้อมกับสามีของแก ‘ลุงโหวง’
นับตั้งแต่แกแต่งงานออกไปแกดูมีเกียรติและมีฐานะจนคนที่บ้านดูเหมือนยำเกรงเสมอ เป็นลูกสาวคนแรกของปู่ที่ท่านรักมาก แต่แต่งงานไปด้วยรูปแบบอันใด ผมก็เพิ่งมารู้ภายหลัง แต่เรื่องบางเรื่องไม่อาจพูดมันออกมาได้
แกทำน้ำตาไหลย้อยแพรวพราว แล้วก็บอกให้เราสั่งอาหาร
“สั่งสิ จะกินอะไร” คำพูดเหมือนเป็นคนใจกว้าง
ผมกระซิบ ‘ยี่หวา’ น้องสาวแท้ๆ ที่อายุห่างจากผมราวสี่ปี เธอบอกว่า “จะกินไข่ดาว”
ตอนนั้นผมอยู่เพียงชั้นประถม น้องสาวก็กำลังโต ลุงโหวงกับป้าดาดูเหมือนเป็นเศรษฐีสำหรับพวกเรามากในขณะนั้น พวกแกพาปู่ ย่า พ่อ แม่ และ ‘อาตุ่ย’ ไปด้วย วันนั้นอาตุ่ยพูดว่าเรานั้นบ้านนอก มาสั่งอาหารพรรค์นี้กิน
“ทำกินเองที่บ้านก็ได้” ป้าดาพูดด้วยยิ้มเจือแววเศรษฐี
ลุงโหวงเรียกให้ผมและยี่หวาเข้าไปหา ให้เงินครั้งละพัน
เป็นเงินพันในพุทธศักราชสองพันห้าร้อยสามสิบกว่าๆ เกือบจะสี่สิบ
“เรียกคุณพ่อซิ” ลุงโหวงกล่าว ดูอาตุ่ยครื้นเครงไปกับความเป็นเจ้าสัวที่ผมกลัวๆ ชอบกล
“คุณพ่อ” รอบแรกได้ไปพัน รอบสองเรียกก็ได้ไปอีกพัน รอบสามเรียกจนเบื่อ ผมก็เลยงอน ไม่อาจเรียกต่อ พ่อแม่ผมก็นั่งอยู่ที่ตรงนั้น เหมือนผมจะพูดอะไรไม่ออกไปโดยปริยาย
“คุณพ่อ” ยี่หวาเรียกจนได้ห้าพัน ผมได้เพียงสี่พัน
งอน...ไม่กล้าเรียกต่อ
ลุงโหวงคงคิดว่าเมื่อไม่เข้าหาก็คงได้เพียงเท่านั้น ป้าดาเลยเพิ่มให้ผมได้ห้าพันเท่าน้องสาว
“เอาไปเพิ่มให้ได้เท่ากันนะ” ป้าดาแกว่า น้ำตาผมหล่นบนตัก นั่งก้มหน้าร้องไห้ไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว
สุดท้ายหลังจากที่เรากลับบ้าน ย่าบอกว่าแกจะเก็บรักษาเงินพวกนั้นแทน...
พวกเขาเหล่านั้น ผู้เป็นพี่สาวคนโต เป็นน้องชายของพ่อ มักจะทำตัว “เหนือ” เสมอ
จากป้าดา ไปจน อาตุ่ย อายุบ
จนผมกับยี่หว่าชินไปตามๆ กัน ส่วนคนที่ปรามเรื่องโน่นนี่กับเรามากที่สุดเป็นย่า
ครั้งหนึ่งในวัย 13 ปีของผม
ผมได้พบเจอเรื่องแปลกที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องหนึ่ง
ในช่วงวันสงกรานต์ผมกับยี่หวามักจะพบปะกับญาติเสมอ
เด็กผู้หญิงสองคน คนหนึ่งอายุเท่ายี่หวา อีกคนอายุอ่อนกว่ายี่หวาราวๆ สี่ปี คนโตชื่อ ‘แฟบ’ คนเล็กชื่อ ‘ฉุ’
ผมกับยี่หวาดีใจเสมอที่ได้พบกับพวกเขา ทุกๆ เทศกาลมันคือความสนุกสนาน การที่ได้พบปะคนที่ครั้งหนึ่งเรา “เคย” เรียกว่าพี่น้อง ยามพบกันปรีดาสุดแสน ยามลาจากจิตใจหล่นวูบจนอยากจะร้องไห้
ปีนั้นเป็นปีที่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นปีที่ครื้นเครง
เริ่มต้นด้วยดีจากที่น้องแฟบและน้องฉุมาเล่นกับผมและยี่หวา พวกเขาเหล่านั้นปิดเทอมไวกว่าปกติ อยู่เล่นเจียวจาวกันได้ไม่กี่วัน ย่าก็มีแผนที่จะไป “เนินชานพระนคร” แล้วเมื่อล่วงเข้าต้นเมษาก็จะเดินทางไปอีกทิศหนึ่งของประเทศ เพื่อไปยังโรงงานของป้าดาที่ “ธราบุรี”
