
ทำไม ลูกจ้าง กับ เจ้าของกิจการ ถึงมีวิธีคิดใช้เงินต่างกันคนละโลก ลูกจ้าง=ซื้อของที่อยากได้ เถ้าแก่=ซื้อกิจการที่อยากมี
ด้วยประสบการณ์การทำงานที่ผมเป็นลูกจ้าง มนุษย์เงินเดือนเงินดาวมานาน ผมมีโอกาส ได้เข้าไปเจอเจ้าของโรงงาน บอร์ดบริหารอยู่บ่อยครั้ง
และคลุกคลีระดับเพื่อนร่วมงาน
ผมสัมผัสและจับจุดประเด็นได้บางอย่าง เห็นถึงความแตกต่างเลยครับ
คือ บทสนทนา ของบอร์ดบริหาร หรือเจ้าของกิจการ กับ ลูกจ้าง เกี่ยวกับเรื่องการเงินนี่ เหมือนอยู่กันคนละโลกเลยครับ
คือถ้าได้เงินมา หรือเงินเหลือกำไร เถ้าแก่ เขาจะมองเรื่องเงิน เขาจะมองในการเอาไปต่อยอด ขยายกิจการ ทำทุนต่อ หรือไม่ก็ซื้อทรัพย์สิน เอาเงินไปวางตรงไหนได้ผลตอบแทนดีที่สุด เงินไปลงตรงไหนแล้วจะคุ้มกว่า ทองคำ ที่ดิน คิดแต่จะเอาเงินไปต่อเงิน แต่ส่วนเรื่องการบริโภค ซื้อของอู่ฟู่หรูหรา อะไรพวกนั้นพวกเขาไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่ เห็นเป็นเรื่องรองๆ คือซื้อของเท่าที่จำเป็นต้องใช้
แต่ในมุมลูกจ้าง ยิ่งช่วงสิ้นปีได้โบนัส นั่งคุยจิบเบียร์จิบเหล้าสังสรรค์ๆ กัน คือ จะคุยแต่เรื่องที่ว่าจะเอาเงินที่ได้ไปซื้ออะไรดี มือถือรุ่นใหม่ มอเตอร์ไซค์เท่ห์ๆ ผ่อนรถอะไรดี ไม่ว่าจะเปลี่ยนทำงานที่ไหน คือสังคมลูกจ้างจะคุยกันแต่เรื่องบริโภควัตถุนิยมต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ ไปเที่ยว ไปกินไหนดี คือจะวนลูปอยู่ประมาณนี้แหละครับ
ผมก็เคยมาลองเทียบดู เห้ย ทำไม ระหว่าง ลูกจ้าง กับ เจ้าของ ถึงมีวิธีคิดการใช้เงิน เหมือนอยู่กันคนละโลกเลยครับ
เจ้าของ เค้าจะมองเรื่องกำไร ความคุ้มค่า หรือเปล่า บางทีก็เห็นยอมใช้แต่รถเก่าๆ จองโรงแรมไปดูงานต่างประเทศ ก็ต้องขอดูส่วนลดก่อน ซื้อมือถือใหม่ ก็ไม่ขอเอาตัวล่าสุด เอาตัวที่เลหลังรุ่นเก่ามาหน่อยก็ได้ ซื้อของออนไลน์ดูส่วนลดก่อน แต่พอจะซื้อเครื่องจักรใหญ่ๆ เขาก็ไม่ขี้เหนียวนะครับ จัดเต็มไปเลย เซ็นเช็คแก่กเดียว อนุมัติซื้อไปเลย
แต่กลับกันสังคมมนุษย์เงินเดือนจะขิงใส่กันเรื่องวัตถุนิยม เห้ยศุกร์สุดสัปดาห์ไปเที่ยวร้านนั้นร้านนี้ โน่นนี่นั้น มีร้านนั่งชิวไปกันไหม ฉันซื้อกระเป๋าแบรนด์ใหม่มา มือถือรุ่นนี้กล้องอย่างเจ๋ง รถยนต์ มอไซ รุ่นใหม่ บลาๆ
ผมก็เลยรู้สึกแปลกใจว่า ระหว่าง ลูกจ้าง กับ เจ้าของกิจการ เขาเหมือนอยู่กันคนละโลกจริงๆ ในเรื่องของการใช้เงิน
เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไร?
ทำไม ลูกจ้าง กับ เจ้าของกิจการ ถึงมีวิธีคิดใช้เงินต่างกันคนละโลก ลูกจ้าง=ซื้อของที่อยากได้ เถ้าแก่=ซื้อกิจการที่อยากมี
ทำไม ลูกจ้าง กับ เจ้าของกิจการ ถึงมีวิธีคิดใช้เงินต่างกันคนละโลก ลูกจ้าง=ซื้อของที่อยากได้ เถ้าแก่=ซื้อกิจการที่อยากมี
ด้วยประสบการณ์การทำงานที่ผมเป็นลูกจ้าง มนุษย์เงินเดือนเงินดาวมานาน ผมมีโอกาส ได้เข้าไปเจอเจ้าของโรงงาน บอร์ดบริหารอยู่บ่อยครั้ง
และคลุกคลีระดับเพื่อนร่วมงาน
ผมสัมผัสและจับจุดประเด็นได้บางอย่าง เห็นถึงความแตกต่างเลยครับ
คือ บทสนทนา ของบอร์ดบริหาร หรือเจ้าของกิจการ กับ ลูกจ้าง เกี่ยวกับเรื่องการเงินนี่ เหมือนอยู่กันคนละโลกเลยครับ
คือถ้าได้เงินมา หรือเงินเหลือกำไร เถ้าแก่ เขาจะมองเรื่องเงิน เขาจะมองในการเอาไปต่อยอด ขยายกิจการ ทำทุนต่อ หรือไม่ก็ซื้อทรัพย์สิน เอาเงินไปวางตรงไหนได้ผลตอบแทนดีที่สุด เงินไปลงตรงไหนแล้วจะคุ้มกว่า ทองคำ ที่ดิน คิดแต่จะเอาเงินไปต่อเงิน แต่ส่วนเรื่องการบริโภค ซื้อของอู่ฟู่หรูหรา อะไรพวกนั้นพวกเขาไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่ เห็นเป็นเรื่องรองๆ คือซื้อของเท่าที่จำเป็นต้องใช้
แต่ในมุมลูกจ้าง ยิ่งช่วงสิ้นปีได้โบนัส นั่งคุยจิบเบียร์จิบเหล้าสังสรรค์ๆ กัน คือ จะคุยแต่เรื่องที่ว่าจะเอาเงินที่ได้ไปซื้ออะไรดี มือถือรุ่นใหม่ มอเตอร์ไซค์เท่ห์ๆ ผ่อนรถอะไรดี ไม่ว่าจะเปลี่ยนทำงานที่ไหน คือสังคมลูกจ้างจะคุยกันแต่เรื่องบริโภควัตถุนิยมต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ ไปเที่ยว ไปกินไหนดี คือจะวนลูปอยู่ประมาณนี้แหละครับ
ผมก็เคยมาลองเทียบดู เห้ย ทำไม ระหว่าง ลูกจ้าง กับ เจ้าของ ถึงมีวิธีคิดการใช้เงิน เหมือนอยู่กันคนละโลกเลยครับ
เจ้าของ เค้าจะมองเรื่องกำไร ความคุ้มค่า หรือเปล่า บางทีก็เห็นยอมใช้แต่รถเก่าๆ จองโรงแรมไปดูงานต่างประเทศ ก็ต้องขอดูส่วนลดก่อน ซื้อมือถือใหม่ ก็ไม่ขอเอาตัวล่าสุด เอาตัวที่เลหลังรุ่นเก่ามาหน่อยก็ได้ ซื้อของออนไลน์ดูส่วนลดก่อน แต่พอจะซื้อเครื่องจักรใหญ่ๆ เขาก็ไม่ขี้เหนียวนะครับ จัดเต็มไปเลย เซ็นเช็คแก่กเดียว อนุมัติซื้อไปเลย
แต่กลับกันสังคมมนุษย์เงินเดือนจะขิงใส่กันเรื่องวัตถุนิยม เห้ยศุกร์สุดสัปดาห์ไปเที่ยวร้านนั้นร้านนี้ โน่นนี่นั้น มีร้านนั่งชิวไปกันไหม ฉันซื้อกระเป๋าแบรนด์ใหม่มา มือถือรุ่นนี้กล้องอย่างเจ๋ง รถยนต์ มอไซ รุ่นใหม่ บลาๆ
ผมก็เลยรู้สึกแปลกใจว่า ระหว่าง ลูกจ้าง กับ เจ้าของกิจการ เขาเหมือนอยู่กันคนละโลกจริงๆ ในเรื่องของการใช้เงิน
เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไร?