ว่าด้วยเรื่องเพื่อนขอยืมเงิน

กระทู้สนทนา
เมื่อคืนมีเพื่อนสนิทสมัยมัธยม ทักมาขอยืมเงิน ร้องห่มร้องไห้ และมีประเด็นรำลึกความหลังกัน

เลยนึกย้อนไปสมัยที่เกิดวิกฤติชีวิตตัวเองตกอยู่ในสถานะทั้งผู้ขอยืมและผู้ให้ยืม วันนี้เลยอยากตั้งกระทู้แชร์และเป็นวิทยาทานสำหรับคนอื่นๆและน้องๆรุ่นใหม่

สมัยเป็น fisrt jobber ได้ตำแหน่งงานที่ดีซึ่งถือว่าเป็นหน้าเป็นตากว่าคนในรุ่นๆเดียวกัน(ความคิดของผมเอง) มีคอนโด มีรถราคาแพงกว่าเพื่อนๆในระดับเดียวกัน ตั้งแต่ปีแรกๆที่เริ่มทำงาน แรกๆไปงานเลี้ยงรุ่นหรือกลับบ้านต่างจังหวัดมักได้รับความสนใจจากคนรอบข้างเสมอ เรียกว่าหลงระเริงเลยก็ว่าได้
เมื่อตั้งระดับตัวเองในระดับสูง ก็ต้องรักษาระดับตัวเองให้อยู่ในระดับนั้นต้องกินข้าวราคาแพง ไปเที่ยวที่หรูๆ มีของแบรนด์เนม แต่ที่ไม่ได้บอกใครคือผมไม่มีเงินเก็บเลยครับ เรียกได้ว่าเดือนชนเดือน ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉินเลย ในระหว่างนั้นมีเพื่อน คนรู้จักทักมีหยิบยืมเงินประจำ ตอนมีผมก็ให้ตอนไม่มีผมปฏิเสธไป มีเคสนึงที่จำได้คือ เพื่อนผู้หญิงที่เรียนไม่จบเพราะท้องก่อน แล้วเดือดร้อนมีเรื่องต้องใช้และกำลังจะไปทำงานต่างประเทศ (น่าจะไปเป็นโรบินฮู้ด) ขอยืมไม่ได้มาก ผมก็อยากช่วยนะแต่ช่วงนั้นผมไม่มีจะให้ก็ผ่านไป แต่ก็ค้างคาในใจเสมอ

มีช่วงนึง มีปัญหาในที่ทำงานโดนบีบให้ออก ด้วยความที่หน้าใหญ่ใจโตก็ยื่นใบลาออกในเดือนนั้นเลย สำคัญตัวเองผิดคิดว่าใครก็ต้องการตัว บริษัทต้องเสียใจที่เสียคนอย่างเราไป  ตกงานอยู่เดือนนึงแต่ก็ได้งานเลยในเดือนถัดมา แต่ก็รายได้ลดลง ทำให้เริ่มเกิดปัญหา ไม่รู้ตัวว่าชีวิตกำลังจะเจออะไร จมไม่ลงยังใช้ชีวิตแบบเดิม ค่าใช้จ่ายเหมือนเดิม เลยเริ่มกู้เงินสินเชื่อบุคคล บัตรกดเงินสด และเริ่มกดเงินบัตรเครดิตมาใช้ ทำแบบนี้ไปจนวงเงินเริ่มเต็มทีละใบ มารู้ตัวอีกก็คือเริ่มไม่มีเงินชำระค่างวดต่างๆแล้ว และเริ่มหยิบยืมเพื่อนๆคนรู้จักมาหมุน แต่ยังใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยแบบเดิม ด้วยโปรไฟล์ดีเลยได้มาง่ายๆ หลังๆเริ่มไม่มีคืนเพื่อน แต่ไม่เคยคิดจะไม่คืน ช้าหน่อยแต่ก็ทยอยคืน  แต่ก็เครดิตเสียไปแล้ว

แล้ววันฟ้าฝ่าก็มาถึงบริษัทเลิกกิจการ เดือนนั้นไม่ได้รับเงินเดือน รายได้คือ 0 สมัครงานที่ไหนก็ไม่ได้แล้วเพราะอายุเริ่มเยอะ ถ้าจะทำก็ไปรับงานเงินเดือนหมื่นต้นรับตัวเองไม่ได้ ถึงขนาดที่ว่าไม่มีแม้กระทั่งเงินจะซื้อข้าวกิน บัตรเริ่มทยอยฟ้อง ก็หยิบยืมเพื่อนสนิทมาใช้ คนรอบข้างเริ่มไม่รับโทรศัพท์ ไลน์ไม่อ่าน หรืออ่านไม่ตอบ บางคนบล็อคไปเลยด้วยซ้ำ จนเริ่มทยอยขายของที่มีอยู่ในราคาที่เหมือนได้เปล่า ประกาศขายคอนโด จนไม่ไหวก็ขายรถ แต่ก็ไม่เพียงพอใช้หนี้สินที่มี สุดท้ายก็กลับไปอยู่กับครอบครัวที่ต่างจังหวัดแบบคนสื้นเนื้อประดาตัว ช่วงนั้นคิดว่าตัวเองไร้ค่ามาก รับความล้มเหลวไม่ได้เคยถึงคิดฆ่าตัวตาย ฟุ้งซ่านเหมือนจะเป็นบ้าเลยเริ่มศึกษาธรรมะทำให้เริ่มปลงได้  ยอมรับสิ่งที่มันเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ได้ครอบครัวที่ช่วยเหลือจุนเจือ และเริ่มตั้งสติเริ่มหางานที่ใช้ความรู้ตัวเองรับงานเอง จนเริ่มตั้งตัวได้อีกครั้ง