ผม ย่า อาตุ่ย แฟบ และฉุ เดินทางไปยังบ้านของอายุบผู้เป็นพ่อของแฟบและฉุ
การที่ผมได้กินข้าวหมูแดงหรือข้าวหมูกรอบ มันก็เป็นเรื่องที่แสนดีสำหรับผมแล้ว บางครั้งนั่งเล่นเกมส์ Playstation ของแฟบก็สนุกสนาน มันไม่มีมุมอะไรที่ทำให้ผมกังวลได้เลย
อีกอย่าง...มันคือความไม่รู้ที่ลึกดิ่งยิ่งกว่าไม่รู้เสียด้วยซ้ำ
ช่วงหนึ่งย่าพาไปเที่ยวบ้านญาติห่างๆ เขารักแฟบและฉุมาก ส่วนผมพอยกมือไหว้เขา เขากลับไม่แยแส
ในมุมของผมตอนนั้น...หลายคนคงชอบครอบครัวอายุบเพราะมองว่ากิจการค้าของอายุบนั้นดี มีกำไร และมีแนวโน้มบ่มเพาะให้เป็นเศรษฐีได้ แต่วันและคืนผ่านไปผมกลับไม่ได้มองอายุบในมุมหล่อเท่ห์เหมือนวันวาน ส่วนลูกๆ ของอายุบแกก็ได้รับการต้อนรับและเมตตาจากพวกญาติๆ ของอายุบเสมอ
แล้วผ่านไปเป็นอาทิตย์ ผมโดนฉุหยิกบ้างจนเลือดออก ได้กินไส้กรอกที่อาบวมไปซื้อมาให้ แล้วเวลาก็ผันผ่าน
ผมแทบจำไม่ได้ว่าเราเดินทางผ่านอะไรกันไปบ้าง อาตุ่ยเป็นคนขับรถไปธราบุรี ในรถคันนั้นก็ยังเป็นคันเดิมที่มีย่า แฟบ ฉุ และผม แล้วก็โลดแล่นจนถึงธราบุรี
ที่นั่นเราได้พบกับ ‘แผลผิว’ ลูกสาวของลุงโหวงที่แม่ของเขาไม่ใช่ป้าดา และ ‘ผุพัง’ พี่ชายของแผลผิว
เราเล่นแบดมินตันกันเป็นว่าเล่น ตรงลานใกล้ต้นมะขามเยื้องกับถนนส่วนบุคคลของโรงงาน ดูการ์ตูนจากโทรทัศน์ยามเช้า นั่งทำโน่นนี่มองผู้คนไปมา บางครั้งเราก็ได้ยินป้าดาด่าคนงาน
“อะไร นี่จะหยุดสงกรานต์กันแล้วหรือ แล้วใครจะมาทำงานที่นี่ช่วงนั้นล่ะ” แกบ่นของแกเช่นนี้เสมอ เพราะทุกๆ วันเป็นวันทำงาน คนที่ทำงานได้แบบไม่ลืมหูลืมตาได้อย่างดีจนแกด่าว่าไม่ได้ก็คงมี ‘ป้าไห’ กับ ‘ลุงหมื่น’
ป้าดามักพูดเสมอว่าคนงานไม่ขยัน ทำโน่นนั่นไม่ดีแล้วชอบเรียกค่าแรงแพงๆ ในเวลาของพุทธศักราชสองพันห้าร้อยสี่สิบกว่าๆ ตอนนั้น ถ้าจำไม่ผิดคนงานได้เดือนละไม่เกินสามพัน
ผุพัง เป็นคนผอมแห้ง ไว้หนวดหรอมแหรม ชอบออกไปไหนต่อไหนในตอนกลางคืนและหลับในเวลากลางวัน ผมเห็นเขามาขอเบิกเงินวันละครั้ง โดยที่ย่าเป็นคนหยิบเงินให้ เงินนั้นจะอยู่ในลิ้นชักโต๊ะของออฟฟิศที่ภายในติดเครื่องปรับอากาศ ภายนอกล้อมไปด้วยเศษซากของโรงงานอันรุ่งเรืองในยุคเก่า อาตุ่ยมักจะหายไปเป็นวันเพื่อทำงานพิเศษที่นั่น และคนที่เอาเงินฝากป้าดาเป็นปึกไว้เพื่อให้ย่าเป็นคนหยิบให้ผุพังก็คงเป็นลุงโหวง
“ย่า ขอเบิกเบี้ยเลี้ยง” ผุพังพูดแบบนี้ทุกๆ วัน ย่าจะหยิบแบงก์ม่วงมูลค่า 500 บาท ให้เสมอ
บางครั้งเราก็ไปแวะซื้อของที่ห้างกับย่าและอาตุ่ย บางครั้งเราก็ไปหาเก็บมะม่วงให้ย่านำมาเป็นวัตถุดิบเพื่อใส่ในน้ำพริกกะปิ และในวันเวลาเหล่านั้นย่าจะเป็นผู้ทำอาหารให้กินเสมอ มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราได้กินอาหารที่ย่าทำ และก็เป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน
ยี่หวาตามพวกเรามาทีหลัง โดยติดรถมากับอายุบกับอาบวมไปลงที่เนินชานพระนคร อยู่ที่เนินชานพระนครได้ไม่กี่วันก็มายังธราบุรี ยี่หวายังเคยบ่นว่าเบื่อ นั่งมองดูรถวิ่งแล่นไปมาจนเวียนหัว
แฟบกับฉุก็คงคุยอะไรบางอย่างกับพ่อแม่ของพวกเขา และอาบวมคงจะทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ให้แฟบไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
ยี่หว่าเล่นแบดมินตันอีท่าไหนไม่รู้ ลูกขนไก่ไปโดนหัวแผลผิวซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสุดท้ายแผลผิวทนไม่ไหว เผยนิสัยเด็กออกมา ตียี่หว่าโดยไม่มีเหตุผล ผมในใจก็ไม่ค่อยพอใจนัก คิดอยู่ว่าคนเราเอาหัวไปโดนลูกขนไก่เองยังโทษคนอื่น แล้วอายุอานามของแผลผิวก็เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้วยังมาเอาเรื่องกับเด็กชั้นประถม ขณะนั้นผมเรียนมัธยมต้นแล้ว แผลผิวแก่กว่าผมหลายปี
ต่อมาผมก็ไม่รู้ว่าแผลผิวมันมีเล่ห์กลอะไร มันให้ผมเอาอาหารที่มันทำไปให้ลุงโหวง พอผมเอาไปให้ลุงโหวงแกก็ไม่ใส่ใจ บางครั้งมันใช้ให้ผมหาน้ำเย็นมา พอลุงโหวงมามันก็รีบเอาน้ำไปให้พ่อของมันเอง ผมไม่เข้าใจเลยว่าจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร เท่าที่ผมเห็น...ลุงโหวงรักแผลผิวมาก
มีอยู่วันหนึ่งยี่หว่าไปแตะต้องโทรศัพท์ของแผลผิวเข้า พอมันรู้มันบ้าถึงที่สุด หาโอกาสตียี่หวาจนร้องไห้แล้วก็มานั่งเทศนาหาเหตุผลว่ามันพูดเพราะสอน ใบหน้าอ้วนๆ ที่มีสิวขึ้นเต็ม มันอุบาทว์ทั้งภายนอกและภายใน บางครั้งมันใช้ให้ผมไปเปิดไฟทั่วบ้านโดยการสับคัทเอาท์ เป็นคัทเอาท์แบบไม่มีอะไรหุ้มเลย ไฟมันจะแลบอยู่เสมอ ผมกลัวไฟดูดเลยไม่อยากไปทำ มันทั้งดึงหู ขู่ผม หยิกบิดเนื้อเอาดื้อๆ แต่ที่มันไม่เคยลงไม้ลงมือเลยก็คือแฟบและฉุ
ผมอยู่ในความตึงในสถานการณ์นั้นหลายเวลา
บางครั้งรายการตลกตอนกลางวันก็แสดงเรื่องผีกระสือขึ้นมาให้ผมต้องเดินเลี่ยง
ปะปนไปกับเรื่องของผุพังที่ทำกร่างขึ้นมาทุกวัน บางครั้งก็เอาเกมส์เพลย์ (สเตชั่น) มาวางที่ออฟฟิศให้ผมเล่น นานๆ ก็ชวนผมขึ้นไปเล่นที่ห้องเขา ผุพังสูบบุหรี่เสียควันคลุ้ง ย่าผมเลยให้เลี่ยงเต็มที่ แต่ผุพังก็ยังมาทำกร่างอยู่อย่างนั้นหลายเวลา
ผมยังคงเดินเลี่ยงรายการโทรทัศน์ที่แสดงเรื่องผีกระสืออย่างสนุกสนานด้วยความกลัวจับใจ เลี่ยงมายืนใต้ต้นมะขามราวครึ่งชั่วโมงทุกวันจนครบสัปดาห์ มันยาวนานมากสำหรับผม และในบางค่ำคืนผมก็มาดูดาวบนท้องฟ้าแถวๆ ใต้ต้นมะขามเดิมนั้น บ้างก็มียี่หวามายืนเล่นด้วย ผมคิดถึงปู่มาก คิดถึงที่พึ่งที่สุดในชีวิต คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ แต่พวกผู้ใหญ่ยังไม่กลับก็ไม่อาจกลับเองได้
