กว่าจะถึงสปป.ลาวได้ ก็ปาเข้าไป EP. ที่ 3 ทีเดียว เหมือนหลอกให้อ่าน...อิๆ จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนถึง 3 EP แต่ว่าพอเรียบเรียงเรื่องไปมา แล้วคิดว่า...ก็เล่ากันไปแบบนี้ล่ะค่ะ มันอาจจะผิดหวังบ้างเล็กน้อยเพราะคนเขียนยังไม่พาข้ามแม่น้ำโขงสักที วันนี้จะข้ามโขงละนะ
วันที่เราเดินทางเข้าสปป.ลาว เป็นวันที่ 3 ของการเดินทาง การเตรียมตัวเรื่องไปลาวนั้นถือว่าทำการบ้านมาน้อยมากๆ เพราะคิดว่า...เฮ้ย...โลกมันไปไกลแล้ว (ไม่เหมือนที่สมัยเราไปเที่ยวแต่ก่อน ที่ควรจะต้องศึกษานั่นนี่ให้ดีก่อนออกเดินทาง) แล้วก็ลาวกะไทยมันก็พี่น้องกันไหม มันยากอะไรตรงไหน ก็ไล่ดู Tiktok ว่ามีที่ไหนน่าไปบ้างก็พอแล้วมั้ง...นะ แล้วติดสไตล์คนขี้เกียจนิดๆ จริงๆ ก็ไม่นิดนะคะ เลยไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดเท่าไหร่ แล้วก็ไม่คิดที่จะซื้อทัวร์รอไว้ ชอบแบบเสี่ยงสุ่ม ดุ่มๆ เลยมันกว่า
เราจองตั๋วรถไฟชั้น 1 ออกจากเวียงจันทน์ 13:30 น. ถึง วังเวียง 14:23 น. โดยรถบัสข้ามสะพานมิตรภาพไทยลาว รอบแรกน่าจะประมาณ 8 โมงเช้า เป็นต้นไป ซึ่งเราได้เผื่อเวลาการเดินทางแบบใช้ Google Map กะระยะเวลาการเดินทางในแต่ละช่วงเอา เช่น จากอุดรธานีไปสะพานมิตรภาพ ใช้ เวลา 1 ชั่วโมง และงานเอกสารข้ามแดนต่างๆ ตีไว้สักครึ่งชั่วโมงนึง เดินทางจากสะพานมิตรภาพไปสถานีรถไฟก็น่าจะประมาณไม่เกิน 45 นาที และเผื่อเวลาสำหรับความโก๊ะไว้ 1-2 ชั่วโมง ฉะนั้นเราจะมีเวลาเหลือๆ ที่สถานีรถไฟ คิดว่าคงเข้าไปนั่งเล่น นอนเล่น หาอะไรกินแถวนั้น
วันที่เดินทางไปลาว เราติดต่อพี่เจริญคนเดิมว่าเหมารถครึ่งวัน โดยมารับที่โรงแรมเจริญโฮเต็ล ไปส่งที่ จ.หนองคาย สะพานมิตรภาพไทยลาว สนนราคาอยู่ที่ 900 บาท คือ ค่าบริการแกตกวันละ 1,800 บาท สำหรับวันสุดท้ายที่อุดร แกเลยให้ครึ่งราคา ส่วนเรื่องน้ำมันก็เติมให้แกตั้งแต่วันก่อนไปแล้ว แกก็ไม่ได้คิดเงินเพิ่ม เราเดินทางออกจากโรงแรมประมาณ 8 โมงเช้า ระหว่างทางก็แวะกดเงินติดตัวไว้ประมาณ 8,000 บาท
เมื่อใกล้ถึงสะพานมิตรภาพ แกเลยถามว่าจะเหมารถข้ามไปลาวเลยมั้ย แกจะได้ติดต่อเพื่อนแกให้ เพราะรถปกติทั่วไปแบบแก ไม่สามารถเดินทางผ่านแดนได้ เราก็เลยบอกพี่เจริญไปว่า พี่ลองถามราคาให้หน่อยว่า ข้ามไปฝั่งโน้น ไปถึงสถานีรถไฟเลยราคาอยู่ที่เท่าไหร่ เสียงปลายสายตอบกลับมาว่า 1,500 บาท เราถึงกับขนลุกและบอกแกไปว่าทำไมแพงล่ะ เค้าก็ตอบกลับมาว่ามีค่าภาษีนั่นนี่ ถ้าไม่มีภาษีก็ 1,300 บาท ก็เลยปฏิเสธไป เพราะจากที่ดูราคาทั่วไป คร่าวๆ แล้ว มันไม่น่าจะถึง 1,300 บาทนะ
พี่เจริญมาหย่อนเราเอาไว้ที่สะพานมิตรภาพไทยลาวพร้อมกับบอกว่าขากลับมีท่ารถตู้เข้าอุดรอยู่ตรงฝั่งซ้ายมือเป็นของเพื่อนแกเองยังไงลองเดินไปดูขากลับนะ เราก็เก็บข้อมูลเอาไว้
