พิธา ตอบสื่อนอก ยุบก้าวไกลแค่อ่อนแรงระยะสั้น แต่จะติดเทอร์โบ ให้แนวคิดก้าวหน้าโตระยะยาว
https://www.matichon.co.th/politics/news_4611967
‘พิธา’ ให้สัมภาษณ์สื่อนอกชี้การยุบพรรคจะทำให้ก้าวไกลอ่อนแรงลงในระยะสั้น แต่จะ ‘ติดเทอร์โบ’ ให้แนวคิด-นโยบายแบบก้าวหน้าเติบโตในระยะยาว หวังสภาเปิดพื้นที่คุยเรื่อง ม.112 อย่างโปร่งใส-มีวุฒิภาวะ ไม่ผลักคนรุ่นใหม่ให้จนมุม
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (Financial Times) เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย โดยเฉพาะคดียุบพรรคก้าวไกลที่กำลังดำเนินอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญในขณะนี้ ด้วยข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครองจากการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
นาย
พิธากล่าวว่า ตนยังคงเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาและวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลอย่างเป็นธรรม พร้อมย้ำว่าการกล่าวหาตนและพรรคก้าวไกลว่าเป็นกบฏหรือผู้ทรยศที่มุ่งล้มล้างการปกครองนั้นถือเป็นข้อกล่าวหาที่เกินจริง เพราะสิ่งที่ตนและพรรคก้าวไกลเสนอคือความสมดุลทางกฎหมาย ระหว่างการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
นาย
พิธากล่าวต่อไปว่า คดียุบพรรคจะทำให้พรรคก้าวไกลอ่อนแรงลงในระยะสั้นเท่านั้น แต่จะเป็นการติดเทอร์โบ (turbocharge) ให้พรรคได้แต้มต่อในแนวคิดและนโยบายแบบก้าวหน้าในระยะยาว โดยยกตัวอย่างสถานการณ์การยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อปี 2563 ซึ่งทำให้พลังของพรรคอ่อนแอลงชั่วคราว แต่ก็สามารถกลับมาฟื้นคืนแบบติดเทอร์โบได้ในการเลือกตั้งปี 2566 แสดงให้เห็นว่าแนวคิดแบบก้าวหน้ากำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยพรรคก้าวไกลได้เก้าอี้ในสภา มาครองเพิ่มขึ้นเป็น 151 ที่นั่ง จากเดิมที่พรรคอนาคตใหม่ในปี 2562 ได้ 81 ที่นั่ง
“
ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแนวคิดแบบก้าวหน้าคือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อพรรคการเมืองหรือหัวหน้าพรรคการเมืองใดๆ” นาย
พิธากล่าว
นอกจากนี้ นาย
พิธายังกล่าวถึงสถานการณ์การดำเนินคดีทางการเมืองในประเทศไทย โดยเฉพาะคดีมาตรา 112 ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว น.ส.
ชลธิชา แจ้งเร็ว ส.ส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล ถูกตัดสินจำคุก 2 ปีโดยไม่รออาญา ขณะเดียวกันในช่วงกลางเดือนก่อน น.ส.
เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ
บุ้ง นักกิจกรรมทางการเมืองวัย 28 ปีก็เสียชีวิตจากการอดอาหารประท้วงระหว่างการถูกควบคุมตัวในเรือนจำก่อนการพิจารณาคดีมาตรา 112 โดยระบุว่า หากพวกเราในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับอนุญาตให้อภิปรายเรื่องหลักความได้สัดส่วนของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างมีวุฒิภาวะ โปร่งใส และด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองก็จะคลี่คลายลงไปได้ในระดับหนึ่ง โดยไม่ผลักเยาวชน หรือคนรุ่นใหม่ให้จนมุม
“
หากเรามีพื้นที่ในการพูดคุยถกเถียงเรื่องนี้กันได้ในรัฐสภา ก็จะไม่เกิดการกดดันให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน หรือคนรุ่นใหม่ เลือกวิธีการประท้วงที่ทำร้ายตัวเอง รวมถึงคนที่พวกเขารักด้วย” นาย
พิธากล่าว
ก้าวไกลยัน 9มิย. แถลงคดียุบพรรคตามเดิม ย้ำไม่ใช่กดดัน ชี้นำศาล
https://www.innnews.co.th/news/news_728034/
ก้าวไกล ยันแถลง 9 มิ.ย.จัดตามเดิม ย้ำไม่ใช่กดดัน ชี้นำศาล แค่แจงแนวทางในการต่อสู้คดีของพรรค
นาย
พริษฐ์ วัชระสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์หลังศาลรัฐธรรมนูญ เตือนการแสดงความคิดเห็น ที่ส่งผลกระทบต่อศาล กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นผู้ร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล โดยยืนยันว่า จะมีการแถลงข่าวในวันที่ 9 มิถุนายนเช่นเดิม พร้อมย้ำว่า การแถลงไม่ได้มีส่วนที่จะกดดันศาล หรือชี้ไปทางใดทางหนึ่ง แต่เป็นการอธิบายถึงพี่น้องประชาชนที่อาจมีคำถามถึงแนวทางในการต่อสู้คดีของพรรค ซึ่งเอกสารที่จะนำมาประกอบในการแถลงก็ไม่เป็นเอกสารลับ
ทั้งนี้ แนวทางการต่อสู้ ทุกฝ่ายก็จะได้เห็นพร้อมกันในวันดังกล่าว และขอสร้างความเข้าใจกับทุกฝ่ายว่า ในวันที่ 12 มิถุนายน ไม่ใช่วันที่ศาลจะอ่านคำวินิจฉัย แต่เป็นเพียงวันประชุมหารือในการพิจารณาคดี ซึ่งในวันที่ 12 ก็จะเห็นความชัดเจนถึงขั้นตอนและกรอบระยะเวลา รวมทั้งความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญว่าเปิดการไต่สวนในคดีนี้
นาย
พริษฐ์ กล่าวต่อว่า ในกรณีของพรรคก้าวไกล ขอยืนยันเต็มที่ในการต่อสู้คดี เพราะเห็นว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลถึงพรรคก้าวไกลอย่างเดียว แต่ยังเป็นคดีที่สร้างบรรทัดฐานกับการเมืองเมืองไทย และย้ำว่ามีการเตรียมรับมือในทุกฉากทัศน์ที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีที่สุดหรือร้ายที่สุด
ในขณะที่หลายฝ่ายมีการตั้งข้อสังเกตถึงพรรคสำรองที่จะเกิดขึ้น นายพริษฐ์ ระบุว่า เป้าหมายหลักในขณะนี้ คือ การต่อสู้เพื่อปกป้องพรรคก้าวไกล ซึ่ง ณ เวลานี้ จะยังไม่มีมีการลงลึกถึงฉากทัศน์ใด จนกว่าจะเกิดขึ้นจริง ส่วนข่าวลือที่จะมีงูเห่าจากพรรคก้าวไกล ตนก็เห็นเพียงรายงานข่าวทั่วไปเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือ เป็นกระแส
แต่ยังไม่มีข้อเท็จจริงใดเกิดขึ้น ทั้งนี้ เชื่อว่า เพื่อนในพรรคก้าวไกลทราบดี และจำได้ว่าในวันที่แต่ละคนเดินเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกรับเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร เราทุกคนมีอุดมการอย่างไร มีความฝันเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้ก็จะเป็นเป้าหมายที่ทุกคนจะเดินทางต่อไปร่วมกัน