สถานการณ์ตึงเครียดเริ่มปะทุขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผุพังลากคอ ‘ลุงหมื่น’ มาหน้าออฟฟิศ ผลักอก หาเรื่องด่าทอต่อหน้าย่าและพวกเด็กๆ และมันก็ยังเป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ ราวสัปดาห์กว่าๆ ไม่มีใครสนใจสถานการณ์ร้ายนั้น ทั้งอาตุ่ยที่ไม่กล้าต่อกรกับแผลผิวเพราะเกรงใจลุงโหวง ทั้งป้าดาที่ไม่หยี่หระต่อเหตุการณ์นั้น ทั้งลุงโหวงที่วันๆ เอาแต่อยู่กับการชนไก่
แฟบเป็นคนรู้สถานการณ์ “เอาตัวรอด” ได้ดีที่สุด ผมเพิ่งรู้ตอนที่ผมโตแล้ว ว่าทำไมตอนนั้นแฟบกดโทรศัพท์คุยกับใครสักคน แล้วอายุบกับอาบวมก็รีบมารับแฟบและฉุไป
ผมกับยี่หวาเศร้า เรายังคงเล่นกันต่อไปเพียงสองคน
ย่าชอบพูดลอยๆ กับป้าดาว่า “กลัวป้าดาจะโดนทำร้าย”
ป้าดาทำได้แต่หัวเราะ “ถ้ามันมาทำร้ายเรา ก็ไม้หน้าสามฟาดเข้าสิ”
ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผุพังมันเป็นไปถึงขนาดไหน จะมีสิ่งเสพติดใดเกี่ยวหรือไม่ผมก็ไม่อาจทราบ รู้แต่เพียงว่ากลางคืนก็ออกไป กลางวันก็หลับอยู่บ้าน กะหรี่พัฟเจ้าดังที่ย่าแวะซื้อกลางทางก็ถูกมันกินหมด ผมได้กินเพียงไม่กี่ลูกเท่านั้น
เรื่องราวมันเลยเถิดเหมือนกับว่า พวกมัน...สองพี่น้อง แผลผิว กับ ผุพัง มันกำลังเล่นจิตวิทยากับพวกเรา
ผมไม่รู้ความขัดแย้งของพวกนั้นมาก่อน ป้าดาก็ไม่ใช่แม่แท้ๆ ที่จะห้ามปรามพวกมันได้ด้วยซ้ำ
ผมได้แต่ท้อใจ มันไม่มีอะไรสนุกเหมือนแต่ก่อน มาคราวแรกเรามีเพื่อนเล่นเยอะ มีพิมพ์ดีดเก่าๆ ให้ฝึกพิมพ์ มีเทปเพลงบ้าๆ บอๆ ให้เอาใส่วิทยุฟัง
แต่คราวนี้ทุกอย่างมันเลือนหายหมด
เราไม่ได้ไปนั่งสุมหัว ดูภาพประวัติตระกูลของลุงโหวงอย่างสนุกสนานเหมือนดั่งวันก่อนๆ
ผุพังลากตัวลุงหมื่นนั่งรถมาด้วย แล้วก็เหยียบเบรกจนแสบแก้วหู ลากลงมาต่อหน้าย่ากับพวกผมและน้อง ตะโกนโหวกเหวกท้าต่อยลุงหมื่นที่ร่างกำยำและบึกบึนไปด้วยมัดกล้าม ด่าทอลุงหมื่นทั้งที่เขาก็ตั้งใจทำมาหากินอย่างดี ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุผลที่ทะเลาะกันคืออะไร ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าศักดิ์ของการเป็นลูกลุงโหวงจะมีสิทธิ์ในการด่าทอคนงานซื่อๆ คนหนึ่งที่หาเช้ากินค่ำ แต่ผมพอเข้าใจว่า “พวกมัน” เล็งผลการกระทบกระทั่งทางจิตใจให้เกิดกับย่าของผม
ในออฟฟิศกระจกที่มองไปด้านนอกได้อย่างชัดเจนนั้น ผมเห็นย่าที่นั่งอยู่ในออฟฟิศเงียบไป นั่งเก้าอี้เบาะไม่มีพนักพิง ย่าค่อยๆ ถอยจนหลังชิดมุมกำแพงออฟฟิศ จมอยู่ในความคิดอันเงียบงันที่แสนน่ากลัวนั้น
ผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ ตอนเย็นของวันนั้นยี่หวาก็ไปเล่นตามประสาเด็ก ผมอาบน้ำและร้องเพลงอยู่ในห้องน้ำอันโกโรโกโส แล้วผมก็ตกใจเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกัน
ถ้อยวาทีของปีศาจ
ไม่เคยมีคำว่ารักออกจากปากของปู่เลย
‘ป้าดา’ ผู้ถ่ายรูปกับผมในวัยเยาว์ มันเป็นรูปที่ผมดูแล้วก็น่าจะรู้สึกเช่นนั้น...เป็นความรู้สึกที่ดี