เมื่อพี่เจริญมาส่งเรียบร้อยแล้ว มีความรู้สึกประหนึ่งดังอยู่ในโลกอีกใบนึง มันมีความตื่นเต้น มีความงง เลยขอลูกตั้งสติแปป เอ...เราจะต้องทำอะไรบ้างนะ เมื่อตีนแตะด่านมีคนมากมายมารุม จะพาไปนั่น ไปนี่ แท็กซี่ไหม แลกเงินไหม จะเดินทางไปไหน เราให้คำตอบเดียวไปเลยว่า “ไม่ค่ะ ขอดูดบุหรีแปปนะ” แล้วก็พูดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องห่วงเลยว่าลูกเรา ก็มีความตื่นไม่ต่างจากแม่เท่าไหร่ เราเลยบอกลูกไปว่า “ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวเราดูชาวบ้านเค้าเอา เค้าทำอะไรก็ทำตามเค้า”
ขอย้อนกลับไปเล่าเรื่องประสบการณ์การแลกเงินกับคนที่รับแลกเงิน หรือ ร้านค้าย่อย สักหน่อย เมื่อครั้งที่เราไปเที่ยวอินโดนีเซียเมื่อสิบปีก่อน จะเห็นว่าร้านรับแลกเงินข้างทางมักให้ราคาดีกว่า Exchange ที่เป็นตู้ที่มีพนักงานอยู่ด้านในเสมอ ว่าด้วยความงก...เป็นเหตุสังเกตุได้ เราสองคนกับเพื่อนผู้หญิงก็เดินตามชายชาวอินโดนีเซียเข้าไปที่ร้านแลกเงินในซอยเล็กๆ ด้วยเหตุที่ว่า ให้เรทที่ดีกว่าเยอะ ขณะที่เรายื่นแบงค์ดอลล่าร์ให้ (จำไม่ได้นะว่าเท่าไหร่ รู้แค่ว่าแลกเป็นเงินรูปีอินโดฯ ได้หลายล้านอยู่) แล้วชายชาวอินโดก็นับเงินอินโดให้เรา ซึ่งตาเราก็จ้องและนับตามแบบไม่คลาดสายตา จุดพีคคือ ตอนที่มันจะยื่นเงินให้เรามันมีจังหวะนึ่งที่มัน เม้มเงินใส่กระเป๋าเสื้อมัน เราเลยจับมือมันแล้วบอกว่านับใหม่....พระเจ้า กลัวก็กลัว งกก็งก พอชายชาวอินโดฯ คนนั้น เริ่มนับเงินใหม่ ปรากฏว่าเงินไม่ครบ มันเลยต้องหยิบเงินที่มันเม้มไปคืนเรามา จากนั้นเราก็เช็กรอบที่มันนับเงินให้เพื่อนเรา แล้วรีบเดินออกจากร้าน พอพ้นประตูไปสักระยะ... กูก็วิ่งสิคะ จะรออะไร นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไมเราถึงยอมเสียเงินสักหน่อยแล้วแลกเงินกับพนักงาน Exchange ดีกว่า เพราะตาเราอาจจะไม่ได้ดีทุกครั้ง ตอนนั้นถือว่าโชคดีที่ไม่โดนพวกนั้นรุมกระทืบ ถือว่าเป็นบุญกะลาหัวมาก...เฮ่ยย

เราเลยเดินมาแลกเงินที่ตู้ Exchange ของธนาคารออมสินมีตู้เดียวอยู่หน้าด่าน แลกเป็นเงินกีบไว้ประมาณ 3,300,000 กีบ หรือ 6,000 บาท และเป็นเงินไทยเก็บไว้ในกระเป๋าอีก 2,000 บาท ส่วนเงินอีก 30 ล้าน ยังไม่โอนมา รอพ้นวันที่ 1 ไปก่อน
หลังจากแลกเงินเสร็จเราก็เดินเข้า Immigration ฝั่งไทย ปั้ม Passport กันทั้งแม่และลูก หลังจากนั้นก็ไม่มีใครตามมาขายนั่นขายนี่ให้แล้ว หลังจากที่ผ่านตม.ฝั่งไทย เราก็ดูๆ ว่าชาวบ้านเค้าทำอะไร ก็ทำตามเค้า เดินไปซื้อตั๋วรถบัสข้ามไปฝั่งลาว ในราคาหัวละ 20 บาท แล้วเราก็นั่งรอเวลาเค้าเรียกขึ้นรถ ในใจก็แอบคิดว่าทำไมเราเดินข้ามไปเองไม่ได้นะ มันก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ แต่เห็นว่าแดดมันร้อน และครั้นจะไปถามเค้าเดี๋ยวเค้าก็จะหาว่ากวนบาทา พอลองนั่งรถไปจริงๆ มันก็ค่อนข้างไกลเหมือนกันนะ แล้วก็เพื่อความเป็นระเบียบ และการเข้าประเทศเขาอย่างถูกกฏหมาย นั่งรถบัสก็ถูกต้องที่สุดแล้ว