ปัจจุบันผมทำธุรกิจส่วนตัวซึ่งรายได้พอสมควรเลี้ยงดูครอบครัวได้ไม่ลำบาก แต่ไม่ถึงกับรวยและไม่มีหนี้สิน และไม่ได้อยากได้อยากมีไปมากกว่านี้

จนกระทั่งเมื่อคืนเพื่อนทักมายืมเงินเลยนึกย้อนไปถึงสมัยที่ลำบาก คนนี้คือเพื่อนที่ผมเคยทักไปขอยืมเงินซึ่งมันก็รับปากว่าจะหาให้แต่ไม่ได้ให้ อ่านไลน์ไม่ตอบ โทรไปไม่รับ ยังจำได้ถึงวันนี้  โทรมาบอกว่าบ้าน-รถกำลังจะโดนยึดเนื่องจากธุรกิจล้ม ร้องห่มร้องไห้ ไม่มีเงินให้ลูก ผมก็สวนถึงตอนที่ผมเคยขอความช่วยเหลือตอนนั้นไป มันก็ขอโทษที่ไม่ได้สนใจช่วยเหลือ และไม่นึกว่าจะมีวันนี้  ซึ่งมันก็ขอหยิบยืมหลักหลายแสน  แต่ผมก็ไม่ได้ให้นะครับเพราะผมมองว่าธุรกิจที่เค้าทำอยู่ติดลบจนไปต่อไม่ได้แล้ว ให้ไปก็แค่ยืดระยะเวลาและคงเป็นหนี้ศูนย์ เลยบอกว่าให้ยอมรับความจริงและล้มให้เจ็บตัวน้อยที่สุด แต่ก็โอนเงินช่วยเหลือไปหนึ่งหมื่นและบอกไม่ต้องคืนเห็นแก่หลาน   เหตุการณ์นี้ทำให้นึกเพื่อนผุ้หญิงที่ผมไม่ได้ให้ความช่วยเหลือในวันนั้น ตอนนี้เค้ามีชีวิตที่ดีมาก วันที่ผมลำบากผมไม่กล้าทักไปขอความช่วยเหลือเลย

ก็เลยมาตั้งกระทู้แชร์และเตือนสติหลายๆคน

- ชีวิตไม่แน่ไม่นอน มีขึ้น-มีลง
- ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท
- อย่าเอาเงินอนาคตมาใช้ อย่าใช้เงินเกินตัว
- ใช้เท่าที่มีและไม่เดือดร้อนคนอื่น
- ออมเงินเผื่อฉุกเฉิน วางแผนสำหรับอนาคต 1 ปี 5 ปี จนถึงเกษียณ
- ศึกษาการลงทุนไว้บ้าง
- มิตรภาพที่ดีควรรักษาไว้ อย่าตัดรอนถ้าช่วยเหลือได้ควรช่วยเหลือ แต่ควรมีลิมิต
- ลด ละ เลิก กิเลส ลดความอยากได้อยากมี หลีกหนีอบายมุข
- การเป็นพนักงานเงินเดือนไม่มั่นคง อย่าทุ่มให้บริษัทมาก บริษัทอยู่ได้ถ้าไม่มีคุณ เค้าก็แค่หาคนใหม่
- แยกให้ออกเพื่อนกับคนรู้จัก
- อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ อย่ายึดติด
- รถก็แค่สิ่งที่พาเราจากจุดนึงไปจุดนึง รถราคาถูกราคาแพงก็เหมือนๆกัน คิดถึงค่าใช้จ่ายแฝงที่ตามมาด้วย
- บ้านหลังใหญ่โตแค่ไหนก็ใช้อยู่ไม่กี่ฟังชั่น นอกนั้นก็เสียค่าบำรุงรักษาค่าดูแลเกินความจำเป็น
- อย่าไปสนคำคนให้มาก รู้ตัวเองว่าทำอะไรอยู่ก็พอ
- สนใจคนรอบข้างให้มากๆ อย่าละเลย ถึงวันนีงคนอื่นก็คือคนอื่นจริงๆ
- สุดท้าย สำนึกบุญคุณคน ตอบแทนคนที่ช่วยเหลือ และรู้จักเป็นผู้ให้แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ

สวัสดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่