“ตอนเด็กๆ ป้าต้องไปขายของ” ว่าแล้วก็ร่ำไห้ วันนั้นป้าดามาเที่ยวที่บ้านปู่พร้อมกับสามีของแก ‘ลุงโหวง’
นับตั้งแต่แกแต่งงานออกไปแกดูมีเกียรติและมีฐานะจนคนที่บ้านดูเหมือนยำเกรงเสมอ เป็นลูกสาวคนแรกของปู่ที่ท่านรักมาก แต่แต่งงานไปด้วยรูปแบบอันใด ผมก็เพิ่งมารู้ภายหลัง แต่เรื่องบางเรื่องไม่อาจพูดมันออกมาได้
แกทำน้ำตาไหลย้อยแพรวพราว แล้วก็บอกให้เราสั่งอาหาร
“สั่งสิ จะกินอะไร” คำพูดเหมือนเป็นคนใจกว้าง
ผมกระซิบ ‘ยี่หวา’ น้องสาวแท้ๆ ที่อายุห่างจากผมราวสี่ปี เธอบอกว่า “จะกินไข่ดาว”
ตอนนั้นผมอยู่เพียงชั้นประถม น้องสาวก็กำลังโต ลุงโหวงกับป้าดาดูเหมือนเป็นเศรษฐีสำหรับพวกเรามากในขณะนั้น พวกแกพาปู่ ย่า พ่อ แม่ และ ‘อาตุ่ย’ ไปด้วย วันนั้นอาตุ่ยพูดว่าเรานั้นบ้านนอก มาสั่งอาหารพรรค์นี้กิน
“ทำกินเองที่บ้านก็ได้” ป้าดาพูดด้วยยิ้มเจือแววเศรษฐี
ลุงโหวงเรียกให้ผมและยี่หวาเข้าไปหา ให้เงินครั้งละพัน
เป็นเงินพันในพุทธศักราชสองพันห้าร้อยสามสิบกว่าๆ เกือบจะสี่สิบ
“เรียกคุณพ่อซิ” ลุงโหวงกล่าว ดูอาตุ่ยครื้นเครงไปกับความเป็นเจ้าสัวที่ผมกลัวๆ ชอบกล
“คุณพ่อ” รอบแรกได้ไปพัน รอบสองเรียกก็ได้ไปอีกพัน รอบสามเรียกจนเบื่อ ผมก็เลยงอน ไม่อาจเรียกต่อ พ่อแม่ผมก็นั่งอยู่ที่ตรงนั้น เหมือนผมจะพูดอะไรไม่ออกไปโดยปริยาย
“คุณพ่อ” ยี่หวาเรียกจนได้ห้าพัน ผมได้เพียงสี่พัน
งอน...ไม่กล้าเรียกต่อ
ลุงโหวงคงคิดว่าเมื่อไม่เข้าหาก็คงได้เพียงเท่านั้น ป้าดาเลยเพิ่มให้ผมได้ห้าพันเท่าน้องสาว
“เอาไปเพิ่มให้ได้เท่ากันนะ” ป้าดาแกว่า น้ำตาผมหล่นบนตัก นั่งก้มหน้าร้องไห้ไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว
สุดท้ายหลังจากที่เรากลับบ้าน ย่าบอกว่าแกจะเก็บรักษาเงินพวกนั้นแทน...
พวกเขาเหล่านั้น ผู้เป็นพี่สาวคนโต เป็นน้องชายของพ่อ มักจะทำตัว “เหนือ” เสมอ
จากป้าดา ไปจน อาตุ่ย อายุบ
จนผมกับยี่หว่าชินไปตามๆ กัน ส่วนคนที่ปรามเรื่องโน่นนี่กับเรามากที่สุดเป็นย่า
ครั้งหนึ่งในวัย 13 ปีของผม
ผมได้พบเจอเรื่องแปลกที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องหนึ่ง
ในช่วงวันสงกรานต์ผมกับยี่หวามักจะพบปะกับญาติเสมอ
เด็กผู้หญิงสองคน คนหนึ่งอายุเท่ายี่หวา อีกคนอายุอ่อนกว่ายี่หวาราวๆ สี่ปี คนโตชื่อ ‘แฟบ’ คนเล็กชื่อ ‘ฉุ’
ผมกับยี่หวาดีใจเสมอที่ได้พบกับพวกเขา ทุกๆ เทศกาลมันคือความสนุกสนาน การที่ได้พบปะคนที่ครั้งหนึ่งเรา “เคย” เรียกว่าพี่น้อง ยามพบกันปรีดาสุดแสน ยามลาจากจิตใจหล่นวูบจนอยากจะร้องไห้
ปีนั้นเป็นปีที่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นปีที่ครื้นเครง