รถบัสมาส่งที่ด่านคนเข้าเมือง ความเก้ๆ กังๆ ก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมทั้งแม่ทั้งลูก แม่ดูว่าชาวบ้านทำอะไร ลูกก็ดูว่าแม่จะทำอะไร ถือว่าเราเป็นทีมงานที่ทำงานร่วมกันได้อย่างเยี่ยมยอด...ในบางเวลา
ณ จุดที่เขียนเอกสารเข้าเมืองก็เห็นทั้งคนไทย คนจีน ยืนมุงอยู่ตรงผู้ชายสี่คนที่ดูท่าทางไม่ใช่คนของทางการ เราชะโงกหน้าเข้าไปดูว่าเค้าทำอะไร ก็เห็นชายชาวลาว 4 คน กำลังเขียนเอกสารเข้าเมืองให้ ซึ่ง...เราคิดว่าปกติเวลาเราไปต่างประเทศ นั่งเครื่องบิน เราก็เขียนเองนี่หว่า อันนี้เค้าจะเขียนให้ ทำให้ แล้วเราก็มองเห็นคนไทยสองคนยื่นเงินให้แก้งนั้น 80 บาท นั่นก็แปลว่า หา...คือเขียนให้คิดหัวละ 40 บาทเลยหรอ เราก็เลยเดินออกมา เห็นหลายคนที่นำปากกามาเองก็นั่งเขียนกับยิบๆ ไอ้เราก็เดินหาปากกาตามโต๊ะ ตรงเคาเตอร์เจ้าหน้าที่ ก็ไม่เห็นปากกาสักแท่ง เลยเคาะกระจกถามเจ้าหน้าที่...ได้คำตอบกลับมาว่า...”คุณไปให้พวกนั้นเขียน” กรูนี้อยากตะโกนออกไปว่า….
อะ...และในที่สุดก็ต้องพึ่งพาให้คนพวกนั้นเขียนให้แต่โดยดี โดยยืนมองสิ่งที่พวกเค้าเขียนว่า เขียนได้ถูกต้องหรือเปล่า เขียนดีไหม .... เขียนนามสกุลกูยังไม่ครบทุกตัวอักษรเลย อยากจะตีมือ แล้วอยากจะบอกเค้าว่าเขียนให้ครบด้วยค่ะ ด้วยความเป็นคนต่างถิ่นก็ควรต้องทำตัวเจี๋ยมเจี้ยม อย่าเอะอะมะเทิ่งไป บอกตัวเองเบาๆ ในใจ จากนั้นก็บอกลูกให้ดูป้าย ดูคนอื่น ว่าเค้าทำอะไรกันก็ทำตาม เราทั้งสองคนยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่เพื่อประทับตรา และเสียค่าเข้าประเทศคนละ 20 บาท .... ถูกว่าค่าเขียนใบ Immigration ตั้งครึ่งนึงแหละ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี จากนั้นก็พากันเงอะงะข้ามพ้นไปยังอีกฝั่งนึง นั่นก็หมายความว่า เราได้เข้าเมืองอยากถูกกฏหมายแล้ว
ก่อนมาที่นี่มีคนแนะนำในกลุ่มเที่ยวลาวว่า เราสามารถดาวน์โหลดแอป InDrive ไว้ใช้เรียกรถแท็กซี่เมื่อข้ามมาฝั่งลาว มันก็เหมือน Grab กะ LineMan นี่แหละ แต่ทว่าพี่แท็กซี่ผู้โชคดีเดินตรงดิ่งมาหาแบบเราไม่ทันตั้งตัว พร้อมเสนอบริการให้ เราเลยบอกว่าจะไปสถานีรถไฟลาวจีน พี่แกสรุปค่าโดยสารอยู่ที่ 500 บาท โดยเราถามย้ำว่า สองคนนะ ไม่ใช่ต่อหัว ...ซึ่งพี่แกก็บอกว่าสองคนรวม 500 ถูกต้องแล้ว เอาเข้าจริง ณ จุดนี้เราก็ไม่รู้หรอกว่าถูกหรือแพง แต่ที่แน่ๆ คือ ถูกว่าที่ข้ามมาจากไทยหลายเท่าตัว คิดแบบนี้ก็สบายใจแล้ว จากนั้นแกก็พาไปซื้อซิม เราก็เลือกที่หลายกิ๊กหน่อยน่าจะดี เลยโดนค่าซิมไป 250 บาท เพราะลูกชายในช่วงพักคงอยากเล่นเกมส์บ้างไม่มากก็น้อย ถึงแม้ทริปนี้เราจะพยายามให้เค้าเล่นเกมส์น้อยที่สุด ซึ่งก่อนหน้าที่จะซื้อซิมที่นี่ ยังมีความมั่นใจว่า Dtac สามารถทำให้เราใช้ชีวิตออนไลน์ที่ลาวได้อย่างราบรื่น ปรากฏว่าพอดูสัญญาณกลับเหลือแค่ ขีด สอง ขีด คิดว่าถ้าเข้าไปที่วังเวียงแล้ว ต่อให้เติมเงินแบบ Roaming พวกเราอาจไม่รอด เลยตัดสินใจที่จะซื้อซิมที่หน้าตรวจคนเข้าเมือง