‘ไอติม’ระบุ ‘ก้าวไกล’มีสมาธิพร้อมชำแหละร่างพ.ร.บ.ประชามติ-งบฯ 68
https://www.dailynews.co.th/news/3504239/
‘พริษฐ์’ ระบุ สส.ก้าวไกล มีสมาธิ เตรียมชำแหละร่าง พ.ร.บ.ประชามติ-งบฯ 68 เปรียบเหมือนฉายหนังตัวอย่าง หากอนาคตได้เป็นรัฐบาล จะบริหารภาษีประชาชนอย่างไร
เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่รัฐสภา นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมของ สส.พรรคก้าวไกล ในการเปิดประชุมสภาฯสมัยวิสามัญ ว่า สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญและมีสมาธิมากที่สุดคือการประชุมสภา วันที่ 18-21 มิ.ย. นี้ เป็น 2 วาระที่สำคัญมากต่ออนาคตของประเทศไทย โดยวันที่ 18 มิ.ย. จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ที่มี 3 ร่าง ทั้งของพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และร่างของ ครม. ที่คาดว่าจะมาทันในวันดังกล่าว เพื่อหาจุดร่วมในการปรับปรุงกติกาเรื่องประชามติให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น และในวันที่ 19-21 มิ.ย. มีอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 โดยปีนี้มีความน่าสนใจใน 2 มิติ คือ
1.เป็นงบประมาณปีแรกที่รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ มีเวลาเต็มที่ในการจัดทำ
และ 2. นอกจากการตรวจสอบว่างบประมาณดังกล่าว เป็นการแก้ปัญหาของประชาชน คุ้มค่ากับภาษีหรือไม่
ซึ่งสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำคือพยายามเสนอทางออกด้วย ไม่ใช่แค่แสดงความเห็นหรือวิจารณ์สิ่งที่เราไม่เห็นด้วยอย่างเดียว แต่เราก็ต้องตอบสังคมให้ได้ว่าถ้าเรามาอยู่ในตำแหน่งที่รัฐบาลอยู่ในเวลานี้ เราจะจัดทำงบประมาณแบบไหนที่คิดว่าจะตอบโจทย์มากกว่า โดยในอีกมุมหนึ่งนอกจากการตรวจสอบรัฐบาลแล้ว ตนคิดว่าการอภิปรายรอบนี้ เหมือนเป็นการฉายหนังตัวอย่างให้ประชาชนเห็นว่า หากในอนาคตเขาให้ความไว้วางใจก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะมีแนวทางในการบริหารเงินภาษีของประชาชนอย่างไร ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน
เมื่อถามว่า ในพรรคฝ่ายค้านมีการแบ่งอภิปรายเรียบร้อยหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ในระหว่างพรรคถือว่าราบรื่น ซึ่งในการประชุมวิป 3 ฝ่าย ได้มีการตกลงกรอบเวลาร่วมกันอย่างราบรื่น และในภายในพรรคก้าวไกลอยู่ในขั้นตอนการคัดเลือกผู้อภิปราย โดย สส. ที่สนใจได้ทำการบ้านมาอย่างต่อเนื่อง มีกลไกใหม่สำหรับการพิจารณางบประมาณปี 2568 คือคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ ที่มีนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นประธาน โดยตั้งอนุ กมธ. ขึ้นมาศึกษาคำของบประมาณ ที่นอกจากตรวจสอบ พ.ร.บ.งบประมาณ 3.75 ล้านล้านบาทแล้ว ยังมีการตรวจสอบกระบวนการก่อนหน้าที่จะเป็น 3.75 ล้านล้านบาท เพราะบางโครงการที่ตัดไปอาจตอบโจทย์กว่าโครงการที่อยู่ในงบฯ แต่ถูกรัฐบาลปฏิเสธไป ซึ่งจะทำให้เรามีข้อมูลครบถ้วนขึ้นในวิเคราะห์
เมื่อถามว่าเอกสารขาวคาดแดงได้ส่งมาถึง สส. แล้วหรือไม่ นาย
พริษฐ์ กล่าวว่า ยังไม่ถึง เป็นความท้าทายทุกปีว่า ระยะเวลาจำนวนวันมีเวลาค่อนข้างจำกัด แต่สิ่งที่พรรคก้าวไกลทำตลอด 2 ปีที่ผ่านมา คือมีภาคประชาสังคมที่จะมาช่วยแปลเอกสารงบประมาณที่เป็นเล่ม มาเป็นลักษณะเอกซ์เซล สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างเร็ว และเผยแพร่สู่ประชาชนต่อไป.
การค้าโลกซมพิษเทรดวอร์ กกร. ทุบเป้าส่งออกไม่ถึง 1% ระส่ำ 1.7 พันโรงงานปิดตัว
https://www.prachachat.net/economy/news-1579810
การค้าโลกซมพิษเทรดวอร์ กกร. ทุบเป้าส่งออกไม่ถึง 1% ส.อ.ท.ชี้ระส่ำ 1.7 พันโรงงานปิดตัว จับตาผลเลือกตั้งสหรัฐ “ไบเดน” ได้ไปต่อ เร่งชง 3 ข้อเสนอถึงรัฐ พยุงจีดีพีโต 2.7% เท่าเดิม
วันที่ 5 มิถุนายน 2567 นาย
ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) พร้อมด้วย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวกรอบประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567
โดยยังคง GDP ไทย ขยายตัว 2.2-2.7% แต่ได้มีการปรับลด ประมาณการเป้าหมายตัวเลขส่งออกปี 2567 เติบโตเพียง 0.5-1.5% ลดลงจากรอบก่อนหน้าที่เคยประมาณการไว้ว่าจะขยายตัว 2.2-2.7%
เทรดวอร์ทุบ การค้าโลกชะลอตัว
“
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน มีแนวโน้มกลับมารุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการขึ้นภาษีรอบล่าสุดของสหรัฐ ต่อสินค้ากลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ เซมิคอนดักเตอร์ เป็นต้น โดยมีกำหนดบังคับใช้ภายในปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมต่อการค้าโลกชะลอตัวชัดขึ้น ปริมาณการส่งออกของโลกชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ถูกสหรัฐมองว่า จีนใช้เป็นฐานการผลิต” นาย
ผยงกล่าว
นาย
เกรียงไกรกล่าวเสริมว่า หากต้องการรักษาการเติบโตของตัวเลขส่งออกที่เป้า 0.5-1.0% ให้ได้นั้น จะต้องรักษาการส่งออกไม่ต่ำกว่าเดือนละ 23,964 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนการปรับเป้าลดลงคงต้องทบทวนเป็นเดือนต่อเดือน เพราะต้องจับตาอีกหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต้นทุนโลจิสติกส์จากปัญหาสงครามและการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ส่งผลให้ค่าระวางเรือปรับตัวขึ้นสูง 2 เท่า ปัจจัยสงครามการค้ารอบใหม่ของสหรัฐ-จีน ที่ประธานาธิบดี
โจ ไบเดน เพิ่มอัตราภาษีสินค้ายานยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ และกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ อย่างกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มภาษีจากเดิมที่ 27.5% เป็น 102.5%
และยังต้องจับตาผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ว่าจะเป็นใครระหว่าง
โจ ไบเดน หรือ
โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งหากเป็นทรัมป์ก็มีแนวโน้มที่ภาษีอีวีอาจจะปรับขึ้นเป็น 200% ทำให้จีนก็ต้องเร่งหาตลาดใหม่ ซึ่งอาจจะย้อนกลับมาที่ตลาดเอเชียมากขึ้น หรืออาจขยายฐานการผลิตไปประเทศในภูมิภาคเดียวกับสหรัฐ อาทิ ประเทศเม็กซิโก ตลอดจนขยายฐานการผลิตในประเทศฮังการี เพื่อตั้งเป็นศูนย์กลางการผลิตอีวีของยุโรปโดยเฉพาะ
JJNY : 5in1 พิธาตอบสื่อนอก│ก้าวไกลยันแถลงตามเดิม│‘ก้าวไกล’พร้อมชำแหละ│ค้าโลกซมพิษเทรดวอร์ │อาหารคนจนอียิปต์ขึ้น 4 เท่า
https://www.matichon.co.th/politics/news_4611967
‘พิธา’ ให้สัมภาษณ์สื่อนอกชี้การยุบพรรคจะทำให้ก้าวไกลอ่อนแรงลงในระยะสั้น แต่จะ ‘ติดเทอร์โบ’ ให้แนวคิด-นโยบายแบบก้าวหน้าเติบโตในระยะยาว หวังสภาเปิดพื้นที่คุยเรื่อง ม.112 อย่างโปร่งใส-มีวุฒิภาวะ ไม่ผลักคนรุ่นใหม่ให้จนมุม
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (Financial Times) เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย โดยเฉพาะคดียุบพรรคก้าวไกลที่กำลังดำเนินอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญในขณะนี้ ด้วยข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครองจากการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
นายพิธากล่าวว่า ตนยังคงเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาและวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลอย่างเป็นธรรม พร้อมย้ำว่าการกล่าวหาตนและพรรคก้าวไกลว่าเป็นกบฏหรือผู้ทรยศที่มุ่งล้มล้างการปกครองนั้นถือเป็นข้อกล่าวหาที่เกินจริง เพราะสิ่งที่ตนและพรรคก้าวไกลเสนอคือความสมดุลทางกฎหมาย ระหว่างการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
นายพิธากล่าวต่อไปว่า คดียุบพรรคจะทำให้พรรคก้าวไกลอ่อนแรงลงในระยะสั้นเท่านั้น แต่จะเป็นการติดเทอร์โบ (turbocharge) ให้พรรคได้แต้มต่อในแนวคิดและนโยบายแบบก้าวหน้าในระยะยาว โดยยกตัวอย่างสถานการณ์การยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อปี 2563 ซึ่งทำให้พลังของพรรคอ่อนแอลงชั่วคราว แต่ก็สามารถกลับมาฟื้นคืนแบบติดเทอร์โบได้ในการเลือกตั้งปี 2566 แสดงให้เห็นว่าแนวคิดแบบก้าวหน้ากำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยพรรคก้าวไกลได้เก้าอี้ในสภา มาครองเพิ่มขึ้นเป็น 151 ที่นั่ง จากเดิมที่พรรคอนาคตใหม่ในปี 2562 ได้ 81 ที่นั่ง
“ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแนวคิดแบบก้าวหน้าคือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อพรรคการเมืองหรือหัวหน้าพรรคการเมืองใดๆ” นายพิธากล่าว
นอกจากนี้ นายพิธายังกล่าวถึงสถานการณ์การดำเนินคดีทางการเมืองในประเทศไทย โดยเฉพาะคดีมาตรา 112 ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ส.ส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล ถูกตัดสินจำคุก 2 ปีโดยไม่รออาญา ขณะเดียวกันในช่วงกลางเดือนก่อน น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง นักกิจกรรมทางการเมืองวัย 28 ปีก็เสียชีวิตจากการอดอาหารประท้วงระหว่างการถูกควบคุมตัวในเรือนจำก่อนการพิจารณาคดีมาตรา 112 โดยระบุว่า หากพวกเราในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับอนุญาตให้อภิปรายเรื่องหลักความได้สัดส่วนของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างมีวุฒิภาวะ โปร่งใส และด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองก็จะคลี่คลายลงไปได้ในระดับหนึ่ง โดยไม่ผลักเยาวชน หรือคนรุ่นใหม่ให้จนมุม
“หากเรามีพื้นที่ในการพูดคุยถกเถียงเรื่องนี้กันได้ในรัฐสภา ก็จะไม่เกิดการกดดันให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน หรือคนรุ่นใหม่ เลือกวิธีการประท้วงที่ทำร้ายตัวเอง รวมถึงคนที่พวกเขารักด้วย” นายพิธากล่าว
ก้าวไกลยัน 9มิย. แถลงคดียุบพรรคตามเดิม ย้ำไม่ใช่กดดัน ชี้นำศาล
https://www.innnews.co.th/news/news_728034/
ก้าวไกล ยันแถลง 9 มิ.ย.จัดตามเดิม ย้ำไม่ใช่กดดัน ชี้นำศาล แค่แจงแนวทางในการต่อสู้คดีของพรรค
นายพริษฐ์ วัชระสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์หลังศาลรัฐธรรมนูญ เตือนการแสดงความคิดเห็น ที่ส่งผลกระทบต่อศาล กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นผู้ร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล โดยยืนยันว่า จะมีการแถลงข่าวในวันที่ 9 มิถุนายนเช่นเดิม พร้อมย้ำว่า การแถลงไม่ได้มีส่วนที่จะกดดันศาล หรือชี้ไปทางใดทางหนึ่ง แต่เป็นการอธิบายถึงพี่น้องประชาชนที่อาจมีคำถามถึงแนวทางในการต่อสู้คดีของพรรค ซึ่งเอกสารที่จะนำมาประกอบในการแถลงก็ไม่เป็นเอกสารลับ
ทั้งนี้ แนวทางการต่อสู้ ทุกฝ่ายก็จะได้เห็นพร้อมกันในวันดังกล่าว และขอสร้างความเข้าใจกับทุกฝ่ายว่า ในวันที่ 12 มิถุนายน ไม่ใช่วันที่ศาลจะอ่านคำวินิจฉัย แต่เป็นเพียงวันประชุมหารือในการพิจารณาคดี ซึ่งในวันที่ 12 ก็จะเห็นความชัดเจนถึงขั้นตอนและกรอบระยะเวลา รวมทั้งความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญว่าเปิดการไต่สวนในคดีนี้
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ในกรณีของพรรคก้าวไกล ขอยืนยันเต็มที่ในการต่อสู้คดี เพราะเห็นว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลถึงพรรคก้าวไกลอย่างเดียว แต่ยังเป็นคดีที่สร้างบรรทัดฐานกับการเมืองเมืองไทย และย้ำว่ามีการเตรียมรับมือในทุกฉากทัศน์ที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีที่สุดหรือร้ายที่สุด