เริ่มต้นด้วยดีจากที่น้องแฟบและน้องฉุมาเล่นกับผมและยี่หวา พวกเขาเหล่านั้นปิดเทอมไวกว่าปกติ อยู่เล่นเจียวจาวกันได้ไม่กี่วัน ย่าก็มีแผนที่จะไป “เนินชานพระนคร” แล้วเมื่อล่วงเข้าต้นเมษาก็จะเดินทางไปอีกทิศหนึ่งของประเทศ เพื่อไปยังโรงงานของป้าดาที่ “ธราบุรี”
ผม ย่า อาตุ่ย แฟบ และฉุ เดินทางไปยังบ้านของอายุบผู้เป็นพ่อของแฟบและฉุ
การที่ผมได้กินข้าวหมูแดงหรือข้าวหมูกรอบ มันก็เป็นเรื่องที่แสนดีสำหรับผมแล้ว บางครั้งนั่งเล่นเกมส์ Playstation ของแฟบก็สนุกสนาน มันไม่มีมุมอะไรที่ทำให้ผมกังวลได้เลย
อีกอย่าง...มันคือความไม่รู้ที่ลึกดิ่งยิ่งกว่าไม่รู้เสียด้วยซ้ำ
ช่วงหนึ่งย่าพาไปเที่ยวบ้านญาติห่างๆ เขารักแฟบและฉุมาก ส่วนผมพอยกมือไหว้เขา เขากลับไม่แยแส
ในมุมของผมตอนนั้น...หลายคนคงชอบครอบครัวอายุบเพราะมองว่ากิจการค้าของอายุบนั้นดี มีกำไร และมีแนวโน้มบ่มเพาะให้เป็นเศรษฐีได้ แต่วันและคืนผ่านไปผมกลับไม่ได้มองอายุบในมุมหล่อเท่ห์เหมือนวันวาน ส่วนลูกๆ ของอายุบแกก็ได้รับการต้อนรับและเมตตาจากพวกญาติๆ ของอายุบเสมอ
แล้วผ่านไปเป็นอาทิตย์ ผมโดนฉุหยิกบ้างจนเลือดออก ได้กินไส้กรอกที่อาบวมไปซื้อมาให้ แล้วเวลาก็ผันผ่าน
ผมแทบจำไม่ได้ว่าเราเดินทางผ่านอะไรกันไปบ้าง อาตุ่ยเป็นคนขับรถไปธราบุรี ในรถคันนั้นก็ยังเป็นคันเดิมที่มีย่า แฟบ ฉุ และผม แล้วก็โลดแล่นจนถึงธราบุรี
ที่นั่นเราได้พบกับ ‘แผลผิว’ ลูกสาวของลุงโหวงที่แม่ของเขาไม่ใช่ป้าดา และ ‘ผุพัง’ พี่ชายของแผลผิว
เราเล่นแบดมินตันกันเป็นว่าเล่น ตรงลานใกล้ต้นมะขามเยื้องกับถนนส่วนบุคคลของโรงงาน ดูการ์ตูนจากโทรทัศน์ยามเช้า นั่งทำโน่นนี่มองผู้คนไปมา บางครั้งเราก็ได้ยินป้าดาด่าคนงาน
“อะไร นี่จะหยุดสงกรานต์กันแล้วหรือ แล้วใครจะมาทำงานที่นี่ช่วงนั้นล่ะ” แกบ่นของแกเช่นนี้เสมอ เพราะทุกๆ วันเป็นวันทำงาน คนที่ทำงานได้แบบไม่ลืมหูลืมตาได้อย่างดีจนแกด่าว่าไม่ได้ก็คงมี ‘ป้าไห’ กับ ‘ลุงหมื่น’
ป้าดามักพูดเสมอว่าคนงานไม่ขยัน ทำโน่นนั่นไม่ดีแล้วชอบเรียกค่าแรงแพงๆ ในเวลาของพุทธศักราชสองพันห้าร้อยสี่สิบกว่าๆ ตอนนั้น ถ้าจำไม่ผิดคนงานได้เดือนละไม่เกินสามพัน
ผุพัง เป็นคนผอมแห้ง ไว้หนวดหรอมแหรม ชอบออกไปไหนต่อไหนในตอนกลางคืนและหลับในเวลากลางวัน ผมเห็นเขามาขอเบิกเงินวันละครั้ง โดยที่ย่าเป็นคนหยิบเงินให้ เงินนั้นจะอยู่ในลิ้นชักโต๊ะของออฟฟิศที่ภายในติดเครื่องปรับอากาศ ภายนอกล้อมไปด้วยเศษซากของโรงงานอันรุ่งเรืองในยุคเก่า อาตุ่ยมักจะหายไปเป็นวันเพื่อทำงานพิเศษที่นั่น และคนที่เอาเงินฝากป้าดาเป็นปึกไว้เพื่อให้ย่าเป็นคนหยิบให้ผุพังก็คงเป็นลุงโหวง
“ย่า ขอเบิกเบี้ยเลี้ยง” ผุพังพูดแบบนี้ทุกๆ วัน ย่าจะหยิบแบงก์ม่วงมูลค่า 500 บาท ให้เสมอ
บางครั้งเราก็ไปแวะซื้อของที่ห้างกับย่าและอาตุ่ย บางครั้งเราก็ไปหาเก็บมะม่วงให้ย่านำมาเป็นวัตถุดิบเพื่อใส่ในน้ำพริกกะปิ และในวันเวลาเหล่านั้นย่าจะเป็นผู้ทำอาหารให้กินเสมอ มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราได้กินอาหารที่ย่าทำ และก็เป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน
ยี่หวาตามพวกเรามาทีหลัง โดยติดรถมากับอายุบกับอาบวมไปลงที่เนินชานพระนคร อยู่ที่เนินชานพระนครได้ไม่กี่วันก็มายังธราบุรี ยี่หวายังเคยบ่นว่าเบื่อ นั่งมองดูรถวิ่งแล่นไปมาจนเวียนหัว
แฟบกับฉุก็คงคุยอะไรบางอย่างกับพ่อแม่ของพวกเขา และอาบวมคงจะทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ให้แฟบไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
ยี่หว่าเล่นแบดมินตันอีท่าไหนไม่รู้ ลูกขนไก่ไปโดนหัวแผลผิวซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสุดท้ายแผลผิวทนไม่ไหว เผยนิสัยเด็กออกมา ตียี่หว่าโดยไม่มีเหตุผล ผมในใจก็ไม่ค่อยพอใจนัก คิดอยู่ว่าคนเราเอาหัวไปโดนลูกขนไก่เองยังโทษคนอื่น แล้วอายุอานามของแผลผิวก็เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้วยังมาเอาเรื่องกับเด็กชั้นประถม ขณะนั้นผมเรียนมัธยมต้นแล้ว แผลผิวแก่กว่าผมหลายปี
ต่อมาผมก็ไม่รู้ว่าแผลผิวมันมีเล่ห์กลอะไร มันให้ผมเอาอาหารที่มันทำไปให้ลุงโหวง พอผมเอาไปให้ลุงโหวงแกก็ไม่ใส่ใจ บางครั้งมันใช้ให้ผมหาน้ำเย็นมา พอลุงโหวงมามันก็รีบเอาน้ำไปให้พ่อของมันเอง ผมไม่เข้าใจเลยว่าจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร เท่าที่ผมเห็น...ลุงโหวงรักแผลผิวมาก
มีอยู่วันหนึ่งยี่หว่าไปแตะต้องโทรศัพท์ของแผลผิวเข้า พอมันรู้มันบ้าถึงที่สุด หาโอกาสตียี่หวาจนร้องไห้แล้วก็มานั่งเทศนาหาเหตุผลว่ามันพูดเพราะสอน ใบหน้าอ้วนๆ ที่มีสิวขึ้นเต็ม มันอุบาทว์ทั้งภายนอกและภายใน บางครั้งมันใช้ให้ผมไปเปิดไฟทั่วบ้านโดยการสับคัทเอาท์ เป็นคัทเอาท์แบบไม่มีอะไรหุ้มเลย ไฟมันจะแลบอยู่เสมอ ผมกลัวไฟดูดเลยไม่อยากไปทำ มันทั้งดึงหู ขู่ผม หยิกบิดเนื้อเอาดื้อๆ แต่ที่มันไม่เคยลงไม้ลงมือเลยก็คือแฟบและฉุ
ผมอยู่ในความตึงในสถานการณ์นั้นหลายเวลา
บางครั้งรายการตลกตอนกลางวันก็แสดงเรื่องผีกระสือขึ้นมาให้ผมต้องเดินเลี่ยง
ปะปนไปกับเรื่องของผุพังที่ทำกร่างขึ้นมาทุกวัน บางครั้งก็เอาเกมส์เพลย์ (สเตชั่น) มาวางที่ออฟฟิศให้ผมเล่น นานๆ ก็ชวนผมขึ้นไปเล่นที่ห้องเขา ผุพังสูบบุหรี่เสียควันคลุ้ง ย่าผมเลยให้เลี่ยงเต็มที่ แต่ผุพังก็ยังมาทำกร่างอยู่อย่างนั้นหลายเวลา
ผมยังคงเดินเลี่ยงรายการโทรทัศน์ที่แสดงเรื่องผีกระสืออย่างสนุกสนานด้วยความกลัวจับใจ เลี่ยงมายืนใต้ต้นมะขามราวครึ่งชั่วโมงทุกวันจนครบสัปดาห์ มันยาวนานมากสำหรับผม และในบางค่ำคืนผมก็มาดูดาวบนท้องฟ้าแถวๆ ใต้ต้นมะขามเดิมนั้น บ้างก็มียี่หวามายืนเล่นด้วย ผมคิดถึงปู่มาก คิดถึงที่พึ่งที่สุดในชีวิต คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ แต่พวกผู้ใหญ่ยังไม่กลับก็ไม่อาจกลับเองได้