รถที่นี่ขับกันฝั่งขวามือ รถแท็กซี่ที่นั่งไปก็เป็น Mini Van ที่มีประตูฝั่งคนขึ้นอยู่ฝั่งขวามือเช่นกัน ก็มีอาการสลับทิศบ้างเล็กน้อย เรานั่งรถกันไป ดูวิวสองข้างทาง ก็ยังคิดว่าเหมือนอยู่เมืองไทย จะมีกลิ่นความรู้สึกบางอย่างเท่านั้นที่มันบอกว่า เฮ้ย...มันมีความไม่เหมือนไทยนะ ในบางอารมาณ์

เรานั่งรถมาไม่ถึงชั่วโมง เลยขอย้ำกับพี่คนขับอีกว่าถูกสถานีแน่นะพี่ พี่เค้าก็บอกมีอันนี้แหละ แล้วเราก็เทียบกับ Google Map ว่าใช่จุดที่เรา Bookmark ไว้หรือเปล่าก็สบายใจได้ว่ามาถูกสถานีแน่ๆ
ผิดคาด เมื่อเรามาถึงสถานีคือ มันถูกปิดและล็อคประตูทางเข้าไว้เกือบหมด มีคนหลายคนนั่งรอบริเวณที่จัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งเราก็ไม่เคยเจอโหมดนี้ โดยปกติพวกสถานีรถไฟก็จะเปิดประตูให้บริการโดยปรกติ เลยเดินดูรอบๆ ว่าเอ๊ะมันคือยังไง สรุปเห็นป้ายได้ความว่า เค้าจะเปิดให้บริการก็ต่อเมื่อรถไฟใกล้ถึง จึงจะเปิดประตูสถานี บริเวณสถานีก็จะมีพ่อค้าที่เสนอจองตั๋วรถไฟให้สำหรับคนที่ยังไม่มีตั๋ว แต่คิดว่าจริงๆ แล้วถ้าไม่มีตั๋วก็น่าจะเดินไปซื้อเองได้นะ เพราะมีห้องขายตั๋วอยู่ (แต่ก็ต้องเวลาเปิดสถานีเช่นเดียวกัน)
เรากับลูกรู้สึกเบื่อมาก ว่านั่งรอเฉยๆ มันก็ออกจะเหงาๆ ไอ้ครั้นจะนั่งดูดบุหรีไปเรื่อยๆ ก็มากเกินไป เราเห็นคนเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง (มีประตูฝั่งขวามือเปิดไว้ และมีคนนอนและนั่งเรียงรายอยู่แถวๆนั้น เลยถามคนแถวนั้นว่าชั้นสองมีอะไรคะ ได้ความว่าเป็นร้านอาหาร ขึ้นลิฟไปสิ ไม่ต้องขึ้นบันไดก็ได้ ... เป็นอันเข้าทาง เราเลยขึ้นลิฟไปที่ชั้นสอง พบว่าร้านมีอยู่ร้านเดียวและคนนั่นเต็มเกือบทุกที่ (เป็นร้านค้าของสถานี) เราได้จังหวะหย่อนก้นไปที่โต๊ะว่างอันนึงเลยสั่งอะไรทานสักหน่อย หันหน้าไปถามลูก ลูกก็บอกว่าหิว เราถามว่ามีแต่แบบข้าวมันไก่ ข้าวหน้าเป็ด เส้นเปียก อะไรพวกนี้นะ ลูกทานได้หรือเปล่า ด้วยความหิวก็นะ มันเลยสั่งข้าวหน้าเป็ดมาทาน ซึ่งต้องบอกก่อนว่า ลูกเราทานอะไรยากมากกกกกกกก ดันสั่งข้าวหน้าเป็ด...ก็จัดให้เค้าไป ราคาไม่แรงมากนะอยู่ที่ประมาณ 70K ถ้าจำไม่ผิด ส่วนแม่ก็เปิดเบียร์ลาวดกไปเรื่อยๆ สวรรค์ชัดๆ เบียร์ลาวที่นี่ราคาอยู่ที่ 35K ถ้าราคาคลาดเคลื่อนไปก็ขออภัยด้วยนะคะ ข้าวหนึ่งจาน เบียร์อีกสามกระป๋อง เพิ่งได้ลองเบียร์ลาวพรีเมี่ยม เริ่ดนะ หากินบ้านเราราคาเท่านี้ไม่มีนะ เหมือนอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์เลย (เพราะแม่ชอบกินเบียร์มั่กๆ) หลังจากที่ทานกันเสร็จเราก็ตัดสินใจลุกให้คนอื่นนั่งเนื่องจากคนเริ่มทะยอยมาไอ้ครั้นจะนั่งกดเบียร์ไปเรื่อยๆก็เกรงใจคนที่เขาอยากมากินข้าวเราเลยเดินมานั่งรอใกล้ๆแถวนั้นนั้นแหละ

แม่กะลูกมองหน้ากันแล้วพูดคำว่า “หูย เหมือน Train to Busan เลย” แล้วก็หัวเราะคุยกันกว่าถ้าซอมบี้บุกมาตอนนี้เราจะหนีไปทางไหนกันดี เลยลองดูไปรอบๆ ว่ามีใครหน้าเหมือนกงยูบ้างหรือเปล่า…คำตอบคือ ไม่มี
...มีต่อนะคะ...
EP.3 เที่ยวสปป.ลาว ฉบับแม่เลี้ยงเดี่ยว...ข้ามโขงแล้วนะ
วันที่เราเดินทางเข้าสปป.ลาว เป็นวันที่ 3 ของการเดินทาง การเตรียมตัวเรื่องไปลาวนั้นถือว่าทำการบ้านมาน้อยมากๆ เพราะคิดว่า...เฮ้ย...โลกมันไปไกลแล้ว (ไม่เหมือนที่สมัยเราไปเที่ยวแต่ก่อน ที่ควรจะต้องศึกษานั่นนี่ให้ดีก่อนออกเดินทาง) แล้วก็ลาวกะไทยมันก็พี่น้องกันไหม มันยากอะไรตรงไหน ก็ไล่ดู Tiktok ว่ามีที่ไหนน่าไปบ้างก็พอแล้วมั้ง...นะ แล้วติดสไตล์คนขี้เกียจนิดๆ จริงๆ ก็ไม่นิดนะคะ เลยไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดเท่าไหร่ แล้วก็ไม่คิดที่จะซื้อทัวร์รอไว้ ชอบแบบเสี่ยงสุ่ม ดุ่มๆ เลยมันกว่า
เราจองตั๋วรถไฟชั้น 1 ออกจากเวียงจันทน์ 13:30 น. ถึง วังเวียง 14:23 น. โดยรถบัสข้ามสะพานมิตรภาพไทยลาว รอบแรกน่าจะประมาณ 8 โมงเช้า เป็นต้นไป ซึ่งเราได้เผื่อเวลาการเดินทางแบบใช้ Google Map กะระยะเวลาการเดินทางในแต่ละช่วงเอา เช่น จากอุดรธานีไปสะพานมิตรภาพ ใช้ เวลา 1 ชั่วโมง และงานเอกสารข้ามแดนต่างๆ ตีไว้สักครึ่งชั่วโมงนึง เดินทางจากสะพานมิตรภาพไปสถานีรถไฟก็น่าจะประมาณไม่เกิน 45 นาที และเผื่อเวลาสำหรับความโก๊ะไว้ 1-2 ชั่วโมง ฉะนั้นเราจะมีเวลาเหลือๆ ที่สถานีรถไฟ คิดว่าคงเข้าไปนั่งเล่น นอนเล่น หาอะไรกินแถวนั้น
วันที่เดินทางไปลาว เราติดต่อพี่เจริญคนเดิมว่าเหมารถครึ่งวัน โดยมารับที่โรงแรมเจริญโฮเต็ล ไปส่งที่ จ.หนองคาย สะพานมิตรภาพไทยลาว สนนราคาอยู่ที่ 900 บาท คือ ค่าบริการแกตกวันละ 1,800 บาท สำหรับวันสุดท้ายที่อุดร แกเลยให้ครึ่งราคา ส่วนเรื่องน้ำมันก็เติมให้แกตั้งแต่วันก่อนไปแล้ว แกก็ไม่ได้คิดเงินเพิ่ม เราเดินทางออกจากโรงแรมประมาณ 8 โมงเช้า ระหว่างทางก็แวะกดเงินติดตัวไว้ประมาณ 8,000 บาท
เมื่อใกล้ถึงสะพานมิตรภาพ แกเลยถามว่าจะเหมารถข้ามไปลาวเลยมั้ย แกจะได้ติดต่อเพื่อนแกให้ เพราะรถปกติทั่วไปแบบแก ไม่สามารถเดินทางผ่านแดนได้ เราก็เลยบอกพี่เจริญไปว่า พี่ลองถามราคาให้หน่อยว่า ข้ามไปฝั่งโน้น ไปถึงสถานีรถไฟเลยราคาอยู่ที่เท่าไหร่ เสียงปลายสายตอบกลับมาว่า 1,500 บาท เราถึงกับขนลุกและบอกแกไปว่าทำไมแพงล่ะ เค้าก็ตอบกลับมาว่ามีค่าภาษีนั่นนี่ ถ้าไม่มีภาษีก็ 1,300 บาท ก็เลยปฏิเสธไป เพราะจากที่ดูราคาทั่วไป คร่าวๆ แล้ว มันไม่น่าจะถึง 1,300 บาทนะ
พี่เจริญมาหย่อนเราเอาไว้ที่สะพานมิตรภาพไทยลาวพร้อมกับบอกว่าขากลับมีท่ารถตู้เข้าอุดรอยู่ตรงฝั่งซ้ายมือเป็นของเพื่อนแกเองยังไงลองเดินไปดูขากลับนะ เราก็เก็บข้อมูลเอาไว้
เมื่อพี่เจริญมาส่งเรียบร้อยแล้ว มีความรู้สึกประหนึ่งดังอยู่ในโลกอีกใบนึง มันมีความตื่นเต้น มีความงง เลยขอลูกตั้งสติแปป เอ...เราจะต้องทำอะไรบ้างนะ เมื่อตีนแตะด่านมีคนมากมายมารุม จะพาไปนั่น ไปนี่ แท็กซี่ไหม แลกเงินไหม จะเดินทางไปไหน เราให้คำตอบเดียวไปเลยว่า “ไม่ค่ะ ขอดูดบุหรีแปปนะ” แล้วก็พูดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องห่วงเลยว่าลูกเรา ก็มีความตื่นไม่ต่างจากแม่เท่าไหร่ เราเลยบอกลูกไปว่า “ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวเราดูชาวบ้านเค้าเอา เค้าทำอะไรก็ทำตามเค้า”
ขอย้อนกลับไปเล่าเรื่องประสบการณ์การแลกเงินกับคนที่รับแลกเงิน หรือ ร้านค้าย่อย สักหน่อย เมื่อครั้งที่เราไปเที่ยวอินโดนีเซียเมื่อสิบปีก่อน จะเห็นว่าร้านรับแลกเงินข้างทางมักให้ราคาดีกว่า Exchange ที่เป็นตู้ที่มีพนักงานอยู่ด้านในเสมอ ว่าด้วยความงก...เป็นเหตุสังเกตุได้ เราสองคนกับเพื่อนผู้หญิงก็เดินตามชายชาวอินโดนีเซียเข้าไปที่ร้านแลกเงินในซอยเล็กๆ ด้วยเหตุที่ว่า ให้เรทที่ดีกว่าเยอะ ขณะที่เรายื่นแบงค์ดอลล่าร์ให้ (จำไม่ได้นะว่าเท่าไหร่ รู้แค่ว่าแลกเป็นเงินรูปีอินโดฯ ได้หลายล้านอยู่) แล้วชายชาวอินโดก็นับเงินอินโดให้เรา ซึ่งตาเราก็จ้องและนับตามแบบไม่คลาดสายตา จุดพีคคือ ตอนที่มันจะยื่นเงินให้เรามันมีจังหวะนึ่งที่มัน เม้มเงินใส่กระเป๋าเสื้อมัน เราเลยจับมือมันแล้วบอกว่านับใหม่....พระเจ้า กลัวก็กลัว งกก็งก พอชายชาวอินโดฯ คนนั้น เริ่มนับเงินใหม่ ปรากฏว่าเงินไม่ครบ มันเลยต้องหยิบเงินที่มันเม้มไปคืนเรามา จากนั้นเราก็เช็กรอบที่มันนับเงินให้เพื่อนเรา แล้วรีบเดินออกจากร้าน พอพ้นประตูไปสักระยะ... กูก็วิ่งสิคะ จะรออะไร นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไมเราถึงยอมเสียเงินสักหน่อยแล้วแลกเงินกับพนักงาน Exchange ดีกว่า เพราะตาเราอาจจะไม่ได้ดีทุกครั้ง ตอนนั้นถือว่าโชคดีที่ไม่โดนพวกนั้นรุมกระทืบ ถือว่าเป็นบุญกะลาหัวมาก...เฮ่ยย
เราเลยเดินมาแลกเงินที่ตู้ Exchange ของธนาคารออมสินมีตู้เดียวอยู่หน้าด่าน แลกเป็นเงินกีบไว้ประมาณ 3,300,000 กีบ หรือ 6,000 บาท และเป็นเงินไทยเก็บไว้ในกระเป๋าอีก 2,000 บาท ส่วนเงินอีก 30 ล้าน ยังไม่โอนมา รอพ้นวันที่ 1 ไปก่อน
หลังจากแลกเงินเสร็จเราก็เดินเข้า Immigration ฝั่งไทย ปั้ม Passport กันทั้งแม่และลูก หลังจากนั้นก็ไม่มีใครตามมาขายนั่นขายนี่ให้แล้ว หลังจากที่ผ่านตม.ฝั่งไทย เราก็ดูๆ ว่าชาวบ้านเค้าทำอะไร ก็ทำตามเค้า เดินไปซื้อตั๋วรถบัสข้ามไปฝั่งลาว ในราคาหัวละ 20 บาท แล้วเราก็นั่งรอเวลาเค้าเรียกขึ้นรถ ในใจก็แอบคิดว่าทำไมเราเดินข้ามไปเองไม่ได้นะ มันก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ แต่เห็นว่าแดดมันร้อน และครั้นจะไปถามเค้าเดี๋ยวเค้าก็จะหาว่ากวนบาทา พอลองนั่งรถไปจริงๆ มันก็ค่อนข้างไกลเหมือนกันนะ แล้วก็เพื่อความเป็นระเบียบ และการเข้าประเทศเขาอย่างถูกกฏหมาย นั่งรถบัสก็ถูกต้องที่สุดแล้ว
รถบัสมาส่งที่ด่านคนเข้าเมือง ความเก้ๆ กังๆ ก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมทั้งแม่ทั้งลูก แม่ดูว่าชาวบ้านทำอะไร ลูกก็ดูว่าแม่จะทำอะไร ถือว่าเราเป็นทีมงานที่ทำงานร่วมกันได้อย่างเยี่ยมยอด...ในบางเวลา
ณ จุดที่เขียนเอกสารเข้าเมืองก็เห็นทั้งคนไทย คนจีน ยืนมุงอยู่ตรงผู้ชายสี่คนที่ดูท่าทางไม่ใช่คนของทางการ เราชะโงกหน้าเข้าไปดูว่าเค้าทำอะไร ก็เห็นชายชาวลาว 4 คน กำลังเขียนเอกสารเข้าเมืองให้ ซึ่ง...เราคิดว่าปกติเวลาเราไปต่างประเทศ นั่งเครื่องบิน เราก็เขียนเองนี่หว่า อันนี้เค้าจะเขียนให้ ทำให้ แล้วเราก็มองเห็นคนไทยสองคนยื่นเงินให้แก้งนั้น 80 บาท นั่นก็แปลว่า หา...คือเขียนให้คิดหัวละ 40 บาทเลยหรอ เราก็เลยเดินออกมา เห็นหลายคนที่นำปากกามาเองก็นั่งเขียนกับยิบๆ ไอ้เราก็เดินหาปากกาตามโต๊ะ ตรงเคาเตอร์เจ้าหน้าที่ ก็ไม่เห็นปากกาสักแท่ง เลยเคาะกระจกถามเจ้าหน้าที่...ได้คำตอบกลับมาว่า...”คุณไปให้พวกนั้นเขียน” กรูนี้อยากตะโกนออกไปว่า….
อะ...และในที่สุดก็ต้องพึ่งพาให้คนพวกนั้นเขียนให้แต่โดยดี โดยยืนมองสิ่งที่พวกเค้าเขียนว่า เขียนได้ถูกต้องหรือเปล่า เขียนดีไหม .... เขียนนามสกุลกูยังไม่ครบทุกตัวอักษรเลย อยากจะตีมือ แล้วอยากจะบอกเค้าว่าเขียนให้ครบด้วยค่ะ ด้วยความเป็นคนต่างถิ่นก็ควรต้องทำตัวเจี๋ยมเจี้ยม อย่าเอะอะมะเทิ่งไป บอกตัวเองเบาๆ ในใจ จากนั้นก็บอกลูกให้ดูป้าย ดูคนอื่น ว่าเค้าทำอะไรกันก็ทำตาม เราทั้งสองคนยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่เพื่อประทับตรา และเสียค่าเข้าประเทศคนละ 20 บาท .... ถูกว่าค่าเขียนใบ Immigration ตั้งครึ่งนึงแหละ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี จากนั้นก็พากันเงอะงะข้ามพ้นไปยังอีกฝั่งนึง นั่นก็หมายความว่า เราได้เข้าเมืองอยากถูกกฏหมายแล้ว
ก่อนมาที่นี่มีคนแนะนำในกลุ่มเที่ยวลาวว่า เราสามารถดาวน์โหลดแอป InDrive ไว้ใช้เรียกรถแท็กซี่เมื่อข้ามมาฝั่งลาว มันก็เหมือน Grab กะ LineMan นี่แหละ แต่ทว่าพี่แท็กซี่ผู้โชคดีเดินตรงดิ่งมาหาแบบเราไม่ทันตั้งตัว พร้อมเสนอบริการให้ เราเลยบอกว่าจะไปสถานีรถไฟลาวจีน พี่แกสรุปค่าโดยสารอยู่ที่ 500 บาท โดยเราถามย้ำว่า สองคนนะ ไม่ใช่ต่อหัว ...ซึ่งพี่แกก็บอกว่าสองคนรวม 500 ถูกต้องแล้ว เอาเข้าจริง ณ จุดนี้เราก็ไม่รู้หรอกว่าถูกหรือแพง แต่ที่แน่ๆ คือ ถูกว่าที่ข้ามมาจากไทยหลายเท่าตัว คิดแบบนี้ก็สบายใจแล้ว จากนั้นแกก็พาไปซื้อซิม เราก็เลือกที่หลายกิ๊กหน่อยน่าจะดี เลยโดนค่าซิมไป 250 บาท เพราะลูกชายในช่วงพักคงอยากเล่นเกมส์บ้างไม่มากก็น้อย ถึงแม้ทริปนี้เราจะพยายามให้เค้าเล่นเกมส์น้อยที่สุด ซึ่งก่อนหน้าที่จะซื้อซิมที่นี่ ยังมีความมั่นใจว่า Dtac สามารถทำให้เราใช้ชีวิตออนไลน์ที่ลาวได้อย่างราบรื่น ปรากฏว่าพอดูสัญญาณกลับเหลือแค่ ขีด สอง ขีด คิดว่าถ้าเข้าไปที่วังเวียงแล้ว ต่อให้เติมเงินแบบ Roaming พวกเราอาจไม่รอด เลยตัดสินใจที่จะซื้อซิมที่หน้าตรวจคนเข้าเมือง
รถที่นี่ขับกันฝั่งขวามือ รถแท็กซี่ที่นั่งไปก็เป็น Mini Van ที่มีประตูฝั่งคนขึ้นอยู่ฝั่งขวามือเช่นกัน ก็มีอาการสลับทิศบ้างเล็กน้อย เรานั่งรถกันไป ดูวิวสองข้างทาง ก็ยังคิดว่าเหมือนอยู่เมืองไทย จะมีกลิ่นความรู้สึกบางอย่างเท่านั้นที่มันบอกว่า เฮ้ย...มันมีความไม่เหมือนไทยนะ ในบางอารมาณ์
เรานั่งรถมาไม่ถึงชั่วโมง เลยขอย้ำกับพี่คนขับอีกว่าถูกสถานีแน่นะพี่ พี่เค้าก็บอกมีอันนี้แหละ แล้วเราก็เทียบกับ Google Map ว่าใช่จุดที่เรา Bookmark ไว้หรือเปล่าก็สบายใจได้ว่ามาถูกสถานีแน่ๆ
ผิดคาด เมื่อเรามาถึงสถานีคือ มันถูกปิดและล็อคประตูทางเข้าไว้เกือบหมด มีคนหลายคนนั่งรอบริเวณที่จัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งเราก็ไม่เคยเจอโหมดนี้ โดยปกติพวกสถานีรถไฟก็จะเปิดประตูให้บริการโดยปรกติ เลยเดินดูรอบๆ ว่าเอ๊ะมันคือยังไง สรุปเห็นป้ายได้ความว่า เค้าจะเปิดให้บริการก็ต่อเมื่อรถไฟใกล้ถึง จึงจะเปิดประตูสถานี บริเวณสถานีก็จะมีพ่อค้าที่เสนอจองตั๋วรถไฟให้สำหรับคนที่ยังไม่มีตั๋ว แต่คิดว่าจริงๆ แล้วถ้าไม่มีตั๋วก็น่าจะเดินไปซื้อเองได้นะ เพราะมีห้องขายตั๋วอยู่ (แต่ก็ต้องเวลาเปิดสถานีเช่นเดียวกัน)
เรากับลูกรู้สึกเบื่อมาก ว่านั่งรอเฉยๆ มันก็ออกจะเหงาๆ ไอ้ครั้นจะนั่งดูดบุหรีไปเรื่อยๆ ก็มากเกินไป เราเห็นคนเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง (มีประตูฝั่งขวามือเปิดไว้ และมีคนนอนและนั่งเรียงรายอยู่แถวๆนั้น เลยถามคนแถวนั้นว่าชั้นสองมีอะไรคะ ได้ความว่าเป็นร้านอาหาร ขึ้นลิฟไปสิ ไม่ต้องขึ้นบันไดก็ได้ ... เป็นอันเข้าทาง เราเลยขึ้นลิฟไปที่ชั้นสอง พบว่าร้านมีอยู่ร้านเดียวและคนนั่นเต็มเกือบทุกที่ (เป็นร้านค้าของสถานี) เราได้จังหวะหย่อนก้นไปที่โต๊ะว่างอันนึงเลยสั่งอะไรทานสักหน่อย หันหน้าไปถามลูก ลูกก็บอกว่าหิว เราถามว่ามีแต่แบบข้าวมันไก่ ข้าวหน้าเป็ด เส้นเปียก อะไรพวกนี้นะ ลูกทานได้หรือเปล่า ด้วยความหิวก็นะ มันเลยสั่งข้าวหน้าเป็ดมาทาน ซึ่งต้องบอกก่อนว่า ลูกเราทานอะไรยากมากกกกกกกก ดันสั่งข้าวหน้าเป็ด...ก็จัดให้เค้าไป ราคาไม่แรงมากนะอยู่ที่ประมาณ 70K ถ้าจำไม่ผิด ส่วนแม่ก็เปิดเบียร์ลาวดกไปเรื่อยๆ สวรรค์ชัดๆ เบียร์ลาวที่นี่ราคาอยู่ที่ 35K ถ้าราคาคลาดเคลื่อนไปก็ขออภัยด้วยนะคะ ข้าวหนึ่งจาน เบียร์อีกสามกระป๋อง เพิ่งได้ลองเบียร์ลาวพรีเมี่ยม เริ่ดนะ หากินบ้านเราราคาเท่านี้ไม่มีนะ เหมือนอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์เลย (เพราะแม่ชอบกินเบียร์มั่กๆ) หลังจากที่ทานกันเสร็จเราก็ตัดสินใจลุกให้คนอื่นนั่งเนื่องจากคนเริ่มทะยอยมาไอ้ครั้นจะนั่งกดเบียร์ไปเรื่อยๆก็เกรงใจคนที่เขาอยากมากินข้าวเราเลยเดินมานั่งรอใกล้ๆแถวนั้นนั้นแหละ
แม่กะลูกมองหน้ากันแล้วพูดคำว่า “หูย เหมือน Train to Busan เลย” แล้วก็หัวเราะคุยกันกว่าถ้าซอมบี้บุกมาตอนนี้เราจะหนีไปทางไหนกันดี เลยลองดูไปรอบๆ ว่ามีใครหน้าเหมือนกงยูบ้างหรือเปล่า…คำตอบคือ ไม่มี
...มีต่อนะคะ...