ในขณะที่หลายฝ่ายมีการตั้งข้อสังเกตถึงพรรคสำรองที่จะเกิดขึ้น นายพริษฐ์ ระบุว่า เป้าหมายหลักในขณะนี้ คือ การต่อสู้เพื่อปกป้องพรรคก้าวไกล ซึ่ง ณ เวลานี้ จะยังไม่มีมีการลงลึกถึงฉากทัศน์ใด จนกว่าจะเกิดขึ้นจริง ส่วนข่าวลือที่จะมีงูเห่าจากพรรคก้าวไกล ตนก็เห็นเพียงรายงานข่าวทั่วไปเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือ เป็นกระแส
แต่ยังไม่มีข้อเท็จจริงใดเกิดขึ้น ทั้งนี้ เชื่อว่า เพื่อนในพรรคก้าวไกลทราบดี และจำได้ว่าในวันที่แต่ละคนเดินเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกรับเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร เราทุกคนมีอุดมการอย่างไร มีความฝันเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้ก็จะเป็นเป้าหมายที่ทุกคนจะเดินทางต่อไปร่วมกัน
‘ไอติม’ระบุ ‘ก้าวไกล’มีสมาธิพร้อมชำแหละร่างพ.ร.บ.ประชามติ-งบฯ 68
https://www.dailynews.co.th/news/3504239/
‘พริษฐ์’ ระบุ สส.ก้าวไกล มีสมาธิ เตรียมชำแหละร่าง พ.ร.บ.ประชามติ-งบฯ 68 เปรียบเหมือนฉายหนังตัวอย่าง หากอนาคตได้เป็นรัฐบาล จะบริหารภาษีประชาชนอย่างไร
เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมของ สส.พรรคก้าวไกล ในการเปิดประชุมสภาฯสมัยวิสามัญ ว่า สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญและมีสมาธิมากที่สุดคือการประชุมสภา วันที่ 18-21 มิ.ย. นี้ เป็น 2 วาระที่สำคัญมากต่ออนาคตของประเทศไทย โดยวันที่ 18 มิ.ย. จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ที่มี 3 ร่าง ทั้งของพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และร่างของ ครม. ที่คาดว่าจะมาทันในวันดังกล่าว เพื่อหาจุดร่วมในการปรับปรุงกติกาเรื่องประชามติให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น และในวันที่ 19-21 มิ.ย. มีอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 โดยปีนี้มีความน่าสนใจใน 2 มิติ คือ
1.เป็นงบประมาณปีแรกที่รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ มีเวลาเต็มที่ในการจัดทำ
และ 2. นอกจากการตรวจสอบว่างบประมาณดังกล่าว เป็นการแก้ปัญหาของประชาชน คุ้มค่ากับภาษีหรือไม่
ซึ่งสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำคือพยายามเสนอทางออกด้วย ไม่ใช่แค่แสดงความเห็นหรือวิจารณ์สิ่งที่เราไม่เห็นด้วยอย่างเดียว แต่เราก็ต้องตอบสังคมให้ได้ว่าถ้าเรามาอยู่ในตำแหน่งที่รัฐบาลอยู่ในเวลานี้ เราจะจัดทำงบประมาณแบบไหนที่คิดว่าจะตอบโจทย์มากกว่า โดยในอีกมุมหนึ่งนอกจากการตรวจสอบรัฐบาลแล้ว ตนคิดว่าการอภิปรายรอบนี้ เหมือนเป็นการฉายหนังตัวอย่างให้ประชาชนเห็นว่า หากในอนาคตเขาให้ความไว้วางใจก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะมีแนวทางในการบริหารเงินภาษีของประชาชนอย่างไร ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน
เมื่อถามว่า ในพรรคฝ่ายค้านมีการแบ่งอภิปรายเรียบร้อยหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ในระหว่างพรรคถือว่าราบรื่น ซึ่งในการประชุมวิป 3 ฝ่าย ได้มีการตกลงกรอบเวลาร่วมกันอย่างราบรื่น และในภายในพรรคก้าวไกลอยู่ในขั้นตอนการคัดเลือกผู้อภิปราย โดย สส. ที่สนใจได้ทำการบ้านมาอย่างต่อเนื่อง มีกลไกใหม่สำหรับการพิจารณางบประมาณปี 2568 คือคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ ที่มีนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นประธาน โดยตั้งอนุ กมธ. ขึ้นมาศึกษาคำของบประมาณ ที่นอกจากตรวจสอบ พ.ร.บ.งบประมาณ 3.75 ล้านล้านบาทแล้ว ยังมีการตรวจสอบกระบวนการก่อนหน้าที่จะเป็น 3.75 ล้านล้านบาท เพราะบางโครงการที่ตัดไปอาจตอบโจทย์กว่าโครงการที่อยู่ในงบฯ แต่ถูกรัฐบาลปฏิเสธไป ซึ่งจะทำให้เรามีข้อมูลครบถ้วนขึ้นในวิเคราะห์
เมื่อถามว่าเอกสารขาวคาดแดงได้ส่งมาถึง สส. แล้วหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ยังไม่ถึง เป็นความท้าทายทุกปีว่า ระยะเวลาจำนวนวันมีเวลาค่อนข้างจำกัด แต่สิ่งที่พรรคก้าวไกลทำตลอด 2 ปีที่ผ่านมา คือมีภาคประชาสังคมที่จะมาช่วยแปลเอกสารงบประมาณที่เป็นเล่ม มาเป็นลักษณะเอกซ์เซล สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างเร็ว และเผยแพร่สู่ประชาชนต่อไป.
การค้าโลกซมพิษเทรดวอร์ กกร. ทุบเป้าส่งออกไม่ถึง 1% ระส่ำ 1.7 พันโรงงานปิดตัว
https://www.prachachat.net/economy/news-1579810
การค้าโลกซมพิษเทรดวอร์ กกร. ทุบเป้าส่งออกไม่ถึง 1% ส.อ.ท.ชี้ระส่ำ 1.7 พันโรงงานปิดตัว จับตาผลเลือกตั้งสหรัฐ “ไบเดน” ได้ไปต่อ เร่งชง 3 ข้อเสนอถึงรัฐ พยุงจีดีพีโต 2.7% เท่าเดิม
วันที่ 5 มิถุนายน 2567 นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) พร้อมด้วย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวกรอบประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567
โดยยังคง GDP ไทย ขยายตัว 2.2-2.7% แต่ได้มีการปรับลด ประมาณการเป้าหมายตัวเลขส่งออกปี 2567 เติบโตเพียง 0.5-1.5% ลดลงจากรอบก่อนหน้าที่เคยประมาณการไว้ว่าจะขยายตัว 2.2-2.7%
เทรดวอร์ทุบ การค้าโลกชะลอตัว
“สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน มีแนวโน้มกลับมารุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการขึ้นภาษีรอบล่าสุดของสหรัฐ ต่อสินค้ากลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ เซมิคอนดักเตอร์ เป็นต้น โดยมีกำหนดบังคับใช้ภายในปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมต่อการค้าโลกชะลอตัวชัดขึ้น ปริมาณการส่งออกของโลกชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ถูกสหรัฐมองว่า จีนใช้เป็นฐานการผลิต” นายผยงกล่าว
นายเกรียงไกรกล่าวเสริมว่า หากต้องการรักษาการเติบโตของตัวเลขส่งออกที่เป้า 0.5-1.0% ให้ได้นั้น จะต้องรักษาการส่งออกไม่ต่ำกว่าเดือนละ 23,964 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนการปรับเป้าลดลงคงต้องทบทวนเป็นเดือนต่อเดือน เพราะต้องจับตาอีกหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต้นทุนโลจิสติกส์จากปัญหาสงครามและการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ส่งผลให้ค่าระวางเรือปรับตัวขึ้นสูง 2 เท่า ปัจจัยสงครามการค้ารอบใหม่ของสหรัฐ-จีน ที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพิ่มอัตราภาษีสินค้ายานยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ และกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ อย่างกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มภาษีจากเดิมที่ 27.5% เป็น 102.5%
และยังต้องจับตาผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ว่าจะเป็นใครระหว่าง โจ ไบเดน หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งหากเป็นทรัมป์ก็มีแนวโน้มที่ภาษีอีวีอาจจะปรับขึ้นเป็น 200% ทำให้จีนก็ต้องเร่งหาตลาดใหม่ ซึ่งอาจจะย้อนกลับมาที่ตลาดเอเชียมากขึ้น หรืออาจขยายฐานการผลิตไปประเทศในภูมิภาคเดียวกับสหรัฐ อาทิ ประเทศเม็กซิโก ตลอดจนขยายฐานการผลิตในประเทศฮังการี เพื่อตั้งเป็นศูนย์กลางการผลิตอีวีของยุโรปโดยเฉพาะ