สถานการณ์ตึงเครียดเริ่มปะทุขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผุพังลากคอ ‘ลุงหมื่น’ มาหน้าออฟฟิศ ผลักอก หาเรื่องด่าทอต่อหน้าย่าและพวกเด็กๆ และมันก็ยังเป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ ราวสัปดาห์กว่าๆ ไม่มีใครสนใจสถานการณ์ร้ายนั้น ทั้งอาตุ่ยที่ไม่กล้าต่อกรกับแผลผิวเพราะเกรงใจลุงโหวง ทั้งป้าดาที่ไม่หยี่หระต่อเหตุการณ์นั้น ทั้งลุงโหวงที่วันๆ เอาแต่อยู่กับการชนไก่
แฟบเป็นคนรู้สถานการณ์ “เอาตัวรอด” ได้ดีที่สุด ผมเพิ่งรู้ตอนที่ผมโตแล้ว ว่าทำไมตอนนั้นแฟบกดโทรศัพท์คุยกับใครสักคน แล้วอายุบกับอาบวมก็รีบมารับแฟบและฉุไป
ผมกับยี่หวาเศร้า เรายังคงเล่นกันต่อไปเพียงสองคน
ย่าชอบพูดลอยๆ กับป้าดาว่า “กลัวป้าดาจะโดนทำร้าย”
ป้าดาทำได้แต่หัวเราะ “ถ้ามันมาทำร้ายเรา ก็ไม้หน้าสามฟาดเข้าสิ”
ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผุพังมันเป็นไปถึงขนาดไหน จะมีสิ่งเสพติดใดเกี่ยวหรือไม่ผมก็ไม่อาจทราบ รู้แต่เพียงว่ากลางคืนก็ออกไป กลางวันก็หลับอยู่บ้าน กะหรี่พัฟเจ้าดังที่ย่าแวะซื้อกลางทางก็ถูกมันกินหมด ผมได้กินเพียงไม่กี่ลูกเท่านั้น
เรื่องราวมันเลยเถิดเหมือนกับว่า พวกมัน...สองพี่น้อง แผลผิว กับ ผุพัง มันกำลังเล่นจิตวิทยากับพวกเรา
ผมไม่รู้ความขัดแย้งของพวกนั้นมาก่อน ป้าดาก็ไม่ใช่แม่แท้ๆ ที่จะห้ามปรามพวกมันได้ด้วยซ้ำ
ผมได้แต่ท้อใจ มันไม่มีอะไรสนุกเหมือนแต่ก่อน มาคราวแรกเรามีเพื่อนเล่นเยอะ มีพิมพ์ดีดเก่าๆ ให้ฝึกพิมพ์ มีเทปเพลงบ้าๆ บอๆ ให้เอาใส่วิทยุฟัง
แต่คราวนี้ทุกอย่างมันเลือนหายหมด
เราไม่ได้ไปนั่งสุมหัว ดูภาพประวัติตระกูลของลุงโหวงอย่างสนุกสนานเหมือนดั่งวันก่อนๆ
ผุพังลากตัวลุงหมื่นนั่งรถมาด้วย แล้วก็เหยียบเบรกจนแสบแก้วหู ลากลงมาต่อหน้าย่ากับพวกผมและน้อง ตะโกนโหวกเหวกท้าต่อยลุงหมื่นที่ร่างกำยำและบึกบึนไปด้วยมัดกล้าม ด่าทอลุงหมื่นทั้งที่เขาก็ตั้งใจทำมาหากินอย่างดี ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุผลที่ทะเลาะกันคืออะไร ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าศักดิ์ของการเป็นลูกลุงโหวงจะมีสิทธิ์ในการด่าทอคนงานซื่อๆ คนหนึ่งที่หาเช้ากินค่ำ แต่ผมพอเข้าใจว่า “พวกมัน” เล็งผลการกระทบกระทั่งทางจิตใจให้เกิดกับย่าของผม
ในออฟฟิศกระจกที่มองไปด้านนอกได้อย่างชัดเจนนั้น ผมเห็นย่าที่นั่งอยู่ในออฟฟิศเงียบไป นั่งเก้าอี้เบาะไม่มีพนักพิง ย่าค่อยๆ ถอยจนหลังชิดมุมกำแพงออฟฟิศ จมอยู่ในความคิดอันเงียบงันที่แสนน่ากลัวนั้น
ผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ ตอนเย็นของวันนั้นยี่หวาก็ไปเล่นตามประสาเด็ก ผมอาบน้ำและร้องเพลงอยู่ในห้องน้ำอันโกโรโกโส แล้วผมก็ตกใจเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกัน